Humberger Menu

ชีวิตแรงงานและคนเดินทางบนถนนพระราม 2

ถนนที่ใครก็ขนานนามว่า ‘ไม่มีวันสร้างเสร็จ’ และเกิดอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ถนนพระราม 2 อีกแล้ว”  เป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยครั้งในช่วงหลายปีมานี้ ด้วยอุบัติเหตุหลายครั้งที่เกิดขึ้นจากความประมาทและการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน

ถนนพระราม 2 เป็นเส้นทางหลักในการเดินทางเชื่อมต่อหลายจังหวัดจากกรุงเทพฯ ไปยังสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี และอีกหลายจังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งเส้นทางนี้มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งจนหลายคนเรียกเส้นทางนี้ว่าถนนสายมรณะหรือถนนที่ไม่มีวันสร้างเสร็จ

อุบัติเหตุบนถนนเส้นนี้เริ่มเกิดบ่อยขึ้นนับตั้งแต่เกิดโครงการสร้างทางหลวงพิเศษ ตามแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 – 2579 โดยมีสถิติอุบัติเหตุบนถนนพระราม 2 ตั้งแต่ปี 2561-2566 ทั้งหมด 2,243 ครั้ง บาดเจ็บ 1,304 คน และเสียชีวิต 143 คน

เหตุการณ์ล่าสุดที่หลายคนอาจยังจดจำได้คือคานสะพานก่อสร้างพังถล่มถนนพระราม 2 เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน และบาดเจ็บ 26 คน 

เมื่อปลายปีที่แล้วก็มีอุบัติเหตุพังถล่มหน้าตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรสาคร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย บาดเจ็บอีก 9 ราย และไม่นานมานี้ยังเกิดอุบัติเหตุที่วัสดุก่อสร้างหล่นใส่รถยนต์ของผู้ใช้ถนนและเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า จะมีการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยการก่อสร้างนี้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการเยียวยาต่ออุบัติเหตุเหล่านี้มีเพียงการเยียวยาจากกองทุนเงินทดแทน และกองทุนประกันสังคมสำหรับแรงงานที่ประสบภัย แต่การเยียวยาในด้านต่างๆ กลับถูกเก็บงำไว้ในความเงียบ 

รัฐบาลในฐานะผู้จัดจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องควรรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ แต่ทำไมถนนพระราม 2 ถึงยังเกิดอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้กันแน่?

อุบัติเหตุหลายครั้งเป็นปัญหาที่กฎหมายจริงไหม?

นับตั้งแต่เกิดมา ทุกๆ วัน เราจะเดินทางไปเรียนและไปทำงานผ่านถนนพระราม 2 ด้วยพื้นเพที่อยู่จังหวัดสมุทรสาครที่ต้องใช้เส้นทางนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ถนนเส้นนี้มีอุบัติเหตุนับครั้งไม่ถ้วนจนเริ่มชาชิน และเผลอลืมความหวาดกลัวไปแล้ว นับตั้งแต่เกิดโครงการสร้างทางยกระดับพระราม 2 เมื่อครั้งที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกฯ จากการยึดอำนาจรัฐประหารเมื่อปี 2557 เสียงคนในพื้นที่กลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจและต้องมีคำพูดในวงสนทนาอยู่เสมอว่า “จะสร้างอะไรอีก” 

การนั่งรถบนหลุมบ่อที่เกิดจากถนนพังและการสร้างถนนไปวนอย่างไม่รู้จบเป็นกิจวัตรที่ผู้ต้องผ่านถนนเส้นนี้ต้องยอมรับชะตากรรมที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อใด 

การสร้างทางยกระดับมักมีคนงานก่อสร้างมาทำงานในช่วงกลางคืนเป็นส่วนใหญ่และตอนกลางวันบ้างเป็นครั้งคราว หลายครั้งเราเจอกับคนงานที่ยืนบนที่เสาคอนกรีตสูงลิบลิ่ว โดยใส่เพียงแค่หมวกนิรภัย แค่มองดูเราก็เห็นถึง ‘ความไม่ปลอดภัย’

แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมีกฎหมายที่สามารถดำเนินคดีต่อผู้รับผิดชอบโครงการก่อสร้างพระราม 2 ได้ แต่กรณีนี้ยังมีช่องโหว่สำคัญที่ส่งผลให้อุบัติเหตุยังมีโอกาสเกิดขึ้นไม่รู้จบ 

“ประเทศไทยยังมีปัญหาสำคัญคือการไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วอย่างจริงจัง”

คือคำพูดของ รศ.ดร.สุปรียา แก้วละเอียด รองอธิการบดีฝ่ายบริหารศูนย์ลำปางและการคลัง และอาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายมหาชนและศูนย์กฎหมายภาษีอากร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่กำลังพูดถึงมาตรการทางกฎหมายที่ควบคุมการก่อสร้างในปัจจุบัน 

รศ.ดร.สุปรียา อธิบายว่าปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับเรื่องมาตรการในการควบคุมดูแลการก่อสร้าง แต่ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ในขณะที่สถิติผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุจากเรื่องงานก่อสร้างมีค่อนข้างสูง

ยกตัวอย่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 เป็นกลไกสำหรับการออกใบอนุญาต ข้อกำหนดด้านการควบคุมอาคาร แต่กฎหมายนี้ไม่ได้ควบคุมการปฏิบัติงานระหว่างก่อสร้างโดยตรง หรือ พ.ร.บ. ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 จะใช้กับทุกภาคอุตสาหกรรมโดยทั่วไป แต่ไม่มีมาตรการเฉพาะสำหรับภาคก่อสร้าง ซึ่งมีอัตราความเสี่ยงสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ 

“มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมการก่อสร้างของเอกชนยังมีช่องว่าง ในอนาคตเราอาจต้องแก้ไขให้ครอบคลุมมากขึ้นหรือออกกฎหมายเฉพาะว่าด้วยเรื่องนี้ แต่ทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพราะต่อให้มีกฎหมายเฉพาะหรือกฎหมายเขียนดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่บังคับใช้กฎหมาย มันก็ไม่มีประโยชน์”

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาคือการก่อสร้างพระราม 2 ถูกจัดจ้างโดยหน่วยงานรัฐ 

รศ.ดร.สุปรียา มองว่า กฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐยังมีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ได้ผู้รับเหมาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ใช้ 2 เกณฑ์หลักคือเกณฑ์ราคาและเกณฑ์อื่น ซึ่งเกณฑ์อื่นในที่นี้หมายถึงเกณฑ์คุณภาพ หรือที่เรียกว่าเกณฑ์ Performance แต่แนวปฏิบัติของกรมบัญชีกลางกลับใช้เกณฑ์ราคาเป็นหลัก 

เหตุผลหนึ่งคือหน่วยงานของรัฐเกรงการร้องเรียนกันเยอะ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องและทำให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้ยาวนานออกไปอีก และหน่วยงานรัฐไม่อยากมีปัญหากับองค์กรตรวจสอบอย่าง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อาจตีความหรือเห็นไม่ตรงกัน ทำให้หน่วยงานรัฐไม่กล้าใช้เกณฑ์คุณภาพ 

“หน่วยงานของรัฐต่างๆ จึงใช้เกณฑ์ราคาเป็นหลักในงานก่อสร้าง ไม่ใช้เกณฑ์คุณภาพประกอบ ทำให้เกิดการประมูลตัดราคา ผู้รับเหมาจะเสนอราคาต่ำเพื่อต้องการชนะการประกวดราคาและลดต้นทุนด้วยการลดจำนวนแรงงาน หรือการนำแรงงานที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญงานก่อสร้างมาทำงาน ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ และลดมาตรฐานการก่อสร้าง ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพของการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งและเกิดการฟ้องร้องขึ้น”

การฟ้องร้องจะลงโทษผู้รับผิดชอบอย่างไร

แม้เราอาจเห็นข่าวอุบัติเหตุมากกว่าฟ้องร้องเยียวยาผู้เสียหายหลังจากนั้น แต่กรณีพระราม 2 ที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่หลายครั้ง ทำให้สังคมกลับมาจับตาการลงโทษผู้รับผิดชอบครั้งนี้กันมากขึ้น

รศ.ดร.สุปรียา ยกตัวอย่างกรณีล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่เกิดอุบัติเหตุโครงสร้างสะพานก่อสร้างถนนพระราม 2 พังถล่ม ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องภาคเอกชนซึ่งรับผิดชอบก่อสร้างทางถนนพระราม 2 ได้ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง รวมถึงสามารถฟ้องได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล (บริษัท) รวมถึงฟ้องกรรมการผู้จัดการบริษัท ซึ่งทำหน้าที่บริหารและดูแลบริษัทได้ 

ในคดีอาญาสามารถฟ้องในฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งในกรณีทำนองนี้เคยมีการฟ้องบริษัทและกรรมการผู้จัดการบริษัทจนมีคำพิพากษาฎีกาหลายเรื่องที่วางบรรทัดฐานมาแล้ว 

ยกตัวอย่างเช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 3446/2537 ที่รู้จักกันดีคือคดีสยามแก๊ส ที่เกิดเหตุรถแก๊สพลิกคว่ำและทำให้ประชาชนที่สัญจรบนถนนและอยู่ในละแวกนั้นถึงแก่ความตาย กรณีนี้มีการฟ้องทั้งบริษัทสยามแก๊สและกรรมการผู้จัดการบริษัท ศาลลงโทษปรับนิติบุคคล (บริษัท) และลงโทษจำคุกกรรมการผู้จัดการบริษัท 

อีกกรณีคือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8565-8566/2558 คดีเหตุไฟไหม้ซานติก้าผับ เมื่อปี 2552 มีการฟ้องบริษัทและกรรมการผู้จัดการบริษัทในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 เช่นเดียวกัน

นอกจากการฟ้องตามมาตรา 291 แล้ว ผู้เสียหายยังสามารถฟ้องผู้ที่มีวิชาชีพหรือวิศวกรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ที่กำหนดว่าผู้ใดที่มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม ทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่พึงกระทำในการนั้นๆ โดยน่าจะเป็นเหตุทำให้เกิดอันตรายกับผู้อื่น ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ 

กรณีนี้มีคดีตัวอย่างคือคำพิพากษาฎีกาที่ 3793/2543 คดีโรงแรมรอยัลพลาซ่า โคราชถล่ม เป็นเหตุให้ผุ้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตวิศวกรออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง

“เราจะเห็นว่าในคดีอาญา ผู้เสียหายฟ้องได้ทั้งฐานประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและฟ้องได้ทั้งผู้ที่มีวิชาชีพ ซึ่งในคดีนี้คือวิศวกร แต่อย่างไรก็ดี การฟ้องนิติบุคคลหรือบริษัทในคดีอาญาจะมีข้อจำกัดในการลงโทษจำคุก เนื่องจากการจำคุกนิติบุคคลเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วโดยสภาพ ดังนั้น โทษจำคุกจะใช้กับบุคคลธรรมดาคือกรรมการผู้จัดการบริษัทเท่านั้น”

“ส่วนนิติบุคคลจะเป็นโทษปรับ ซึ่งจำนวนเงินที่ปรับตามประมวลกฎหมายอาญานั้นค่อนข้างน้อยมาก เพราะโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติมานานมากแล้ว ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น โทษปรับที่ลงกับนิติบุคคลหรือบริษัท เช่น ไม่เกิน 200,000 บาท แทบจะไม่มีความหมายเลยในเชิงการลงโทษ” รศ.ดร.สุปรียา กล่าว

แต่นอกจากการฟ้องร้องคดีอาญาแล้ว ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อให้เกิดการชดใช้เป็นสินไหมทดแทนได้ด้วย

รศ.ดร.สุปรียา อธิบายว่า ผู้เสียหายสามารถฟ้องเป็นคดีแพ่งในคดีละเมิดได้ ซึ่งมีเป้าหมายในการเยียวยาผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 วางหลักว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สิน เสรีภาพหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ย่อมเป็นการทำละเมิดซึ่งต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ดังนั้น ในกรณีถนนพระราม 2 ผู้เสียหายอาจฟ้องผู้รับเหมาหรือบริษัทฐานละเมิด เพื่อให้ทางบริษัทหรือกรรมการผู้จัดการบริษัทชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เช่น ค่าเสียหายของทรัพย์สิน ค่าขาดไร้อุปการะ ค่าปลงศพ ค่าเสียหายทางจิตใจ (การสูญเสียญาติหรือคนใกล้ชิด) เป็นต้น 

ส่วนการฟ้องร้องหน่วยงานรัฐโดยตรงในฐานะเจ้าของโครงการที่มีหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างและกำกับดูแล

รศ.ดร.สุปรียา กล่าวว่า การฟ้องหน่วยงานรัฐนั้นเป็นไปตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เนื่องจากหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ตามกฎหมายในการกำกับดูแลโครงการก่อสร้างให้เกิดความปลอดภัย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการดำเนินการหรือประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนจึงเป็นการละเมิด

กรณีนี้กฎหมายจึงกำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย เป้าหมายของความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่จึงเป็นเรื่องของคุ้มครองผู้เสียหาย โดยการชดใช้เยียวยาความเสียหาย

ขณะเดียวกันกฎหมายก็คุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำงานในหน้าที่ที่อาจเกิดความผิดพลาดได้ แต่ไม่ได้เกิดจากความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงด้วย 

รศ.ดร.สุปรียา ระบุว่า บทลงโทษสำหรับบริษัทรับเหมาที่จัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560  คือ 'การเป็นผู้ทิ้งงาน' ตามมาตรา 109 หรือการแบล็คลิสต์ แต่มาตรการดังกล่าวมีปัญหาเช่นกัน เพราะการเป็นผู้ทิ้งงานจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่มีความซับซ้อนมากและใช้เวลานานพอสมควร

ขณะที่ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเองก็ระบุให้เพิกถอนจากการเป็นผู้ทิ้งงานได้เพียง 2 ปีเท่านั้น (หรือ 5 ปี กรณีขัดขวางการแข่งขันหรือไม่สุจริต) ถ้าเข้าเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น มาตรการลงโทษโดยการเป็นผู้ทิ้งงานแทบไม่มีความหมายอะไร 

มากไปกว่านั้น แม้บริษัทนั้นๆ จะถือเป็นผู้ทิ้งงานแล้ว แต่การจัดตั้งบริษัทใหม่สามารถทำได้ง่ายมาก คือการใช้วิธีเปลี่ยนชื่อบริษัทและจดทะเบียนบริษัทใหม่ เท่านี้ก็สามารถเข้ามาเสนอราคาใหม่ได้ ถึงแม้ว่าระเบียบจะกำหนดผลของการเป็นผู้ทิ้งงานให้รวมไปถึงกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารนิติบุคคล รวมไปถึงบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกันที่มีบุคคลเหล่านี้ด้วยก็ตาม 

“ตรงนี้ก็จะเป็นปัญหาว่าเราไม่ได้มีระบบการกลั่นกรอง ติดตามหรือตรวจสอบที่มาของบริษัทหรือความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทใหม่และบุคคลเหล่านี้อย่างจริงจัง เราดูแค่ชื่อบริษัทหรือชื่อกรรมการของบริษัทเท่านั้น แต่ไม่ได้มีมาตรการหรือระบบการตรวจสอบที่มาและความสัมพันธ์ของบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่กับบริษัทเดิมที่เป็นผู้ทิ้งงาน ทำให้มาตรการการเป็นผู้ทิ้งงานหรือแบล็คลิสต์ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ” รศ.ดร.สุปรียาวิเคราะห์

การฟ้องร้องหน่วยงานรัฐจะส่งผลอะไรบ้าง

แม้การฟ้องหน่วยงานรัฐอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และต้องนำงบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากภาษีของประชาชนมาชดใช้ให้ผู้เสียหาย แต่ รศ.ดร.สุปรียามองว่าผู้เสียหายควรฟ้องคดีกับหน่วยงานรัฐ ด้วยเหตุผล 3 ข้อ คือ

1.ผู้เสียหายต้องได้รับการเยียวยาจากรัฐ เพราะเรื่องนี้เป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ การฟ้องคดีอาญาไม่ได้ทำให้เกิดการเยียวยาผู้เสียหาย เพราะเป้าหมายของคดีอาญาเป็นการลงโทษเพื่อปกป้องสังคม แต่การฟ้องการทำละเมิดของหน่วยงานของรัฐนั้นมีเป้าหมายในการเยียวยาประชาชนผู้เสียหาย 

นอกจากนี้ การฟ้องเอกชนเป็นคดีแพ่งต่อศาลยุติธรรมที่เป็นการฟ้องคดีละเมิดเช่นกันนั้นใช้ทุนทรัพย์มากกว่า ใช้เวลา และมีภาระการพิสูจน์ หากโจทก์ฟ้องคดีปกครองที่เป็นการละเมิดจากหน่วยงานรัฐ ใช้ทุนทรัพย์น้อยกว่า และมีโอกาสชนะคดีมากกว่าเพราะศาลปกครองใช้ระบบไต่สวน 

หมายความว่าศาลสามารถค้นหาความจริงได้ ภาระในการพิสูจน์ไม่ได้ตกอยู่กับอยู่กับโจทก์อย่างเดียว ไม่เหมือนกับคดีที่เป็นพวกคดีแพ่งหรือคดีอาญาที่ภาระในการพิสูจน์ต่างๆ จะอยู่ที่โจทก์ โอกาสที่เราจะได้รับการเยียวยาจากหน่วยงานรัฐมีค่อนข้างสูง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลปกครองและผู้เสียหายชนะคดีอยู่หลายคดี

ภาพจากศูนย์ข้อมูลไทยรัฐ

2. การฟ้องหน่วยงานรัฐ เมื่อหน่วยงานรัฐจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายไปแล้ว หน่วยงานของรัฐสามารถไล่เบี้ยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ หมายความว่าหน่วยงานรัฐนำเงินงบประมาณไปใช้เพื่อเยียวยาประชาชนก่อน 

จากนั้นหน่วยงานของรัฐก็จะไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกับผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้เงินคืนให้กับหน่วยงานของรัฐได้ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่กระทำไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  สรุปว่าเงินภาษีจะไม่เสียเปล่าไปในกรณีนี้เพราะจะได้เงินคืนจากการไล่เบี้ยจากเจ้าหน้าที่

3.การฟ้องหน่วยงานรัฐคือการสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐเข้ามาแก้ปัญหา เพราะเมื่อมีการจ่ายเงินเยอะ ต้องมีองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเข้ามาดู เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้ามาตรวจสอบการจ่ายเงินและตั้งข้อสงสัยได้ว่าทำไมถึงมีการจ่ายเงินสำหรับเรื่องนี้เยอะมาก หรือคณะรัฐมนตรี (ครม.) อาจเห็นว่าหน่วยงานนี้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายเป็นจำนวนมากและอาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย การสั่งการ การแก้ไขกฎหมายตามมา 

เช่นเดียวกับการตรวจสอบโดยรัฐสภาผ่านกลไกการตรวจสอบทางการเมือง เช่น การตรวจสอบโดยกรรมาธิการ การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นแรงกดดันทางการเมืองที่ต้องทำให้รัฐบาลต้องจัดการปัญหา ดังนั้น โดยส่วนตัวยังมองว่าการฟ้องหน่วยงานของรัฐยังมีประโยชน์อยู่ 

อนาคตต้องแก้ไขอะไรบ้าง

เมื่อไม่นานนี้เองรัฐบาลก็พยายามผลักดันมาตรการสมุดพกผู้รับเหมา เพื่อตัดคะแนนและตรวจสอบผู้รับเหมาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ทำตามระเบียบ 

รศ.ดร.สุปรียา วิเคราะห์ว่า สมุดพกนี้คล้ายกับระบบ Rating (การตัดแต้ม) หรือการให้คะแนน ซึ่งปัจจุบันทางกรมบัญชีกลางกำลังศึกษาเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีระเบียบมารองรับตรงส่วนนี้ กรมบัญชีกลางจึงต้องออกระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อมารองรับระบบสมุดพกผู้รับเหมาก่อน 

แต่การนำระบบตัดแต้มมาใช้ให้เกิดผลดีควรกำหนดการให้คะแนนจากการประเมินคุณภาพของสินค้าหรือบริการ ตัวอย่างเช่น ประเทศในสหภาพยุโรป (EU) หลายประเทศใช้หลัก MEAT หรือ Most Economically Advantageous Tender ซึ่งไม่ได้พิจารณาแต่เพียงราคา แต่พิจารณาคุณภาพของสินค้าและบริการ ระยะเวลาการส่งมอบงาน นวัตกรรมและเทคโนโลยี ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การบริการหลังการขายและบำรุงรักษาด้วย โดยมักใช้เกณฑ์ถ่วงน้ำหนักโดยกำหนดเปอร์เซ็นต์ในแต่ละองค์ประกอบ 

ดังนั้น หากไม่มีระบบติดตามและตรวจสอบคุณภาพการปฏิบัติงานของผู้ประกอบการหรือผู้รับเหมาแบบนี้ระบบตัดแต้มก็ไม่ได้สะท้อนคุณภาพงาน เพียงแต่สะท้อนความเสี่ยงของผู้รับเหมาเท่านั้น

“จริงอยู่ว่าระบบตัดแต้มเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ความสำคัญกับคุณภาพ แต่ระบบนี้จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อต้องมีกลไกอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพประกอบไปด้วย ได้แก่ เรื่องบทลงโทษที่ได้สัดส่วนและสามารถยับยั้งการกระทำผิดได้ในกรณีที่ถูกตัดแต้ม เช่น การตัดสิทธิจากการรับงานของภาครัฐ”

ภาพจากศูนย์ข้อมูลไทยรัฐ

นอกจากนี้ รศ.ดร.สุปรียา เสนอว่าควรมีบทลงโทษเรื่องการเป็นผู้ทิ้งงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นบทลงโทษที่ได้สัดส่วนมากกว่าที่เป็นอยู่  เช่น ควรมีการป้องกันการเกิดขึ้นของบริษัทเดิมในคราบของบริษัทใหม่หรือใช้บริษัทในเครือข่ายรับงานแทน เรื่องนี้ต้องมีมาตรการและเครื่องมือในการตรวจสอบให้มากกว่าแค่ชื่อบริษัทหรือชื่อผู้บริหารหรือกรรมการผู้จัดการบริษัท แต่ต้องตรวจสอบทั้งแนวดิ่งตั้งแต่ที่มาของการจัดตั้งบริษัท 

เช่น ใครเป็นกรรมการผู้จัดการหรือใครเป็นผู้บริหาร กรรมการผู้จัดการหรือผู้บริหารนั้นมีความสัมพันธ์กับบริษัทผู้ทิ้งงานหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบในแนวราบคือการตรวจสอบโยงไปยังบริษัทในเครือ ซึ่งตรงนี้แม้เป็นนิติบุคคลคนละราย แต่อาจมีความเชื่อมโยงกัน เช่น มีการโอนทรัพย์สินระหว่างกัน อยู่ในโครงข่ายเดียวกันหรือใช้สำนักงานเดียวกัน นี่เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่บริษัทหนึ่งถูกแบล็คลิสต์ก็สลับอีกบริษัทหนึ่งในเครือมารับงานแทนก็ได้ 

รวมทั้งควรมีมาตรการตรวจสอบประวัติของผู้รับเหมา หรือ Contractor Monitoring System ซึ่งในบางประเทศมีมาตรการนี้ คือ การเชื่อมโยงข้อมูลของบริษัทผู้รับเหมาเข้าด้วยกัน เช่น กระทรวงพาณิชย์ที่มีหน้าที่ดูแลการจดทะเบียนตั้งบริษัท สามารถเชื่อมโยงข้อมูลนี้เข้าไปที่กรมบัญชีกลางเพื่อให้เราสามารถดูต้นสายหรือที่มาที่ไป (Trace Back) ของบริษัทกลับไป เพื่อให้ป้องกันการหลบเลี่ยงการเป็นผู้ทิ้งงานได้ 

“แต่เราจะทำแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงข้อมูลถึงกันหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมบัญชีกลาง กระทรวงพาณิชย์หรือแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดถึงหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการต้องเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ เพื่อทำให้ตรวจสอบย้อนกลับไปได้ มาตรการเหล่านี้ก็จะเป็นส่วนเสริมกับมาตรการตัดแต้มผู้รับเหมาที่กรมบัญชีกลางกำลังจะทำ”

ภาครัฐกำลังทำอะไรไปแล้วบ้าง

ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเสริมความปลอดภัยในการก่อสร้างมากขึ้น แต่การทำงานของหน่วยงานรัฐต้องทำตามระเบียบขั้นตอนทำให้เกิดความล่าช้าและยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ 

หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องนี้มีอยู่หลากหลายหน่วยงาน แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักคือการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและกรมทางหลวง ซึ่งแบ่งกันกำกับดูแลโครงการนี้และโครงการที่สองหน่วยงานนี้ดูแลก็เคยเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงขึ้นมาแล้ว เช่น เหตุการณ์คานโครงสร้างสะพานที่กำลังก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถล่มลงมาในวันที่ 15 มีนาคม 2568 และเหตุการณ์คานเหล็กก่อสร้างทางยกระดับพังถล่มเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

ภาพจากศูนย์ข้อมูลไทยรัฐ

เราพยายามติดต่อหน่วยงานในความรับผิดชอบเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยได้ตามความคาดหวัง ส่วนผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องก็ยากที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 

แต่ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้มีแรงงานก่อสร้างเสียชีวิต เราจึงติดต่อไปยังกระทรวงแรงงานเพื่อหาคำตอบว่าหน่วยงานภาครัฐจะส่งเสริมความปลอดภัยให้กับการก่อสร้างทางยกระดับพระราม 2 นี้อย่างไรบ้าง

เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ สุวดี ทวีสุข ผู้อำนวยการกองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ถึงกรณีอุบัติเหตุถนนพระราม 2 โดย ผอ.สุวดี เล่าว่า ในเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมทางกองฯ ได้เข้าไปดูแลแรงงานในพื้นที่ตั้งแต่เช้าวันเกิดเหตุและดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล โดยมีสำนักงานประกันสังคมดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าฟื้นฟูเยียวยา 

ในขณะเดียวกันหลังจากเหตุการณ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสั่งให้มีการประชุมเพื่อระดมความเห็นของพนักงานตรวจความปลอดภัยของกรมสวัสดิการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

“เรารู้สึกว่าเราอาจเข้มงวดไม่มากพอ เราจึงต้องทำมากขึ้น โดยจะมีการพูดคุย 2 ผู้ดูแลหลักคือ

การทางพิเศษแห่งประเทศไทยกับกรมทางหลวง รวมถึงผู้รับเหมาช่วง สภาวิชาชีพวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) หรือสมาคมวิศวกร เพื่อหารือร่วมกันว่ามาตรการที่เราต้องเคร่งครัดมากขึ้นจะทำอย่างไร เพราะว่าปัญหาที่เกิดขึ้น 2 ครั้งหลังเกิดจากโครงสร้าง ไม่ใช่ว่าแรงงานไม่ใส่หมวกหรือเรื่องเล็กๆ” 

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดการหารือร่วมกันเกือบทุกหน่วยงานและมีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมด้วย 

ผอ.สุวดี ยืนยันว่าตอนนี้ กองฯ วางแผนตรวจสอบเข้มกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเดิมเป็นแค่การตรวจเยี่ยมคือไปด้วยกันระหว่างเจ้าของโครงการ กองเฉพาะกิจและผู้รับเหมา แต่คราวนี้กรมสวัสดิการฯ จะร่วมตรวจกันใหม่ ทั้งทีมเฉพาะกิจ, สำนักงานสวัสดิการและแรงงานจังหวัด, ผู้รับเหมา, สภาวิศวกร, วสท.และสมาคมวิศวกรด้วย

นอกจากนี้ กองความปลอดภัยจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้ลูกจ้าง โดยต้องตรวจสอบว่าทางบริษัทผู้รับเหมามีคู่มือด้านความปลอดภัยในภาษาที่แรงงานอ่านเข้าใจเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอทางกองฯ อาจต้องช่วยกันสร้างคู่มือมาเสริม เพื่อให้แรงงานทุกระดับมีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่การทำงานของตัวเองว่าทำอย่างไรถึงไม่เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเพิ่มช่องทางแอปพลิเคชั่นในการส่งเสริมระหว่างกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เจ้าของโครงการ และผู้รับเหมา เพื่อพูดคุยกันได้ตลอดเวลา 

“ทางผู้รับเหมาก็ทำตามมาตรการเต็มที่ แต่ไปหลุดกันที่หน้างาน เราจึงต้องเพิ่มเรื่องการรับรู้ของแรงงานในทุกระดับ โดยเฉพาะแรงงานก่อสร้างพระราม 2 ที่ทำงานในตอนกลางคืนเช่น หากแรงงานรู้สึกว่าร่างกายไม่พร้อมพอในการทำงานจะต้องบอกหัวหน้างานอย่างไร”


ผอ.สุวดี เล่าต่อว่า เรื่องการเสริมมาตรการความปลอดภัยในตอนกลางคืนจะต้องมีการคุยกันในที่ประชุม เนื่องจากปัจจุบันทั้งการทำงานก่อสร้างกลางวันและกลางคืนยังใช้มาตรฐานเดียวกันอยู่ 

“เราคิดว่าต้องคุยกับเจ้าของโครงการกับผู้รับเหมาด้วยว่ามาตรการสำหรับแรงงานทำงานกลางคืน ต้องมีระยะพักเบรกอย่างไร ซึ่งอาจต้องรับฟังจากฝั่งเจ้าของโครงการกับผู้รับเหมาอีกครั้งว่ามีมาตรการเหล่านี้รองรับหรือไม่” ผอ.สุวดีทิ้งท้าย 

ปัจจุบันการประชุมเกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัยของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยังมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือเรื่องการดำเนินการฟ้องร้องของผู้เสียหาย 

นอกจากผู้เสียหายโดยตรงแล้ว ยังรวมไปถึงทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากความไม่ปลอดภัยของถนนพระราม 2 นี้ ไม่ว่าจะเป็น แม่ค้าที่สูญเสียรายได้ คนที่ต้องเผชิญกับรถติดหลายชั่วโมง หรือคนที่อาศัยอยู่ตามเส้นถนนพระราม 2 ต่างสามารถฟ้องร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและหยุดวังวนอุบัติเหตุเหล่านี้

แม้การฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย การเยียวยา ไปจนถึงการผลักดันให้เกิดการป้องกันอุบัติเหตุจะใช้ระยะเวลา แต่เราทุกคนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสียงให้เกิดความปลอดภัยและลดการสูญเสียในอนาคตได้ 


บทความนี้จัดทำขึ้นโดยผู้สื่อข่าวที่ได้เข้าร่วมโครงการ UNDP Media Fellowship on Sustainable Development

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย