[1]
รถกระบะคันเก่ากำลังขับเคลื่อนพร้อมผู้โดยสารหลังรถ 6 คนอย่างอืดเอื่อยท้าทายกับความชันของเนินเขา สองข้างทางเขียวขจีด้วยทุ่งกว้างตัดสลับกับสีฟ้าของท้องฟ้าโปร่งโล่ง
“ไกลเหมือนกันนะคะ” ฉันเอ่ยกับหญิงสูงวัยที่นั่งเกยตักอยู่ข้างกัน
“เมื่อก่อนก็อยู่ข้างบนนี่แหละ แต่โดนไล่ลงไป”
“ทำไมหรือคะ”
“เขาก็เอาที่ไปทำอ่างเก็บน้ำ ปลูกอาหารสัตว์ ไล่คนลงไป จะทำไร่ทีก็ต้องขึ้นมาแบบนี้” แม่ลัดดา หนึ่งในแกนนำชาวกะเหรี่ยงโผล่วที่ร่วมผลักดันสิทธิคนชาติพันธุ์ เป็นเพื่อนคุยขณะที่รถเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
ท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม ที่แห่งนี้คือบ้านของ ‘ชาวกะเหรี่ยงโผล่ว’ จากอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มชนพื้นเมืองที่ดำรงชีวิตและถักทอสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับธรรมชาติมานานหลายชั่วอายุคน
วิถีชีวิตรูปธรรมที่สะท้อนสายสัมพันธ์นี้คือการทำ ‘ไร่หมุนเวียน’ ที่ตำราเรียนวัยประถมและมัธยมมักจะแปะป้ายว่าเป็น ‘ไร่เลื่อนลอย’ ถูกมองว่าเป็นการทำลายป่าจากการเผาเพื่อเตรียมหน้าดิน จึงเป็นที่มาของการอนุรักษ์ธรรมชาติในความหมายแบบคนเมือง ที่มองภาพธรรมชาติแบบไม่มีมนุษย์รวมอยู่ด้วย
แต่สำหรับชาวกะเหรี่ยง ไร่หมุนเวียนคือการดูแลรักษา ‘แม่’ เป็นวัฏจักรของการใช้ประโยชน์ที่ดินเพียง 1-2 ปี แล้วปล่อยให้ฟื้นตัวตามธรรมชาติเป็นระยะเวลา 6-7 ปี หรือนานกว่านั้น การเผาในไร่หมุนเวียนก็เป็นภูมิปัญญาที่ช่วยเพิ่มแร่ธาตุจากขี้เถ้าให้กับดิน ซึ่งระบบนี้ช่วยลดการใช้สารเคมีและคงความอุดมสมบูรณ์ของดินได้ แต่มักจะถูกมองว่าเป็นการเผาทำลายป่า บางช่วงเวลาคนเมืองถึงขั้นเกิดแคมเปญรณรงค์ไม่ซื้อของป่า หรือพืชผักที่ได้มาจากการเผา
อีกทั้ง วิถีชีวิตลักษณะนี้ไม่ได้ถูกยอมรับภายใต้กฎหมายและนโยบายของรัฐไทยสมัยใหม่เช่นกัน การตีเส้นแบ่งเขตป่า (ทับพื้นที่ที่ชาวบ้านอยู่มาก่อน) แบ่งพื้นที่ทำกิน และการพิสูจน์สิทธิในที่ดินมักอาศัยหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศที่แสดงร่องรอยการทำประโยชน์จากที่ดินแบบต่อเนื่องหรือเป็นแถวเป็นแนว ซึ่งขัดแย้งกับลักษณะของไร่หมุนเวียนที่แปลงปลูกจะย้ายไปเรื่อยๆ และพื้นที่พักฟื้นจะดูเหมือนป่าเมื่อมองจากภาพมุมสูง ด้วยกระบวนการพิสูจน์สิทธิเช่นนี้ แทบจะไม่มีโอกาสเลยที่ชาวกะเหรี่ยงจะสามารถได้สิทธิตามกฎหมายไทย
คุณลุงสารถีจอดรถเดินลงมาชี้ให้ดูว่าที่ตรงนี้เคยเป็นที่ทำกินของเขา ถูกไล่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายที่ดินที่เคยใช้ทำกิน ปัจจุบันนี้กลายเป็นพื้นที่ปลูกอาหารสัตว์ไปเสียแล้ว“เขาก็นึกถึงสัตว์นะ ไม่ได้นึกถึงคนหรอก” แม่ลัดดาพูดต่อ หลังจากส่งสัญญาณให้เคลื่อนรถต่อ
นโยบายของรัฐ เช่น โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบาย โดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) หรือ พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ ที่รัฐให้นิยามว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดินคนกับป่า พยายามจัดระเบียบการทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยมักกำหนดให้ชาวบ้านต้องทำกินในแปลงเดียวแบบอยู่กับที่ และจำกัดขนาดพื้นที่ เช่น ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครอบครัว และมักให้สิทธิเพียงชั่วคราว 20 ปี การเซ็นยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้เท่ากับเป็นการยอมรับสถานะผู้บุกรุกที่เข้ามาหลังจากการประกาศเขตป่า ซึ่งเป็นการลบล้างประวัติศาสตร์การอยู่อาศัยมานานนับร้อยปีของชาวกะเหรี่ยงโผล่ว
“สิ่งที่รัฐทำมันเหมือนบังคับให้เราทำร้ายแม่ของเรา เขาอยากให้เราปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไล่เราออกจากพื้นที่ที่เราเคยอยู่ ตอนนี้เอาไปทำอ่างเก็บน้ำ ไล่อีกรอบก็เอาที่ตรงนั้นไปให้สัมปทาน พวกเราเหลืออะไร เป็นเรื่องที่แม่ลัดดาเจ็บปวดนะ” เสียงพูดปะทะกับเสียงลม แต่การเอื้อนเอ่ยและพรั่งพรูความรู้สึกของแม่ลัดดานั้นยังคงแจ่มชัด
การบีบให้ชาวกะเหรี่ยงต้องละทิ้งไร่หมุนเวียนและหันมาทำเกษตรแปลงเดียวแบบอยู่กับที่ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องใช้สารเคมีและปุ๋ย ซึ่งเป็นการทำลายความเชื่อเรื่องการรักษาแม่ธรณี การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นการทำลายวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เพราะวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และองค์ความรู้ที่ผูกพันกับไร่หมุนเวียนและป่ากำลังจะหายไป
ในอดีต มีช่วงเวลาที่รัฐไทย (ในสมัยรัชกาลที่ 5) ยอมรับวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงโผล่ว และเรียกขานพื้นที่แห่งนี้ว่าเป็น ‘แผ่นดินแห่งสัญญา’ โดยยอมรับและเชื่อมั่นในความสามารถของชาวกะเหรี่ยงโผล่วที่จะอยู่ร่วมกับป่าและดูแลทรัพยากรธรรมชาติได้ด้วยวิถีชีวิตและจารีตประเพณีของตนเอง แต่ชุดความรู้และระบบราชการสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่มองธรรมชาติเป็นเพียงทรัพยากรทางกายภาพและเน้นการควบคุมตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้เข้ามาครอบงำและลดทอนบทบาทของความเชื่อและวิถีจิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกฎหมายของรัฐกับจารีตประเพณีของชุมชน
[2]
สำหรับชาวกะเหรี่ยง ดิน น้ำ ป่า คือชีวิตและจิตวิญญาณ พวกเขามองว่า ดิน เปรียบเสมือนแม่ธรณี ที่ต้องใช้ด้วยความเคารพและทะนุถนอม น้ำ คือสายเลือดที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง และเป็นพื้นที่แห่งจิตวิญญาณที่พวกเขาดูแลอย่างดี ส่วน ป่า ไม่ใช่แค่ผืนดินที่มีต้นไม้ปกคลุม แต่คือลมหายใจและชีวิต ความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งนี้ถูกสืบทอดจากบรรพบุรุษ ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นผ่านผู้นำทางจิตวิญญาณอย่าง ‘เจ้าวัด’ หรือที่ชาวกะเหรี่ยงเรียก ‘บ่งคู้’
ผศ.วรวิทย์ นพแก้ว อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ผู้ทำงานในพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยงโผล่ว จังหวัดสุพรรณบุรีอย่างใกล้ชิดเล่าว่า บ่งคู้คือผู้นำทางจิตวิญญาณที่ชาวกะเหรี่ยงแถบลุ่มน้ำตะเพินเคารพและนับถือมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
“ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าบ่งคู้จะเป็นตัวแทนธรรมชาติ ทั้งพระแม่ธรณีและพระแม่คงคา (ดินและน้ำ) ด้วยการเป็นเจ้าพิธีในประเพณีต่างๆ ผมคิดว่านี่เป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่สำคัญกับวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของคนในชุมชน”
ผศ.วรวิทย์ กล่าวต่อว่า ความเชื่อและจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงถูกพัฒนามาเป็นคำสอน กฎ กติกา และจารีตประเพณีที่ช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล ผู้นำทางจิตวิญญาณเป็นผู้สืบทอดคำสอน จารีต และความเชื่อ สอนให้เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ชาวบ้านมีปฏิทินชุมชนที่ระบุว่าแต่ละเดือนต้องประกอบพิธีกรรม หรือทำตามประเพณีใดบ้าง ซึ่งประเพณีตลอดทั้งปีล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติทั้งสิ้น
ชาวกะเหรี่ยงโผล่วมีประเพณีที่เรียกว่า ‘บุญค้ำไทร’ หนึ่งในประเพณีอันลึกซึ้งที่สะท้อนสายใยระหว่างผู้คนกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ต้นไทรในความเชื่อของชุมชนนี้ไม่ใช่เพียงไม้ยืนต้น หากแต่เปรียบดั่งเสาหลักแห่งความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขของหมู่บ้าน
ระหว่างรถจอดแวะระหว่างทาง ฉันได้เจอกับแม่ยุพิน ผู้นำหญิงอีกคนของชาวกะเหรี่ยงโผล่วที่เดินลงมาจากรถอีกคันที่ขับตามกันมา จึงมีโอกาสได้ถามไถ่เรื่องประเพณีค้ำไทรที่เพิ่งได้รับข้อมูลมาแต่ยังไม่แตกฉานกับมันนัก
“พอเข้าช่วงสงกรานต์ เป็นวันขึ้นปีใหม่ของเรา พี่น้องเราจะช่วยกันทำความสะอาดบริเวณต้นไทรอย่างพิถีพิถันเลยนะ แต่ละครอบครัวก็จะไปตัดต้นไผ่ตามจำนวนคนในบ้าน แล้วก็เอามาค้ำต้นไทรในลานพิธี” แม่ยุพินเริ่มเล่า
กิ่งไทรแต่ละกิ่งจะถูกค้ำด้วยความศรัทธา ผ่านท่อนไม้ไผ่ที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำจากลำห้วยไม่ไกลจากต้นไทรมากนัก แม่ยุพินเล่าต่อถึงสาเหตุที่ต้องตักน้ำเติมใส่ท่อนไม้ไผ่ว่า นี่คือการเคารพธรรมชาติในวิถีของกะเหรี่ยงโผล่ว ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากน้ำ ต้นไม้ยืนหยัดมั่นคงก็เพราะน้ำ กะเหรี่ยงมีชีวิตได้ก็เพราะน้ำและป่า ดังนั้นนี่คือการแสดงความเคารพและศรัทธาไปพร้อมกัน
“แม่น้ำ ลำห้วย คือสายเลือดของเรา มันเลี้ยงทั้งคน สัตว์ และพันธุ์พืช บรรพบุรุษเขาสอนมาแบบนี้ แม่เชื่อเหลือเกินที่พวกเรามีกินจนทุกวันนี้เพราะเราดูแลลำห้วยและป่าไม้ของเราอย่างดี เวลาพวกเราจะทำไร่แต่ละครั้งเราทำพิธีขอเจ้าป่าเจ้าเขาทุกครั้ง คนรุ่นใหม่อาจจะบอกว่างมงายนะ แต่มันเป็นวิถี เป็นวัฒนธรรมของเรา”
เมื่อเติมน้ำในกระบอกไม้ไผ่และนำไปค้ำต้นไทรเรียบร้อยแล้ว จากนั้นชาวบ้านจะจุดเทียนเพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกแง่หนึ่งเสมือนเป็นการเสี่ยงทาย หากเทียนลุกไหม้ดี หมายถึงความเป็นสิริมงคล พืชผลเจริญงอกงาม ชีวิตของตนเองและชุมชนดำเนินไปด้วยความร่มเย็น
พิธีนี้ไม่เพียงเป็นการสืบทอดความเชื่อ หากยังเป็นบทสะท้อนของวิถีชีวิตที่เคารพธรรมชาติ และเชื่อมโยงจิตวิญญาณของผู้คนเข้ากับผืนดินและต้นไม้ที่หล่อเลี้ยงพวกเขามาเนิ่นนาน
นอกจากนี้ชาวกะเหรี่ยงโผล่วยังมีประเพณีและความเชื่ออีกมากมายที่สะท้อนสายสัมพันธุ์ของชุมชนกับธรรมชาติ ทั้งการไหว้พระแม่โพสพ พิธีเรียกขวัญข้าว การปักสะเดิ่งในไรข้าว (ขอพรให้แม่ธรณีดูแลรักษา) เป็นต้น
[3]
หลังจากรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่มาสักพักก็หยุดชะงักอีกครั้ง ลุงคนขับคนเดิมเปิดประตูรถและเดินมาส่งสัญญาณว่าพวกเราต้องเดินเท้าต่อเข้าไปในพื้นที่ป่า เพื่อไปดูไร่หมุนเวียน
“นี่คือซากตอไม้ที่เราเผาไว้ เผาเตรียมที่”
“แทบจะมองไม่เห็นเลยนะคะ โดนต้นไม้บังหมดเลย” ฉันตอบกลับแม่ลัดดา
“เวลาเขาถ่ายภาพทางอากาศ เลยบอกว่าไม่เห็นที่ทำกินของแม่ไง”แม่ลัดดาพูดพรางเดินนำหน้า รับหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นนำทางพวกเราเดินสำรวจไร่หมุนเวียน แนะนำพืชพันธุ์ไปด้วย เด็ดให้ชิมบ้าง ระหว่างนั้นก็ย้ำอย่างหนักแน่นด้วยว่า การทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงนั้น ไม่ใช่การทำลายป่า เธอยกเหตุผลว่าหากการทำไร่หมุนเวียนเป็นการทำลายจริง ป่าก็คงไม่หลงเหลืออยู่แล้วหลังจากที่บรรพบุรุษทำมาหลายชั่วอายุคน
แม่ลัดดาและชุมชนได้สูญเสียพื้นที่ทำกินดั้งเดิมไปจากการประกาศเขตป่าและโครงการต่างๆ ของรัฐ เช่น อ่างเก็บน้ำ การนำไปทำสวนป่า ปลูกพืชอาหารสัตว์ ให้สัมปทานเอกชน เธอรู้สึกว่าชาวบ้านถูกเอารัดเอาเปรียบด้วยอำนาจของรัฐและนโยบายที่มัดมือชกอย่างมาก
“ป่าและธรรมชาติเป็นจิตวิญญาณเรา ถ้าบรรพบุรุษไม่อนุรักษ์ไว้ มันจะมีให้เห็นขนาดนี้หรือเปล่า วิถีชีวิตพวกเราอยู่กับธรรมชาติทั้งหมด”
การปกป้องสิทธิของชาติพันธุ์ไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อที่ดินทำกินเท่านั้น แต่ยังเป็นการคืนสิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามภูมิปัญญาและความเชื่อดั้งเดิม ที่ช่วยปกป้องและดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ความหวังในการคุ้มครองพื้นที่ชีวิตและจิตวิญญาณนี้ยังคงอยู่ในความพยายามผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้พวกเขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติด้วยวิถีของตนเองได้จวนเจียนยามเย็น ได้เวลาที่ต้องเดินทางกลับจากเขา ทุกคนต่างกระโดดขึ้นท้ายรถคันเดิมที่โดยสารมาช่วงเช้า รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าขามา อาจด้วยไม่ต้องคัดง้างกับแรงโน้มถ่วงเช่นเดิม ลมเย็นปะทะหน้า เราเดินทางกลับโดยมีเสียงร้องเพลงของแม่ลัดดาเป็นบทสรุปของวันที่ชุ่มเหงื่อด้วยไอร้อนของแสงแดด
“แผ่นดินผืนนี้ เคยมีชนเผ่ามาก่อน
ปู่ย่าเคยสั่งสอน วัฒนธรรมและประเพณี
จงรู้คุณค่า รักษาป่าเอาไว้ให้ดี
วันหน้าจะมีธรรมชาติให้ลูกหลานภูมิใจ
ต้นใหญ่ต้นไม้หมดไปเพราะสัมปทาน
เพราะความต้องการเอาป่าไปค้าไปขาย
น้ำในลำห้วยที่สวยกลับไม่ค่อยไหล
ขุ่นมัวเรื่อยไปไม่ใสและไม่มีปลา
วันนี้ที่ชุมชนคนห้วยหินดำ
ร่วมสร้างร่วมทำ ให้ป่านั้นคืนกลับมา
แล้วพื้นที่ป่า จากนั้นถูกพัฒนา
จงดีขึ้นมาป่าเสื่อมโทรมก็เขียวขจี
ลูกเอยลูกหลาน ร่วมผสานความตั้งใจ
ร่วมอนุรักษ์ไว้ให้แผ่นดินถิ่นที่นี้
ด้วยความสำนึกที่ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี
แผ่นดินนี้จะอุดมสมบูรณ์”
- เพลงที่ชาวกะเหรี่ยงโผล่วประพันธ์ขึ้นในชุมชนและใช้ขับร้องให้ลูกหลานฟัง -
ภาพ: จิตติมา หลักบุญ