การประชุมสภาในกรุงเบลเกรดของเซอร์เบียเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2025 มีวาระสำคัญที่การพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณด้านการศึกษา โดยพรรครัฐบาลต้องการผ่านกฎหมายนี้ออกมาบังคับใช้เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของกลุ่มนักศึกษาซึ่งเป็นแกนนำในการประท้วงรัฐบาลที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 จนถึงปัจจุบัน
การประท้วงครั้งนี้สะท้อนว่าประชาชนจำนวนมากไม่ไว้วางใจในรัฐบาลเซอร์เบีย และชนวนเหตุที่นำไปสู่การประท้วงเกิดจากเหตุการณ์ที่เพดานสถานีรถไฟทางเหนือของเซอร์เบียถล่มลงมาทับประชาชนเสียชีวิต 15 ราย ซึ่งผู้ชุมนุมจำนวนมากยืนยันว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดจากการทุจริตฉ้อฉลลดคุณภาพวัสดุก่อสร้างของหน่วยงานรัฐบาล และหลังจากนั้นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมก็ขยายไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ ของประชาชน รวมถึงการกดดันให้ ประธานาธิบดี มิลอส วูเชวิช พ้นจากตำแหน่งไป
แม้ประธานาธิบดีวูเชวิชจะประกาศลาออกเมื่อเดือนมกราคม 2025 แต่ผู้ชุมนุมและพรรคฝ่ายค้านย้ำว่าที่ประชุมรัฐสภายังไม่ได้มีมติอย่างเป็นทางการ จึงเรียกร้องให้สภาพิจารณาประเด็นวูเชวิชในการประชุมสภาวันที่ 4 มีนาคม กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดการปะทะและใช้กำลังทำร้ายร่างกายระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ทั้งยังเป็นความวุ่นวายซึ่งถูกรายงานเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกอีกด้วย
สำนักข่าว AP รายงานว่า ความตึงเครียดในสภาเริ่มขึ้นเมื่อ สส.ฝ่ายค้านพร้อมใจกันชูป้ายประท้วงรัฐบาลและเป่านกหวีดเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้ที่ประชุมสภาพิจารณาการลาออกของประธานาธิบดีวูเชวิชก่อนประเด็นอื่นๆ ทำให้เกิดการโต้เถียงระหว่างสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยฝ่ายค้านกล่าวว่ารัฐบาลพยายามสอดไส้วาระกฎหมายอื่นๆ เข้ามาในการประชุม เพื่อเตะถ่วงการพิจารณาลงมติเรื่องสำคัญ ส่อเค้าว่าต้องการตุกติกเข้าข้างการทุจริตของคนในรัฐบาล และในที่สุดสมาชิกพรรคฝ่ายค้านก็นำพลุสีขึ้นมาจุด รวมถึงปาระเบิดควันกลางที่ประชุมรัฐสภา
สื่อเซอร์เบียรายงานว่ามีการขว้างปาขวดน้ำและไข่ดิบเข้าใส่ สส.ฝั่งรัฐบาล นำไปสู่การปะทะและใช้กำลังทำร้ายร่างกายกันทั้งสองฝ่าย มีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ 3 ราย รวมถึง จัสมินา ออบราโดวิช สส.ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งถูกส่งนำตัวโรงพยาบาลเพราะมีอาการบาดเจ็บรุนแรง และ อันนา เบรนาบิช ประธานสภา ประณามพรรคฝ่ายค้านว่ามีพฤติกรรมเหมือน ‘แก๊งก่อการร้าย’
ความโกลาหลในเวทีการเมืองเซอร์เบียไม่ใช่การใช้ความรุนแรงในรัฐสภาครั้งแรก และอันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นแปลกใหม่อะไร เพราะแค่ปี 2024 ปีเดียวก็เกิดเหตุปะทะ ทำร้ายร่างกาย และการใช้ความรุนแรงในรั้วสภาทั่วโลกอย่างน้อย 8 เหตุการณ์ มีตั้งแต่การชกต่อย กระชากเก้าอี้ ปาไมโครโฟน ไปจนถึงขั้นยิงปืนดับชีวิตคน
ที่ประชุมรัฐสภามัลดีฟส์มีกำหนดพิจารณาลงมติเรื่องการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี 4 ราย ซึ่งถูกเสนอชื่อโดย ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด มูอิซซู เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2024 แต่ สส.จำนวนหนึ่งของพรรคฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ จึงเสนอให้เลื่อนประชุม ขณะที่ สส.พรรคร่วมรัฐบาลเรียกร้องให้ประชุมต่อ แต่ถูก สส.ฝ่ายค้านขัดขวาง ทั้งยังล้อเลียนด้วยการเป่าแตรของเล่นกลบเสียงทักท้วง จึงเกิดการยื้อยุดกันก่อนจะลงเอยที่การตะลุมบอนชกต่อยและเตะถีบกันระหว่าง สส.ทั้งสองฝั่ง
สส.ฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้านถกเถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างการอภิปรายเรื่องการกู้เงิน 900 ล้านดอลลาร์เพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคภายในประเทศ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2024 แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ทำให้ สส.สองฝ่ายเริ่มท้าทายด้วยวาจา ก่อนจะยื้อยุดฉุดกระชาก ซึ่งนำไปสู่การชกต่อยตะลุมบอนที่ สส.หลายคนเข้าร่วม ในขณะที่บางคนถูกลูกหลงบาดเจ็บ
รัฐบาลจอร์เจียพยายามผลักดันการพิจารณาเห็นชอบร่างกฎหมายควบคุมการแทรกแซงจากต่างชาติ หรือ Foreign Agent Law ซึ่งเสนอให้มีการตรวจสอบหรือระงับการทำงานขององค์กรภาคเอกชนที่รับเงินสนับสนุนจากต่างชาติ แต่ผู้คัดค้านมองว่ารัฐบาลต้องการจำกัดการเคลื่อนไหวของเครือข่ายภาคประชาสังคมที่วิจารณ์รัฐบาล การประชุมสภาเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2024 สส.ฝั่งรัฐบาลรายหนึ่งได้ลุกขึ้นอภิปรายร่างกฎหมายนี้ในสภา แต่ถูก สส.ฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยกระชากตัวออกจากที่นั่งและต่อยเข้าอย่างจังที่ใบหน้า และต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม 2024 เกิดเหตุตะลุมบอนในสภาอีกครั้งระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับเดิม โดย สส.ฝ่ายค้านกล่าวว่า สส.ฝั่งรัฐบาลอยู่เบื้องหลังม็อบที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้ชุมนุมต่อต้านร่างกฎหมายดังกล่าว ทำให้ทั้ง สส.สองฝ่ายลุกขึ้นมาชกต่อยกัน
รัฐบาลอิตาลีเสนอร่างกฎหมายเพิ่มอำนาจบริหารให้แก่เขตปกครองท้องถิ่น แต่ก่อนจะเริ่มอภิปรายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายดังกล่าวในที่ประชุมสภา วันที่ 13 มิถุนายน 2024 ลีโอนาร์โด ดอนโน รองหัวหน้าพรรค Five Star Movement ซึ่งคัดค้านร่างกฎหมายนี้ ได้นำธงชาติอิตาลีไปชูต่อหน้า โรแบร์โต กัลเดโรลี สส.พรรค Lega Nord พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อประท้วงเชิงสัญลักษณ์ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่เป็นภัยต่อเอกภาพของชาติ ทำให้ สส.พรรคร่วมรัฐบาลคนอื่นๆ ราว 20 คนกรูเข้ามาดอนโน และช่วงชุลมุนมีคนต่อยดอนโนหลายครั้ง จนดอนโนต้องถูกส่งตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล
สส.พรรค Worker’s Party ฝ่ายค้านของตุรกีลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านการระงับเอกสิทธิ์ของสมาชิกพรรครายหนึ่งซึ่งถูกจับกุมด้วยข้อกล่าวหาทางการเมืองเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2024 แต่ถูก สส.พรรครัฐบาลขัดขวาง หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ถกเถียงกันด้วยวาจาอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ และมีผู้ลงไม้ลงมือกับฝ่ายตรงข้าม นำไปสู่การชกต่อยชุลมุนระหว่าง สส.สองฝั่ง และภาพเหตุการณ์ที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ตุรกีแสดงให้เห็นว่าการวิวาทครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะมีคราบเลือดและเศษซากความเสียหายปรากฏในที่เกิดเหตุ
ในระหว่างการประชุมสภาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2024 สส.ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับมติเสียงข้างมากซึ่งนำโดย สส.พรรครัฐบาล เห็นชอบให้ดำเนินคดี เออร์วิน ซาเลียนจี สส.จากพรรค Democratic Party (DP) ในข้อหาใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาล สืบเนื่องจากการอภิปรายตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ และการถกเถียงระหว่างสองฝ่ายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีการขว้างไมโครโฟนและสิ่งของต่างๆ ใส่ผู้อภิปรายและรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการประชุมสภา ต่อจากนั้นได้มีการเผาเก้าอี้ประท้วง ซึ่งต่อมาศาลอัลเบเนียได้พิพากษาลงโทษ สส.ที่ก่อเหตุวุ่นวายในสภาทั้งหมดด้วยการปรับเงิน
หลังจากรัสเซียนำกำลังทหารบุกเข้าไปยังภูมิภาคอับคาเซีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือ และภูมิภาคเซาท์ออสซีเชีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจีย จากนั้นได้มีการประกาศรับรองสถานะ ‘รัฐปกครองตนเอง’ ของทั้งสองดินแดน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของจอร์เจียและประเทศตะวันตกอื่นๆ ที่มองว่ารัสเซียใช้กำลังเข้าแบ่งแยกดินแดนประเทศอื่น อับคาเซียจึงกลายเป็นรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองจากประเทศส่วนใหญ่ในเวทีโลก และการเมืองภายในอับคาเซียไม่ได้มีเสถียรภาพมากนัก โดยเหตุการณ์ที่ชี้ชัดว่าอับคาเซียเผชิญกับความแตกแยกทางการเมืองอย่างหนักคือกรณี สส. วาคตัง โกลันด์เซีย ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2024 โดยผู้ต้องสงสัย คือ สส. อัดกูร์ คาราเซีย แต่สื่ออับคาเซียและรัสเซียไม่ได้เปิดเผยแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ
เกิดการปะทะกันระหว่าง สส.พรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเสนอร่างกฎหมายปฏิรูปฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ สส.บางส่วนของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว จึงบุกเข้ายึดเก้าอี้ของประธานสภาผู้แทนราษฎรช่วงกลางดึกวันที่ 20 ธันวาคม 2024 เพื่อขัดขวางไม่ให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว สส.พรรคก๊กมินตั๋งจึงเข้าไปกระชากเก้าอี้ออกมา และกลายเป็นชนวนการชกต่อยและกระทืบ สส.หลายราย
คณะนักวิจัยของวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (London School of Economics and Political Science: LSE) ระบุในผลงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2022 ว่าการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุและผลของการใช้กำลังและความรุนแรงในรัฐสภาทั่วโลกหลังปี 2000 ยังมีน้อยเกินไป และการวิจัยของทีมได้วิเคราะห์ข้อมูลจาก 375 เหตุการณ์ความรุนแรงในสภาซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1980 - 2018 ภายใน 80 ประเทศทั่วโลก พบว่าไต้หวัน ตุรกี และยูเครน เป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีเหตุทะเลาะวิวาทหรือใช้กำลังในสภามากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
งานวิจัยระบุว่าประเทศที่ใช้ความรุนแรงในสภาส่วนใหญ่ไม่ได้ปกครองในระบอบเผด็จการอำนาจนิยม เพราะประเทศเผด็จการมักจะควบคุมกลุ่มการเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ การใช้กำลังในสภาจึงมักจะเกิดในประเทศที่มีสถานะกลางๆ คือไม่ใช่รัฐเผด็จการ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์
ประเทศ ‘กลางๆ’ ในความหมายของทีมวิจัยหมายถึงประเทศที่มีผู้นำหรือรัฐบาลที่ยึดครองตำแหน่งยาวนานกว่าวาระปกติเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในระบอบประชาธิปไตยเต็มใบที่มักจะมีกฎหมายป้องกันการยื้ออำนาจและมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด หรือไม่ก็เป็นประเทศที่ขั้วรัฐบาลไม่มีพรรคใดมีเสียงข้างมากแบบทิ้งห่าง ทำให้การลงมติตามกลไกรัฐสภาไม่สามารถตัดสินชี้ขาดได้ง่ายๆ และขณะเดียวกันก็อาจเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับความแตกแยกและแบ่งขั้วอย่างรุนแรงในสังคม
งานวิจัยยังระบุด้วยว่า ในประเทศเสรีประชาธิปไตยส่วนใหญ่ หน้าที่หลักๆ ของ ‘รัฐสภา’ คือการเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ผลักดันการออกกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารแทนประชาชน กระบวนการทางรัฐสภาจึงเป็นหนึ่งในกลไกถ่วงดุลและเจรจาต่อรองทางการเมืองอย่างสันติ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือการใช้ความรุนแรงกับผู้ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน
เมื่อพื้นที่ซึ่งควรเปิดกว้างสำหรับการถกเถียงแลกเปลี่ยนและหาข้อสรุปด้วยแนวทางการเจรจาอย่างสันติถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่แห่งการใช้กำลังหรือความรุนแรง จึงอาจเป็นภาพสะท้อนว่าการเมืองในรัฐหรือประเทศนั้นๆ กำลังตกอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ และการใช้ความรุนแรงในสภาบ่อยๆ อาจกระทบต่อความคิดเห็นของประชาชน ถึงขั้นที่อาจทำลายความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยได้
กรณีของประเทศไทยหวุดหวิดจะมีการ ‘วางมวย’ เกิดขึ้นในสภาเช่นกัน แม้จะไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออกแต่ก็มีการกระทบกระทั่งกันดุเดือดถึงขั้นด่ากันด้วยคำหยาบ รวมถึงการล็อกคอ-กระชากเก้าอี้และปาแฟ้มใส่กัน
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปรัฐบาลขณะนั้น เสนอให้เลื่อนญัตติวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ หรือ ‘พ.ร.บ.ปรองดอง’ รวม 4 ฉบับ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2012 (พ.ศ.2555) ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2553
สำนักข่าว Thai PBS และมติชน รายงานเรื่องนี้ว่า สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยรับพิจารณาญัตติ แต่ถูกคัดค้านจาก สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ตั้งข้อสังเกตว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถวินิจฉัยรับร่างกฎหมายฉบับนี้ได้โดยลำพัง และสถานการณ์ทวีความตึงเครียดเมื่อมี สส.หลุดคำหยาบคายออกอากาศ
จากนั้น อภิชาติ สุภาแพ่ง สส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และ สส.ร่วมพรรคอีก 2 คน ได้บุกเข้าประชิดตัวและกระชากแขนสมศักดิ์ให้ลงจากบัลลังก์ประธานสภา ส่วน นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ขว้างแฟ้มเอกสารใส่สมศักดิ์ ตามด้วย รังสิมา รอดรัศมี สส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ตรงเข้าไปลากเก้าอี้ประธานสภาออกไปเก็บด้านหลัง จนเกือบปะทะกับ สส.หญิงพรรคเพื่อไทยที่เข้าไปปกป้องสมศักดิ์ เหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นนำไปสู่การเปลี่ยนตัวประธานสภาและปิดประชุมในที่สุด
การทะเลาะวิวาทและใช้กำลังในสภาที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในปี 2024-2025 มีหลายกรณี และสามารถย้อนกลับไปได้ไกลนับสิบปี โดยสำนักข่าวหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น The Wall Street Journal, The Guardian รวมถึง TRT World ต่างก็เคยรายงานเหตุการณ์อื้อฉาวในสภาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่น สภาเซเนกัล เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2023 สส.หญิงพรรคร่วมรัฐบาล ถูก สส.ชายจากพรรคฝ่ายค้านตบหน้ากลางสภา ระหว่างการอภิปรายเรื่องงบประมาณรัฐบาล และ สส.หญิงยกเก้าอี้ขึ้นโต้กลับ จากนั้น สส.ชายจากทั้งฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้านก็พยายามห้ามปราม แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายกระทบกระทั่งกันหนักขึ้นจนกลายเป็นการชุลมุนต่อยตีเป็นวงใหญ่ ทำให้ประธานสภาสั่งยุติการประชุมและเลื่อนการพิจารณางบประมาณออกไป
แม้กระทั่งญี่ปุ่นซึ่งเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมก็เคยมีเหตุวิวาทในสภาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2015 เนื่องจากสมาชิกรัฐสภาขัดแย้งกันเองเรื่องที่ นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ พยายามผลักดันร่างกฎหมายเพื่อขยายอำนาจและเพิ่มบทบาททางการทหารของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น โดยผู้คัดค้านร่างกฎหมายนี้บางรายกระโดดขี่คอ สส.ฝ่ายรัฐบาล และต่อยศีรษะฝ่ายตรงข้ามจนคนรอบข้างต้องเข้ามาช่วยแยกออกจากกัน
นอกจากนี้ยังมีกรณี สส.เนปาล ที่ถกเถียงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญในปี 2015 และฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง รธน.ฉบับนี้ก็ใช้วิธีคล้ายของไทย คือ ลากเก้าอี้ประธานสภาหนี ตามด้วยปารองเท้าและไมโครโฟนใส่ สส.ฝ่ายตรงข้ามที่พยายามเข้ามาขัดขวาง
ขณะที่การประท้วงของ สส.ฝ่ายค้านในสภาโคโซโว เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2015 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงที่รัฐบาลไปลงนามร่วมกับเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เพราะฝ่ายค้านเห็นว่าโคโซโวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นำไปสู่การขว้างแก๊สน้ำตา ปาก้อนหิน พ่นสเปรย์พริกไทย และสาดสีชมพูในสภา ซึ่งถือว่าไม่น้อยหน้าการเป่านกหวีด จุดพลุสี และใช้ระเบิดควันในสภาเซอร์เบียครั้งล่าสุดเช่นกัน
อ้างอิง:
9 News Australia, Aljazeera, AP (1), AP (2), CBS News, CNN, First Post, The Guardian (1), The Guardian (2), The Hindustan Times, The Independent, LSE (1), LSE (2), Matichon Information Center, NBC News, News Central TV, Researchgate, Reuters, Sky News (1), Sky News (2), The Telegraph (1), The Telegraph (2), ThaiPBS, TRT World, The University of Chicago Press Journall, The Wall Street Journal