Humberger Menu

แม้ ‘ความมั่นคง’ คือสิ่งสำคัญในชีวิต แต่บางครั้งโลกก็ทำให้ฉัน ‘เหนื่อยล้า’ ที่จะไขว่คว้ามัน

เก็บเงินให้ดีในปีที่ ‘เศรษฐกิจเผาจริง’ 

รีบพัฒนาทักษะก่อนที่ AI จะไล่ล่าความสามารถมนุษย์ 

บริษัทปรับโครงสร้างอายุเกษียณพนักงาน 

ดูเหมือนว่าบทสนทนาว่าด้วยการดำรงชีวิตของคนยุคนี้ จะรายล้อมไปด้วย ‘คำเตือน’ ตัวใหญ่ ที่กลายมาเป็นความตื่นตระหนกในการใช้ชีวิต

ใครบ้างจะไม่กลัวสภาพเศรษฐกิจที่กำลังทำให้ ‘ความมั่นคง’ เริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ เป้าหมายที่คนใฝ่ฝันเอาไว้อย่างการมีรายได้ตอบโจทย์รายจ่าย มีชีวิตไม่ลำบาก ได้ทำสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ กลับไม่ได้เป็นอย่างหวัง ตามการสำรวจของนิด้าโพลในหัวข้อ ‘คนไทยเหนื่อยกับอะไรมากที่สุดในปี 2567’ ผลคือ 52.14% เหนื่อยกับปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้และชีวิตความเป็นอยู่

จะว่าไปแล้วการตามล่าหา ‘ความมั่นคง’ ของชีวิตความเป็นอยู่เป็นเส้นทางที่เราถูกบ่มเพาะและปูทางไว้ตั้งแต่เด็ก ตั้งใจเรียนเพื่อไปให้ถึงหน้าที่การงาน ‘มั่นคง’ นำมาสู่รายได้แน่นอน มีเงินซื้อของจำเป็น และเหลือพอซื้อของ ‘ฟุ่มเฟือย’ ได้มีบ้าน มีรถ มีสินทรัพย์ในครอบครองและต้องรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมให้ ‘มั่นคง’ ผ่านการสร้างคอนเนกชั่น คบค้าสมาคมกับกลุ่มคนที่จะช่วยให้เราเติบโต

แต่ในระบบเศรษฐกิจที่มีความผันผวนหรือจู่ๆ ก็เกิดวิกฤตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะช่วงโควิดหรือการประกาศเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกา หลักประกันที่เราจะตามหา ‘ความมั่นคง’ ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ เสียงที่ตามมาคือ ‘คำแนะนำ’ หรือ ‘คำเตือน’ ที่หวังดีให้เรายังไขว่คว้าความมั่นคงเอาไว้ได้ และเต็มไปด้วยมวลอารมณ์ของความรู้สึกที่ว่าเราต้องวิ่งให้เร็วอีก วิ่งให้มากขึ้น วิ่งให้ดีกว่านี้ เพื่อให้ถึง ‘ความมั่นคง’ นั้น

ในขณะที่สถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนาระบุในงานศึกษา ‘คนไทยทำงานหนักแต่ไม่คุ้มเหนื่อย’ พบว่า คนไทยทำงานนานกว่าค่าเฉลี่ยชั่วโมงการทำงานของคนยุโรป อเมริกา แอฟริกา และเอเชีย ในปี 2017 คนไทยทำงาน 2,185.45 ชั่วโมงต่อปี ส่วนคนยุโรปทำงาน 1,713.65 ชั่วโมงต่อปี ทำให้คนไทยทำงานนานกว่าคนยุโรปถึง 472 ชั่วโมง 

หากลองเปรียบเทียบกับประเทศเอเชียด้วยกันอย่างเกาหลี ในปี 2007 คนไทยกับคนเกาหลีมีจำนวนชั่วโมงการทำงานใกล้เคียงกัน คนไทยทำงาน 2,329.80 ชั่วโมงต่อปี ในขณะที่คนเกาหลีทำงาน 2,306.20 ชั่วโมงต่อปี แต่ผ่านมา 10 ปี  จำนวนชั่วโมงทำงานคนเกาหลีลดลงเหลือ 2,063.33 ชั่วโมงต่อปี ในขณะที่ประเทศเกาหลีสามารถพัฒนาและยกระดับคุณภาพรายได้ประชาชน

ดูเหมือนว่าแม้เราจะใช้เวลาทำงานนานแค่ไหนแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของประสิทธิภาพในการยกระดับรายได้

ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถูกรายล้อมด้วยคำแนะนำที่ว่าเราต้องวิ่งต่ออีก เราต้องพัฒนาทักษะ เติมความรู้ ทะเยอทะยานมากกว่านี้ ไขว่คว้ามากขึ้นอีก มันจึงทำให้เกิดคำถามว่า ที่ผ่านมา เรายังวิ่งไม่พอหรือ? แล้วเราต้องวิ่งไปถึงตอนไหนถึงจะเข้าใกล้ความมั่นคง? วิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่เราถึงจะดีพอ? วิ่งแค่ไหนเราถึงจะอยู่ในจุดที่สบายใจว่าชีวิตเราไม่ลำบาก? ต้องถีบตัวเองยังไงให้มีทักษะที่เรียกว่าตามทันโลกแล้ว? แล้วทุนจากไหนที่จะทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรเพื่อพัฒนาตัวเองและเข้าถึงสังคมที่พร้อมสนับสนุนเราไม่ให้กลายเป็นผู้แพ้ในท้ายที่สุด 

ในเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการวิ่งสู้ฟัด ในทางหนึ่งคำแนะนำเหล่านี้จึงกลายเป็น ‘ภาระทางใจ’ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งมันถูกมองว่า ‘ปัจเจก’ ต้องแก้ปัญหานี้เอง ความเครียดที่ต้องทะเยอทะยาน ขวนขวาย สู้ด้วยตัวเองก็ล่องลอยอยู่ทั่วอากาศในชีวิตประจำวัน บดบังเรื่องราวระหว่างทางที่อาจเกิดขึ้นแต่เราไม่ทันได้สังเกต

เราแทบไม่เหลืออะไรที่เรียกว่าความสุขเลย เพราะมันถูกมอบหมายให้อยู่คู่กับความมั่นคงที่ปลายทาง

แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรจะบอกได้เลยว่า เราใกล้จะถึงเส้นชัยความมั่นคงแล้ว บริบทเศรษฐกิจตกต่ำของโลก แต่ละประเทศต่างก็แก่งแย่งทรัพยากร ประเทศไร้เสถียรภาพการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าสังคมก็ไม่อาจเกื้อหนุนพาเราไปสู่ความมั่นคงได้เช่นกัน

แน่นอนว่าความมั่นคงคือสิ่งสำคัญ ในโลกที่เราต้องใช้เงินซื้อแทบทุกอย่าง การพยายามเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจขึ้นไป หรือสามารถคงสถานะนี้ได้โดยไม่ลำบากมากกว่านี้ แต่การเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง 

รายล้อมด้วยเสียงคำเตือนที่แทบไม่มีใครยื่นมือมาช่วยได้นำมาซึ่งคำถามว่า ตอนนี้เราตะบี้ตะบันวิ่งไปทำไมกัน?

หรือว่าจริงๆ แล้ว เราต้องมองความหมายของ ‘ความมั่นคง’ กันใหม่ มองผ่านแว่นตาที่ไม่ได้มีแค่เราต่อสู้อยู่เพียงคนเดียว แต่มีคนอีกมากที่ต้อง ‘มั่นคง’ ไปด้วยกัน

ดังนั้น จะเป็นไปได้ไหมที่ความมั่นคงไม่ใช่เรื่องของ ‘ตัวใครตัวมัน’ เราจะสร้างความหมายของ ‘ความมั่นคงร่วมกัน’ ได้ไหม? ช่วยกันสร้างบทสนทนาว่า ‘ความมั่นคง’ มีหน้าตาแบบไหน ทำยังไงให้ AI ไม่มาแทนที่เรา เราจะสะท้อนความยากลำบากนี้ไปถึงผู้พัฒนา AI ได้ไหม? พูดคุยกับผู้ประกอบการอย่างไรให้มีทิศทางบริหารการทำงานแบบใช้ AI เป็นเพียง ‘เครื่องมือทำให้งานดีขึ้น’ ไม่ใช่ ‘เอามาแทนที่คนทั้งหมด’ 

มันพอจะมีวิธีใดบ้างไหมที่เราพอจะไปสู่จุดหมาย ‘ความมั่นคง’ นั้นได้โดยที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
สุดารัตน์ พรมสีใหม่