Humberger Menu

Finding Myself Through Bouldering

เมื่อ ‘การปีนผา’ พาเราไปรู้จักตัวเอง

With every hold and upward reach, the body speaks, and the soul answers.

Started my ascent at 33.

ผมเริ่มปีนผาแบบ Bouldering ตอนอายุ 33 ย่างเข้า 34 ปี เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันหลายคนบอกว่าระวังนะ อายุมึงไม่น้อยแล้ว ถ้าบาดเจ็บ มันหาอะไหล่มาเปลี่ยนยากนะเว้ย 

เออน่า กูจะปีนระวังๆ ผมตอบแบบนั้น แล้วก็ยังคงปีนต่อไปเรื่อยๆ ปีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเล่นกีฬาประเภทนี้ครบ 1 เดือนได้ไม่นาน ผมฉลองให้กับวันครบรอบเดือนด้วยการเปิดแอ็กเคานต์ Instagram ปีนผา ไว้ดูเบต้า (วิธีการปีน) ของตัวเอง แม้ว่าผมจะมีท่าทางเงอะงะ แต่ก็เอนจอยกับมัน ซึ่งในชั่วโมงนี้ วิดีโอปีนผากลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการแชร์ในโลกออนไลน์ของนักปีนหลายๆ คนไปแล้ว

หลายคนที่ปีนคงบอกกันว่ามันช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น แต่สำหรับผมนอกจากความแข็งแรง มันเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้คนปีนมองเห็นความอ่อนแอของตัวเอง เพราะเรายังแข็งแรงไม่พอ เรายังพักผ่อนไม่พอ เรายังทนทานไม่พอ เรายังไม่เข้าใจการปีนมากพอ หรือยังไม่กล้าหาญมากพอที่จะอัพเลเวล ซึ่งถ้าเราเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้มากพอ ก็จะปีนได้ดีขึ้น และเมื่อเราเตรียมพร้อมมาอย่างดี ก็จะปีนได้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อความแข็งแรงทางร่างกายและจิตใจของนักปีนแต่ละคน

What is bouldering?

Bouldering คืออะไร?

ถ้าอธิบายอย่างง่ายๆ มันคือการปีนผาแบบไม่ใช้เชือก บนความสูงไม่มากนัก อยู่ราวๆ 3-5 เมตร มีแค่รองเท้าปีนผาและชอล์กก็ปีนได้ ทำไมผมถึงบอกว่ามันส่งผลต่อจิตใจ นั่นก็เพราะเราต้องมีสติ สมาธิ ศึกษาเส้นทาง วางแผนการปีน เข้าใจร่างกายตัวเอง รวมไปถึงใช้เทคนิคต่างๆ ให้เหมาะกับแต่ละรูท เหมือนที่หลายคนบอกขำๆ ว่า เราสนิทกับร่างกายตัวเอง หรือไม่สนิทกับร่างกายตัวเอง 

ตอนที่เพื่อนบอกผมว่าอายุเราไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัวการบาดเจ็บ แต่ผมใช้การปีนผาเพื่อค้นหา movement ของตัวเอง มูฟที่ไม่ได้ทำไว้เพื่อแข่งขันกับใคร แต่เอาไว้ทำความรู้จักตัวเอง มีบทสนทนากับตัวเองระหว่างปีนป่าย ผมเคลื่อนไหวได้ดีที่สุดตอนไหน ผมควบคุมร่างกายและลมหายใจยังไง ผมสนุกกับตัวเองมากพอแล้วหรือยัง ไปจนถึงได้โฟกัสกับเส้นทางที่ปีนตรงหน้าดีพอแล้วหรือยัง 

ใช่ ผมกลัวเจ็บมากๆ แต่ผมจะหาวิธีจัดการกับความกลัวด้วยการปีนให้ตัวเองรู้สึกเซฟที่สุดไปด้วย การปีนผา มันคล้ายๆ กับอีกหลายๆ เรื่องในชีวิตของเรา เพราะในทุกๆ เรื่องเราต่างต้องพยายามบาลานซ์ เพื่อให้การดำเนินชีวิตเข้าใกล้คำว่าสมดุลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

Balancing life and balance in climbing.

Balance จุดนัดพบนักปีน 2 แห่ง พระราม 9 และสาทร

‘ซน-อิสระ คุลีเมฆิน’ เจ้าของยิม Balance Climbing และ Balance Prime เล่าให้ผมฟังว่า “การปีนผาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล’

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ยิมปีนผาสาขาแรกของซนที่ตั้งอยู่ในย่านพระรามเก้าอย่าง Balance Climbing เพิ่งจัดงานฉลองครบรอบ 2 ปีเต็มไปอย่างอบอุ่น และเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเพิ่งขยับขยายมาเปิดสาขาที่ 2 กลางสาทร ภายใต้ชื่อ Balance Prime บนโลเคชันที่กว้างขวางขึ้น มีกิจกรรมมากขึ้น สว่างไสว และปลอดโปร่งมากขึ้น

ทั้งสองโลเคชันนี้ ล้วนเป็นเหมือนจุดนัดพบของนักชอบปีน นักชอบไต่ เป็นดังแหล่งรวมคอมมูนิตี้ของ climber ที่หลงใหลความสูง ท่าทางอันโลดโผน เส้นทางอันท้าทาย ตลอดจนเป็นแหล่งรวมเสียงเชียร์และเสียงซัปพอร์ตที่คนในชุมชนคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็น “จับดีทุกตัว ครั้งนี้จบจริง ค่อยๆ ใจเย็นๆ สวยๆ มือขวาสิ เท้าซ้ายสิ อีกนิด ฮุคเลย ฯลฯ” รวมไปถึงเสียงปรบมือ และการชนมือเมื่อเราพิชิตรูทแสนโหดหินได้สำเร็จ


Tag 1- 2 ค้นพบว่าตัวเองชอบปีนป่าย

ซนปีนผามาได้ 10 ปีแล้ว แต่จุดเริ่มต้นก็คงจะเหมือนกับอีกหลายๆ คนคือมีเพื่อนชวนให้เขาลองมาปีนเล่นๆ ซึ่งสำหรับคนที่ทดลองปีนผาครั้งแรก มีอยู่ 2 รูปแบบ 

หนึ่ง ชอบ อยากกลับมาอีก 

สอง พอแล้ว เราไม่เหมาะกับสิ่งนี้ 

สำหรับซนคืออย่างแรก และไม่ใช่แค่ชอบเฉยๆ เท่านั้น แต่เขายังคลั่งไคล้หลงใหลกีฬาประเภทนี้เอามากๆ 

“ผมเริ่มปีนเมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ ครั้งแรกเพื่อนที่ทำงานชวน เลยลองปีนดูก่อน พอปีนแล้วรู้สึกชอบมาก ตอนนั้นอยากจริงจังกับกีฬาชนิดนี้ที่สุด อยากจะไปเป็นทีมชาติเลยนะ เพ้อฝันมาก เพราะปีนแล้วอิน ชอบมากตั้งแต่ครั้งแรกเลย” 

ซนเริ่มปีนผาเมื่อตอนอายุ 29 ปี ในวัยที่ร่างกายอาจไม่ได้เฟรชเท่ากับการเริ่มปีนในช่วงวัยเด็กๆ หรือวัยแรกรุ่น เขาเริ่มปีนในวันที่ประเทศไทยมียิมปีนผาจำลองเพียงไม่กี่แห่ง และยังมีองค์ความรู้ด้านการปีนที่ไม่ได้แพร่หลายเท่าที่พวกเราเห็นในทุกวันนี้ แต่เพราะใจรักจึงไม่มีข้อจำกัดไหนมาต้านทานเขาได้

“ตอนนั้นเราอายุเยอะแล้ว แน่นอน ร่างกายไม่สดเท่าเด็กอยู่แล้วล่ะ แต่สิ่งที่เรามีในวัยนี้คือ วุฒิภาวะ การวางแผน และการตัดสินใจ เมื่อไม่เฟรช เราก็ต้องรู้ว่าไปถึงจุดไหนแล้วเราจะเจ็บ ถ้าอยากเก่ง ต้องวางตารางการเทรนให้เหมาะสมกับตัวเองยังไง แล้วไปศึกษาเพิ่มเติม อ่านรีเสิร์ชต่างๆ เพราะว่าเราอยากเก่งขึ้น ต้องเทรนกล้ามเนื้อยังไง ต้องฝึกฝนแบบไหนก็ไปหาคำตอบมา”

“สำหรับการปีน เรารู้แล้วว่าสิ่งที่เรากลัว มันต้องแยกว่าเรากลัวไปเอง หรือมันเป็นสิ่งที่อันตรายจริงๆ ถ้าเราแค่กลัว แต่มันไม่อันตราย เราก็ควรฝืนทำไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะกลัวน้อยลง แต่ถ้ากลัวในสิ่งที่มันอันตรายจริงๆ เราก็ต้องรู้ว่าถ้าขึ้นไปถึงจุดนั้น แรงเราเหลือพอหรือเปล่า หรือเราจะไปไหวไหม”

“เพราะปีนมานานแล้ว เลยค่อนข้างรู้ว่าอันไหนยากหรือไม่ยาก หรือว่ามันเกินลิมิตของเราหรือเปล่า ส่วนใหญ่เวลาปีน ก็ต้องพยายามเชื่อก่อนว่าเราทำได้นะ อย่างพวกมืออาชีพเขาไปติดอยู่กับก้อนหินก้อนหนึ่งในป่าอยู่เป็นปี เขาก็ต้องเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองทำได้ ถ้าเราจะทำ เราก็ต้องเชื่อก่อนว่าได้เหมือนกัน”

“แต่ถ้าสุดท้ายมันไม่เห็นผลเลย เราอาจจะต้องลองเปลี่ยนวิธีดู ถ้าเปลี่ยนวิธีแล้วยังไม่ได้ เราก็ต้องสอบถามคนอื่น มันคงเหมือนกับชีวิตของคน ถ้ารู้สึกตันแล้วฝืนนั่งเศร้าอยู่คนเดียว มันก็ไม่มีผล หรือจะออกไปศึกษาเพิ่มว่าทำยังไง เพื่อเติมเต็มสิ่งที่อยากทำได้ เราต้องไปฝึกอะไรเพิ่มอีกบ้าง เพราะถ้าเราเจอไอ้สิ่งที่ทำไม่ได้ในการปีนบ่อยๆ อีกสักเดือนข้างหน้าเราก็จะทำได้แล้ว”

ความสนุกของการปีนผาคือ มันมีความเป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมโลดโผน เล่นแล้วได้ความสะใจจนอะดรีนาลีนหลั่งไหล ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เรานอสตัลเจีย คิดถึงการปีนป่ายตอนยังเป็นเด็กๆ เราฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดต่างๆ อย่างซุกซนเป็นอิสระ หรืออาจทำให้หลายๆ คนนึกถึงลิง รากบรรพบุรุษของมนุษย์ที่เชี่ยวชาญการปีน และทำให้หลายคนนึกถึงเรื่องราวหรือกิจกรรมในชีวิตอื่นๆ ในแง่มุมที่รีเลทกับตัวเองแตกต่างกันออกไป เช่น แอ็กชันของซุเปอร์ฮีโร่ในดวงใจอย่างสไปเดอร์แมน และไอดอลนักกีฬาปีนผาระดับโลกที่เราชื่นชอบ

Tag 3 - 4 ค้นพบคอมมูนิตี้นักปีนไทย

“แต่ก่อนคนปีนน้อยมาก พวกข้อมูลออนไลน์ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดในช่วงนั้น ถ้าเราอยากเก่งขึ้น เราก็ต้องโทรนัดรุ่นพี่มา แล้วบอกว่ามาสอนผมหน่อย ซึ่งจะมีบางคนที่เขาใจดี ก็จะมาสอนให้”

กีฬาปีนผาเป็นกีฬาในรูปแบบของคอมมูนิตี้ ถ้าเรามีเพื่อนคอยเชียร์อัพ เราจะยิ่งมีกำลังใจ ภาษาใต้คงเรียกว่า ‘ได้แรงอก’ มันสะใจ และมีกำลังใจจะปีนให้จบรูท ไม่ว่าเส้นทางจะยากเย็นและท้าทายแค่ไหนก็ตาม

“เราเริ่มมีเพื่อนที่ปีนด้วยกัน มันเป็นกีฬาคอมมูนิตี้ พอมาปีนแล้วคนจะคุยกัน เวียนมาเจอกัน ไปๆ มาๆ พอเล่นไป ก็ได้เจอเพื่อนที่ปีนด้วยกันบ่อยจนกลายเป็นคอมมูนิตี้ เราก็เข้าไปอยู่ในกลุ่ม เวลาคุยกันก็จะถามว่าปีนยังไง ถ้ามีคนเล่นด้วยก็จะยิ่งเก่งเร็วขึ้น ในช่วงแรกเราต่างพัฒนาด้วยวิธีการเรียนรู้จากเพื่อนที่ปีนด้วยกัน”

นอกจากการพบหน้ากันจริงๆ เมื่อออกจากบ้านมาปีนผาที่ยิม เรายังได้เห็นเพอร์ฟอร์แมนซ์การปีนของกันและกันในโลกโซเชียล ด้วยยุคสมัยที่โลกออนไลน์บูม ทำให้เกิดคอมมูนิตี้ในแพลตฟอร์ม Instagram มีการแชร์เบต้า หรือวิธีการปีนของตัวเอง ทั้งในแบบแอ็กเคานต์ส่วนบุคคล แอ็กเคานต์ที่แชร์การปีนกับแก๊งเพื่อน ไปจนถึงแอ็กเคานต์ของคู่รัก

“สำหรับนักปีนนะครับ เขารู้สึกภาคภูมิใจที่ตัวเองได้เป็นนักปีน เวลาเราถ่ายอะไรมันก็จะเป็นเหมือนการทำให้เราได้ระลึกถึงว่าตัวเราเป็นนักปีนนะ ผมว่ามันก็เหมือนการมองตัวเอง แล้วก็เกิดความภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำมา”

“บางคนอาจรู้สึกว่าตัวตนในการปีนของเขามันกลืนกินพื้นที่โซเชียลของตัวเอง หลายๆ คนเขาก็จะสร้างแอ็กเคานต์แยกออกมา เพื่อบันทึกการปีนว่า แต่ก่อนเขาทำอะไรได้บ้าง แล้วปัจจุบันทำได้ถึงจุดไหนแล้ว ท่าปีนเขาเป็นยังไง ก็จะบันทึกไว้เป็นประจำทุกวัน ซึ่งตอนนี้ก็มีจำนวนแอ็กเคานต์แยกแบบนี้ค่อนข้างเยอะขึ้น ซึ่งพอได้ดูก็จะรู้สึกสนุกด้วย”

“ผมว่ามันเป็นเรื่องดีในทุกๆ แง่มุม เหมือนมีคนช่วยกันโปรโมท ในมุมของคนที่อยู่ในคอมมูนิตี้ เขาช่วยทำให้กีฬานี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะคนเห็น ก็จะมีโอกาสได้คิดว่าลองไปปีนดูบ้างดีกว่า มันดูน่าสนใจจัง แล้วในมุมของคนที่ปีนและอยากเก่งขึ้น เวลาเราถ่ายตัวเองไว้ จะเห็นว่าเราทำอะไรได้ดีหรือไม่ดี มันจะทำคิดกระบวนการว่าจะทำยังไงให้ตัวเองเก่งขึ้น”

Tag 5 - 6 ค้นพบว่าอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ

“จากที่เริ่มปีนและเพ้อฝันว่าจะเป็นนักกีฬาทีมชาติตอนอายุ 29 ปี ที่เรียกว่าเพ้อฝันเพราะเราค่อนข้างอายุเยอะสำหรับการเริ่มเล่นกีฬาในวัยนี้ พอผ่านมายุคหนึ่ง ก็เห็นว่ามีงานแข่งเว้ย เรายังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก แต่พี่ที่รู้จักเขาก็บอกว่าไปลองแข่งดูดิ ต้องลอง สนุกดี พอไปก็ทำให้เห็นว่าเวลาแข่ง ตัวเองมีข้อเสียอะไร เพราะตอนแข่งเวลาจำกัด ก็จะรู้ว่าเราต้องปรับการปีนของตัวเองในแต่ละวันว่าทำยังไงให้ใช้แรงน้อยลง ใช้เวลาน้อยลง เพื่อปีนได้ดีขึ้น และเรียนรู้ได้มากขึ้น

“ตอนไปแข่งเราไม่เคยนับครั้งเลย แต่ก่อนรายการแข่งไม่เยอะด้วย แต่ถ้ามีก็ลงเรื่อยๆ ช่วงแรกๆ ก็ยังดูห่างไกล ปีนไปก็แทบไม่จบ แต่มันไม่เป็นไร หลังๆ ก็โอเค ปีนดีขึ้น ก็เข้าไปถึงรอบไฟนอล แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นโพเดียมเพราะมีตัวทีมชาติอยู่ หรือมีบางคนที่เขาปีนเก่งกว่าเราอยู่”

ซนไม่ได้หยุดยั้งความคลั่งไคล้ของตัวเองไว้แต่เพียงเท่านั้น เพราะเขาแข่งขันจนได้มีโอกาสเข้าไปเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย

“มีครั้งหนึ่งที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน พอเราเป็นเจ้าภาพ สมาคมฯ เขาไม่ต้องใช้งบในการส่งนักกีฬาไปยังต่างประเทศ เขาเลยเพิ่มโควต้านักกีฬาขึ้นมา ไอ้เราที่ไม่ได้เก่งเท่าทีมชาติที่เขาฝึกมาตั้งแต่เด็ก เลยมีโอกาสเข้าไปในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาพอเราไปแข่งในรายการหนึ่ง แล้วติดเข้าไปรอบ semi-final เขาบอกว่าโอเคถ้าใครติดรอบเซมิถือว่าเข้ามาในทีมชาติได้ เป็นทีมชาติแล้ว เดี๋ยวจะมีรายการที่นี่ก็ไปซ้อมนะ เตรียมตัวแข่ง เราก็โอ้โห ดีใจมากกก เพราะว่าที่เราเพ้อฝันมาก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้”

“แต่โอ้โห พอไปแข่ง เราได้รู้เลยว่ายังไม่ถึงเลเวลจริงๆ ถึงแม้จะพยายามปีนให้มีระเบียบ ก็ต้องมาเทรนเพิ่มจริงจัง ตอนนั้นอายุ 32 ปี อายุผมน่าจะเยอะเกือบที่สุด พอแข่งขันไปเรื่อยๆ จะมีช่วงหนึ่งที่ไปแข่งแล้วเข้ารอบ ซึ่งทุกคนเด็กกว่าเราเกือบ 20 ปีหมดเลย เข้าไปก็สู้ไม่ได้ มันไม่ทันเขา แล้วประกอบกับมีลูก เลยต้องลดเวลาซ้อม เลยไปแข่งขันไม่ค่อยไหว”

จาก BALANCE CLIMBING สู่ BALANCE PRIME

ตอนเปิดสาขาแรก เมื่อธุรกิจอยู่ตัวแล้ว ซนซัปพอร์ตสกิลการปีนของคนที่เข้ามาใช้บริการยิม ด้วยการทำเวิร์กช็อปและจัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ให้ทุกคนที่เข้ามาปีนป่ายได้เติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กับยิม ยิ่งไปกว่านั้นในมุมมองของนักปีนอย่างเขา ก็สังเกตว่าในไทยยังไม่มีที่ไหนที่จ่ายเมมเบอร์เพียงครั้งเดียวแล้วปีนได้ 2 สาขาเหมือนอย่างที่ต่างประเทศทำ ซึ่งข้อดีก็คือ คนจะได้ฝึกฝนหลายรูทโดยจ่ายเงินครั้งเดียว เป็นการเติมประสบการณ์พิเศษที่คอมมูนิตี้นักปีนของบาลานซ์ได้สนุกสนานขึ้นอีกเท่าตัว

ซนเล่าว่า หน้าตาของคนในชุมชนแบบบาลานซ์ก็คือ คนทำงานวัย 20 ถึง 30 ต้นๆ โดยเฉพาะกลุ่ม first jobber หลายคนเริ่มออกกำลังกายหลังเรียนจบเพราะอยากดูแลสุขภาพหรือหาอะไรสนุกๆ ทำ

ซนเผยว่า กีฬาปีนผาเป็นสิ่งใหม่สำหรับหลายๆ คน ทำให้กลุ่มที่มาปีนมักเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และมีความเป็นมิตร เพราะเวลาปีน ทุกคนช่วยเหลือกัน สร้างบรรยากาศสนุกๆ และเป็นกันเอง ลูกค้ากลุ่มหลักจึงมักเป็นคนสนุกสนาน และมีความครีเอทีฟ

“คนที่ชอบกีฬาปีนผาคือ คนชอบคิด เพราะเวลาปีนก็คือ การแก้ปัญหา และเวลาลุยก็ต้องพร้อมกล้าเสี่ยง ชอบความตื่นเต้น แล้วมันมีความว้าว ซึ่งจะกลับมาทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนรูท อะไรใหม่ๆ แบบนี้มันท้าทายคนอยู่เสมอ

“ผมว่าคนที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่คิดว่าทำไม่ได้ไม่เป็นไรเว้ย แต่พอทำได้แล้วมันแบบสะใจ เพราะสิ่งที่ทำเรารู้ว่ามันยาก เพราะฉะนั้นถ้าทำครั้งแรก ครั้งที่สอง หรือครั้งที่สามไม่ได้เนี่ย มันไม่เป็นไร แต่พอทำได้เมื่อไหร่ เราก็จะภาคภูมิใจกับมันมาก” 

ซนต้องการให้ยิมของเขาเป็น ชุมชนที่ผู้คนสามารถเข้ามาอยู่ได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะมาทำงาน เคลียร์งานนิดหน่อย ก่อนวอร์มอัพปีนรอเพื่อน หรือมาเล่นพิลาทิสแบบชิลๆ รวมถึงมาลองเวิร์กช็อปที่สนใจ ซึ่งนอกจากสอนเทคนิคปีนผา ก็ยังมีเวิร์กช็อปอื่นๆ ให้สมาชิกได้เข้าร่วม สำหรับเมืองที่แน่นขนัดและวุ่นวายอย่างกรุงเทพมหานคร ที่นี่จึงเป็น Third place ที่ที่ผู้คนมาเจอกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน พักผ่อน หรือสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม

“เป้าหมายคือให้คนที่มารู้สึกว่า วันนี้ไม่รู้จะทำอะไร มาที่นี่ดีกว่า ได้ออกกำลังกาย เจอเพื่อน และชาร์จพลัง ได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีกลับไป และพร้อมใช้ชีวิตในเมืองวันที่วุ่นวายต่อไป”

“นอกจากนี้ เราอยากให้มันเป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักปีน นักปีนเวลาเขาไปประเทศไหนก็จะต้องหาที่ลองไปปีน เราอยากให้ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามาไทยได้มา Balance Prime และ Balance Climbing อยากเป็นเหมือนตัวแรกในการตัดสินใจให้เขาแวะมาที่นี่ ให้เราเป็นสถานที่ท่องเที่ยวนั้นของนักปีนทั่วโลก”

จุดที่น่าสนใจของสาขาที่ 2 คือนอกจากการปีนผา ยังมีโซนคาเฟ่เป็นสัดส่วนให้ได้นั่งทำงาน พูดคุย ดื่มน้ำ และรับประทานอาหาร

รวมไปถึงพาร์ตของพิลาทิส ‘HannahJoes Pilates Studio Sathorn’ ซึ่งซนบอกว่าการเล่นพิลาทิสจะช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการจัดระเบียบร่างกายอย่างถูกต้อง ไม่ใช่แค่การแก้ไขที่ปลายเหตุ เพราะพิลาทิสคือ การสอนให้ใช้กล้ามเนื้อถูกต้อง เพื่อควบคุมท่าทาง กระดูกหลังตรง การแขม่วท้อง การเกร็งร่างกายอย่างมีสติ และอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะสร้างสมดุลให้ร่างกาย มันยังทำให้สมรรถนะการปีนผาดีขึ้น และปีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีพิลาทิสอยู่ที่เดียวกับยิมปีนผ้าจึงช่วยเสริมซึ่งกันและกัน และยังเป็นทางเลือกให้นักปีนที่ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นโฟกัสเรื่องของแรงแขนขา หรือความยืดหยุ่น แต่พิลาทิสเป็นขั้นต่อไปที่จะช่วยพัฒนาร่างกายได้อย่างเต็มที่


ก้าวต่อไปของ Balance ในงานการแข่งขัน Bangkok Clutch

Bouldering Competition ระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้วยความที่ซนเป็นนักกีฬามาก่อน เขาจึงเข้าใจว่าการสร้างสนามให้คนเล่นกีฬาได้มาแสดงตัวตนและความสามารถเป็นสิ่งสำคัญ

อย่างโมเดลของ Balance ที่สนับสนุน ‘ออสซี่-อัศวิน เอื้ออารีย์จิต’ เป็นแอมบาสซาเดอร์ของยิม เขานักปีนผาทีมชาติไทยที่มีชื่อเสียงจากการพิชิตเส้นทางปีนผาที่ยากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเคยคว้าเหรียญรางวัลในการแข่งขันระดับเยาวชนโลก และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ Balance สนับสนุนออสซี่ในบทบาทของนักกีฬา และในแง่ตัวตนในมิติอื่นๆ ด้วย

รวมไปถึงการจัดทัวนาเมนต์ และสกอร์การ์ดประจำสัปดาห์ ให้สมาชิกได้เก็บเรคคอร์ดส่วนตัว ซึ่งเป็นเหมือนกับชาเลนจ์ให้ทุกคนได้มีแรงผลักดันตัวเองอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอย่างมากของ BALANCE ทั้งสองแห่งก็คือการจัดงานแข่งขันปีนผาในฐานะงานใหญ่ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เพราะซนต้องการสร้างคอมมูนิตี้นักปีนที่แข็งแรง เพื่อผลักดันนักกีฬาไทยไปแข่งระดับนานาชาติ เหมือนกับกีฬาอื่นๆ เช่น เทนนิสหรือกอล์ฟ เพื่อดึงคนเข้ามาเล่นกีฬาปีนผามากขึ้น ซนจึงจัด Bangkok Clutch งานแข่งปีแรกในระดับ International โดยใช้สองสาขาเป็นสนาม ทั้งยังมี rout setter (ผู้ออกแบบเส้นทาง) มืออาชีพมาออกแบบเส้นทาง เปิดสนามแข่งหลายรุ่นตั้งแต่ Novice ไปจนถึง Advance โดยเน้นให้ผู้เข้าแข่งขันเรียนรู้พัฒนาตัวเอง และสร้างแรงจูงใจในการฝึกอย่างต่อเนื่อง

Why do we climb?

เหตุผลของคนรักการปีนป่าย

ปีนเพื่อรู้จักลิมิตของตัวเอง

“น้องชวนมาเล่น แล้วสนุกดีก็เลยติด ผมชอบเพราะมันเป็นกีฬาที่ไม่โทษคนอื่น ถ้าเราปีนไม่ได้ เราก็โทษตัวเอง เมื่อปีนไม่ได้ก็กลับมาขบคิดกับตัวเองต่อ”

“ผมปีนมาเพิ่งจะครบ 1 ปี เปลี่ยนรองเท้าไปหลายคู่มาก เพราะผมใส่พอดีเท้า ซึ่งจุดหนึ่งพอมันยืด ก็จะเริ่มเกาะไม่อยู่ รอบนี้หาคู่ใหม่ก็จะเริ่มลดเบอร์ลง แล้วเวลาเกาะจะได้เกาะอยู่”

“มันเริ่มต้นมาจากการที่น้องในออฟฟิศชวนผมมาเล่น แต่ตอนนี้เขายังบาดเจ็บอยู่ เพราะน้องปีนแล้วตกลงมา แต่เขาปีนแทร็กค่อนข้างสูง และ aggressive มีจังหวะที่เขาฝืน เลยตกลงมาข้อเท้าหัก” 

“ผมเข้ามาปีนด้วยกัน 4 คน ตอนนี้ร่วงไปแล้ว 2 คน ผมบอกเพื่อนๆ เล่นๆ ว่าถ้ายูตกอีกคนหนึ่ง ไอจะขอแบน (หัวเราะ)”

“พอน้องมาชวนมาเล่น แล้วรู้สึกสนุกดีก็เลยติด ผมชอบเพราะมันเป็นกีฬาที่ไม่โทษคนอื่น ถ้าเราปีนไม่ได้ เราก็โทษตัวเอง เมื่อปีนไม่ได้ก็กลับมาขบคิดกับตัวเอง แต่ผมเป็นคนที่ปีนแล้วไม่ฝืน ถ้าสมมติรู้ว่าไปต่อไม่ได้แน่ ก็จะโดดลงเลยครับ บาง move อาจจะได้ แต่ผมไม่ค่อยจะเสี่ยงเท่าไหร่ ผมกลัวตกลงมาแล้วเจ็บด้วย เพราะเราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่างผมเคยเอ็นอักเสบก็ได้พักไปเดือนหนึ่งเลย” 

พงศ์-ธีรพงศ์ มาลานิยม
33 ปี 

ปีนเพื่อเป็นสายตาให้กันและกัน

“เราไม่เคยออกกำลังเลย พอมาปีน เรารู้สึกแข็งแกร่งขึ้น กล้ามเนื้อมากขึ้น มีรูทการปีนกระตุ้นให้คิดแก้ปัญหา สนุกกว่าการออกกำลังกายแบบรูทีน”

“ตอนที่ประสบอุบัติเหตุจากการปีน เราคิดว่าจะไม่กลับมาปีนแล้ว เพราะตอนตกลงมาเราเจ็บมากๆ แต่พอมาคิดทบทวนอีกครั้ง อุบัติเหตุมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พอมองในภาพรวมมันก็เป็นกีฬาที่น่าเอนจอย ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ก็เลยกลับมาปีนอีกครั้ง ซึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุอ๋องก็ซัปพอร์ตให้เรากลับมาปีนด้วย”

“ตอนแรกอ๋องอยากปีนคนเดียว เพราะกลัวโดนตัดสินเวลาออกมูฟเมนต์ผิด แต่พอปีนไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ว่าคนรอบๆ ตัวเรานั้นซัปพอร์ตมากๆ ช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดจากการปีนรูทนั้นๆ บอกให้เรียนรู้เทคนิคเพื่อให้ปีนได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้จบรูทได้”

“ในชีวิตประจำ ในเรื่องงาน ในเรื่องส่วนตัว คุณอาจจะคิดว่าทำอะไรไม่สำเร็จเลย แต่พอมายิมเพื่อปีนผา เมื่อจบรูทได้ เราก็คิดว่าวันนี้ได้ทำอะไรสักอย่างสำเร็จแล้ว”

วี, 30 ปี 

“ระบบการซัปพอร์ตของเพื่อนๆ หรือคนรักที่มาด้วยกันจะช่วยบอกทางให้กับเรา ทำให้เรากล้าที่จะออกมูฟ อย่างวีจะเก่งเรื่องการดูเบต้าและทิศทาง ติดตรงไหน เขาจะคอยบอกเราว่า เอามือซ้ายขึ้น เอามือขวาไป”

“ผมกลายเป็นคนกล้ามากขึ้น ฟุตโฮลด์บางอันเล็ก แต่เราต้องกล้าไปต่อ หรือจะกระโดด เราต้องกล้าที่จะไปต่อ เวลาดูคนอื่นปีนผมคิดว่า ทำไมมันยากจังวะ แต่พอเราลองทำ เราก็ทำได้เหมือนกันนี่หว่า แค่ลองกล้าที่จะไป พอปีนได้แล้วก็อยากท้าทาย อยากทำอะไรที่ยากกว่านี้ต่อให้สำเร็จ”

“เราได้เจอเพื่อนใหม่ๆ มากขึ้น เพื่อนหลายๆ แบบ หมอ นักข่าว ช่างภาพ เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ผมติด มาเล่นตลอด ผมอยากออกกำลังกาย แต่ไม่ชอบวิ่ง ไม่ชอบเล่นบาส หรือว่ายน้ำ จะให้เข้ายิมก็ไม่เหมาะกับผม การปีนผาเหมือนการได้เล่นเกม ก็เลยชอบมากๆ”

อ๋อง, 30 ปี

ปีนเพื่อหาพื้นที่ความเป็นเด็กในวัยผู้ใหญ่

“เป็นกีฬาที่เริ่มต้นได้ง่าย เลเวลเบสิคทุกคนน่าจะทำได้ เราน่าจะเคยขึ้นบันได ปีนป่าย จับราวบันได้”

“มันทำให้ผู้ใหญ่อย่างเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ตอนเป็นเด็กเราจะชอบปีนต้นไม้ ชอบปีนขึ้นที่สูง เอาโซฟามาต่อและพยายามปีนให้สูงที่สุด การได้กลับมาเล่น ทำให้ผมเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้ใหญ่ไม่ได้มีพื้นที่ให้เราทำแบบนั้นอีกแล้ว”

“จริงๆ แล้วคนเรามีสัญชาตญาณการปีนป่าย เลยรีมายด์ได้ว่ามนุษย์เรานั้นมีรากมาจากลิง อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือมันมีเลขเลเวลบอกชัดเจน แท็กที่เป็นสีมันกำหนดให้เราเห็นเป้าหมายว่า ณ จุดๆ นี้ เราอยู่ที่ระดับอะไร แล้วเราอยากไปให้ถึงจุดไหน มีคนมาปีนให้เราดูตรงหน้า เรารู้สึกว่า โห มันประทับใจ เขาต้องผ่านอะไรมาเยอะมากแน่ๆ ทั้งการฝึกซ้อม แล้วเราเลยมีเป้าหมายกับตัวเอง อยากจะทำได้บ้าง อย่างน้อยก็ทำให้เต็มศักยภาพที่เราไหว”

โอโล่, 32 ปี

ปีนเพื่อเล่นสนุกกับลูก

“แม่ปีนมาก่อนท้องลูกชาย ตอนนี้ลูกชายอายุ 10 ปีแล้ว แต่ปกติปีนแบบเชือก ตอนท้องคนนี้ยังปีนอยู่เลย แต่ปีนอยู่ที่อเมริกา และก็พาลูกชายมาปีนด้วยกันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พาไปด้วยเรื่อยๆ เพราะพ่อเขาก็ปีน เป็นกิจกรรมที่ทั้งครอบครัวทำด้วยกันได้ ตอนนี้เราใส่รองเท้าเบอร์เดียวกับลูกชาย มีลูกเป็นเพื่อนปีน สนุกดี”

“แม่ชอบที่การปีนผา มันคือการมีเป้าหมายที่รอให้เราไปถึง ถ้าทำได้ก็รู้สึกดีใจ เป็นเหมือนกันปะ (หัวเราะ) มันต้องมีสติ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น เพราะต้องจดจ่อว่าจะไปถึงอันต่อไปได้ยังไง”

“เราต้องมีเทคนิค รู้จักร่างกายแต่ละส่วนซึ่งต้องค่อยๆ สะสมเรียนรู้เรื่อยๆ”

คุณแม่มะลิ, 48 ปี 

“ชอบปีนครับ เพราะพอปีนได้แล้วรู้สึกเก่ง และมีความสุขตอนปีน”

แม็กซี่ (Maxi), 10 ปี

ปีนเพื่อตระหนักรู้ในร่างกายของตัวเอง

“การปีนผานั้น ส่วนใหญ่มีเรื่องของ body awareness จิตใจและร่างกาย คนปีนต้องไม่ฝืนตัวเองมากจนเกินไป เพราะกิจกรรมพวกนี้มีความเสี่ยงแน่ แต่เราสนใจการเรียนรู้ บริหารจัดการกับความเสี่ยงมากแค่ไหน ถ้าหากมาถึงแล้วเราปล่อยตัวปล่อยใจโดยไม่ได้ประเมินก็อาจเป็นการเปิดช่องให้มีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้”

“การปีนผมมันตรงไปตรงมามาก มันคือคำว่าเราสนิทกับร่างกายมากแค่ไหน ในชีวิตประจำวันทั่วไป เราอาจไม่ได้ออกมูฟเมนต์ ไม่ได้รู้ว่าแต่ละส่วนของร่างกายเราแข็งแรงขนาดไหน หรือส่วนไหนเป็นยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นการปีนผาก็จะช่วยบอกเรื่องของร่างกายได้ด้วย”

บูม
ผู้จัดการยิม Balance Climbing

Photos by เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

Instagram : tiansin.s

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ปวรพล รุ่งรจนา