Humberger Menu

ทรัมป์สั่งทหารคุมม็อบ เป็นการใช้อำนาจแบบเผด็จการหรือเปล่า

การประท้วงต่อต้านเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Immigration and Customs Enforcement: ICE) เริ่มขึ้นในนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2025 หลังจาก ICE นำกำลังเข้าสุ่มตรวจค้นโรงงาน ห้างค้าปลีก รวมไปถึงโรงชำแหละเนื้อหลายแห่งซึ่งรายล้อมด้วยชุมชนที่ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายลาตินอเมริกัน เพื่อกวาดจับผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันในสังกัดพรรครีพับลิกัน ต่างเห็นด้วยกับมาตรการนี้

National Guard คุ้มกันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

อย่างไรก็ดี หนึ่งในผู้ถูก ICE จับกุมและคุมตัวในการสุ่มตรวจค้นช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา คือ เดวิด เวร์ตา (David Huerta) แกนนำสหภาพแรงงานชาวอเมริกัน ผู้วิจารณ์นโยบายการตั้งเป้าส่งกลับผู้อพยพจำนวนมหาศาลของทรัมป์ ทำให้เกิดการลุกฮือของทั้งสมาชิกสหภาพแรงงานและประชาชนทั่วไปเพื่อต่อต้าน ICE หลายจุดในนครลอสแองเจลิสและพื้นที่อื่นๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

เดวิด เวร์ตา

สำนักงานตำรวจนครลอสแองเจลิส (LAPD) ประกาศให้การประท้วงในบางพื้นที่ซึ่งเกิดเหตุจลาจล ปล้นสะดม และการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการชุมนุมโดยผิดกฎหมาย โดยมีภาพผู้ชุมนุมบางส่วนจุดไฟเผารถตำรวจ ทำลายร้านค้าและอาคารสำนักงานของรัฐ รวมถึงการชูธงชาติเม็กซิโก ทำให้ทรัมป์ใช้อำนาจของประธานาธิบดีออกคำสั่งให้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ หรือ National Guard รวม 2,000 นาย พร้อมด้วยหน่วยนาวิกโยธิน รวม 700 นาย เคลื่อนพลไปยังนครลอสแองเจลิสเพื่อควบคุมสถานการณ์และอารักขาเจ้าหน้าที่ ICE ปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2025

คนพวกนี้คือผู้ก่อจลาจลและตัวก่อปัญหาที่ถูกจ้างมา...

แกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย และแคร์เรน เบส นายกเทศมนตรีนครลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารสั่งการเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ ระบุว่า การสั่งการเคลื่อน National Guard ของทรัมป์คือการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ แทรกแซงกิจการภายในของรัฐแคลิฟอร์เนียและนครลอสแองเจลิส เพราะการคุมสถานการณ์ประท้วงเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจ และยืนยันว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นยังไม่ถึงขั้นควบคุมไม่ได้จนต้องอาศัยกำลังทหารเข้าช่วย และนิวซัมยื่นเรื่องต่อศาลประจำรัฐให้วินิจฉัยระงับคำสั่งเคลื่อนกำลังพลของทรัมป์ทันที

แกวิน นิวซัม

ผู้ว่าฯ นิวซัมยังตอกกลับเพิ่มเติมด้วยว่า ทรัมป์ไม่มีปัญหากับการละเมิดกฎหมายหรือการก่อจลาจล ตราบเท่าที่การก่อเหตุนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งพาดพิงกรณีทรัมป์ใช้คำสั่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 อภัยโทษผู้สนับสนุนทางการเมืองของตัวเองราว 1,500 คนซึ่งถูกจับกุมและตั้งข้อหาในการบุกอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อขัดขวางการประชุมสภาที่กำลังจะพิจารณาลงมติเห็นชอบผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งครั้งนั้นทรัมป์ได้พ่ายแพ้ให้กับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 46 จากพรรคเดโมแครต 

สื่ออเมริกันหลายสำนักรายงานด้วยว่าการเคลื่อนกำลังพล National Guard โดยไม่ได้รับการร้องขออย่างเป็นขั้นตอนจากผู้ว่าการรัฐเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การออกคำสั่งเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก 

อำนาจประธานาธิบดีกับการสั่ง National Guard

ครั้งสุดท้ายที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้อำนาจเคลื่อนกำลังพล National Guard โดยไม่มีคำร้องจากผู้ว่าการรัฐ คือ ปี 1965 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว

ครั้งนั้นคือสมัย ประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน ซึ่งออกคำสั่งให้ National Guard อารักขาการเคลื่อนขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิคนผิวดำ ต่างจากทรัมป์ที่เคลื่อนพลกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเพื่อไปอารักขาเจ้าหน้าที่ ICE ซึ่งเผชิญคดีฟ้องร้องหลายคดีว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเร่งทำยอดให้ได้ตามเป้าหมายในการส่งกลับผู้อพยพจำนวนมหาศาลที่ทรัมป์หาเสียงเอาไว้ก่อนจะได้รับเลือกกลับมาตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 บ่งชี้ว่า ICE ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิและความปลอดภัยของพลเรือนอย่างที่ควรจะเป็น

National Guard ของรัฐแคลิฟอร์เนีย

ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงบางส่วนยังมองว่าการส่งทหารไปปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจอาจนำไปสู่การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เพราะ National Guard และนาวิกโยธินไม่ได้ถูกฝึกฝนให้สลายการชุมนุม แต่ถูกอบรมให้ช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัยหรือไม่ก็ใช้กำลังอาวุธเพื่อคลี่คลายเหตุการณ์ฉุกเฉิน ประกอบกับการชุมนุมประท้วงส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างสงบและการก่อจลาจลเป็นเพียงส่วนน้อย การส่งทหารเข้าไปคุมสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นการตอบสนองอย่างตื่นกลัวเกินกว่าเหตุ

เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ชุมนุม

เมื่อรวมกับท่าทีของทรัมป์ซึ่งระบุผ่านสื่อว่าผู้ประท้วงต่อต้าน ICE ในลอสแองเจลิสเป็น ‘ผู้ก่อจลาจลและผู้สร้างปัญหาที่ถูกจ้างมา’ ถ้าไม่จัดการก็จะลุกลามบานปลายเหมือนไฟป่าที่เผาผลาญนครลอสแองเจลิสเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าทรัมป์มองผู้ชุมนุมต่อต้าน ICE เป็นปฏิปักษ์ของตัวเองและรัฐบาล ไม่ใช่ประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองตามสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญ 

การที่ผู้นำมองประชาชนเป็นศัตรูเป็นเรื่องอันตราย เพราะผู้นำที่ดีควรหาทางยุติปัญหาหรือหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงกับประชาชน แต่ทรัมป์กลับเป็นผู้โหมกระพือเชื้อไฟแห่งความขัดแย้งเสียเอง แต่ขณะเดียวกัน ผู้สนับสนุนทรัมป์ก็มองว่านี่คือการใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดของผู้นำที่พวกเขาต้องการ

ทรัมป์ทำให้กองทัพตกอยู่ในเกมการเมือง และดึงทหารออกมาจากภารกิจสำคัญเพื่อตอบสนองประโยชน์ของตัวเอง

ส่งทหารไปคุมม็อบ เหมือนส่ง K9 ไปต้อนแกะ

เมื่อ National Guard และนาวิกโยธินทยอยเคลื่อนกำลังพลเข้าสู่นครลอสแองเจลิส สำนักข่าวซานฟรานซิสโก The SF Chronicle ได้เผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่ National Guard สวมชุดลายพรางนอนกองบนพื้นอาคารแห่งหนึ่งด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เมื่อ 8 มิถุนายน ทำให้เกิดข้อถกเถียงและเสียงวิจารณ์ตามมาอย่างหนักในสื่อสังคมออนไลน์สหรัฐฯ

ผู้สนับสนุนทรัมป์และพรรครีพับลิกันบางส่วนตั้งคำถามว่าสื่อจงใจเผยแพร่ภาพตัดต่อโจมตีทรัมป์ เพราะมีผู้ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนกำลังพลตีความภาพดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการออกคำสั่งโดยหวังความนิยมทางการเมืองแต่ไม่มีแผนการรองรับที่ชัดเจนพอ ทำให้บรรดาทหาร National Guard ไม่ได้รับงบหรือการสนับสนุนจากรัฐส่วนกลาง จึงไม่มีทั้งที่พักหรืออาหารที่เหมาะสมเพียงพอต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่

หนึ่งในสาเหตุที่ National Guard ไม่ได้รับการสนับสนุนครั้งนี้เป็นเพราะทรัมป์สั่งการโดยข้ามขั้นการยื่นคำร้องของผู้ว่าการรัฐ ซึ่งโดยตำแหน่งคือผู้มีอำนาจสั่งการ National Guard ที่อยู่ประจำรัฐของตัวเอง โดยกรณีนี้ผู้ว่าฯ นิวซัมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียก็ยืนยันตั้งแต่แรกว่าสถานการณ์ยังควบคุมได้ ทั้งยังมองว่าการส่งทหารมาควบคุมฝูงชนจะยิ่งเป็นการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหนักกว่าเดิม คำสั่งของทรัมป์จึงไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานปกครองในท้องถิ่น ทั้งยังถูกมองเป็นการแสดงอำนาจเพราะทรัมป์โจมตีว่านิวซัมไร้ความสามารถในการคุมประท้วง และสมควรถูก ICE จับกุมไปด้วย 

National Guard และเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐ

สถานการณ์ดังกล่าวถูกนักวิเคราะห์ตีความว่าเป็นการประลองกำลังระหว่างทรัมป์และนิวซัมซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต โดยมีทหาร National Guard ติดอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ 

ต่อมา SF Chronicle ยืนยันว่าภาพ National Guard ที่ไม่ได้รับการดูแลจนต้องอยู่อย่างอัตคัดและแออัดในอาคารรัฐบาลแห่งหนึ่ง ‘ถ่ายจากเหตุการณ์จริง’ โดยไม่มีการตัดต่อใดๆ ทั้งสิ้น และโฆษกของ National Guard ประจำรัฐแคลิฟอร์เนียก็ช่วยยืนยันอีกแรงว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพจริง ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์การออกคำสั่งแบบลัดขั้นตอนของทรัมป์ดังขึ้นกว่าเดิม 

หนึ่งในความคิดเห็นที่อาจสั่นสะเทือนความนิยมของรัฐบาลทรัมป์มาจากกลุ่มทหารผ่านศึกที่แสดงตัวในสื่อสังคมออนไลน์ว่าไม่เห็นด้วยกับการออกคำสั่งเคลื่อนกำลังพลของทรัมป์ 

Yahoo! News รายงานความเห็นบางส่วนซึ่งระบุว่า ‘ภารกิจหลักของทหารคือการปกป้องมาตุภูมิและประชาชน’ ขณะที่การประท้วงเป็นรูปแบบหนึ่งในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน รัฐบาลควรรับฟังความเห็นของประชาชน การส่งทหารไปคุมการประท้วงจึงขัดต่อคำปฏิญาณของเหล่าทหารอาชีพ

นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบว่าการส่งทหารไปคุมฝูงชนของทรัมป์ ไม่ต่างกับการส่งสุนัขตำรวจ หรือ K9 ที่ถูกฝึกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามอาชญากรไปต้อนแกะที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด 

แต่ประเด็นสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงเห็นพ้อง คือข้อเท็จจริงว่าทหารถูกฝึกให้ใช้กำลังอาวุธและการปราบปราม ไม่ได้ถูกฝึกให้สลายการชุมนุมเหมือนตำรวจ ทั้งยังระบุด้วยว่า National Guard จำนวนหนึ่งก็คือคนหนุ่มเลือดร้อน ถ้าเกิดคนเหล่านี้ถูกยั่วยุจากผู้ชุมนุมก็เดาได้เลยว่าจะต้องมีการตอบโต้กลับไปอย่างสาสมแน่นอน และอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงที่หนักข้อกว่าเดิมในกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วน

National Guard เหมือนหรือแตกต่างจากทหารประจำการ

กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ National Guard เป็นหนึ่งในกำลังพลสำรองของกองทัพสหรัฐฯ จึงไม่ได้เป็นทหารประจำการเต็มเวลา แต่เป็นผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ นอกเหนือจากทหาร และบางส่วนยังคงเล่าเรียนอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา จึงปฏิบัติหน้าที่แบบ ‘พาร์ตไทม์’ ซึ่งแตกต่างจากทหารอาชีพ

กำลังพลที่อยู่ในสังกัด National Guard จะต้องไปรายงานตัวและประจำการโดยขึ้นตรงกับหน่วยงานของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิประจำรัฐต่างๆ ที่ตัวเองพำนักอาศัยอยู่ แต่ต้องรับฟังทั้งคำสั่งของรัฐท้องถิ่นและรัฐบาลกลางในกรณีฉุกเฉินหรือภาวะสงคราม 

ในเวลาปกติ National Guard ต้องเข้ารับการฝึกอบรมการปฏิบัติภารกิจต่างๆ เป็นประจำทุกเดือน และในแต่ละปีจะต้องปฏิบัติหน้าที่จริงเพื่อเก็บสะสมแต้มให้ได้ตามเป้าหมายในการรับใช้ชาติ โดยแต้มดังกล่าวสามารถนำไปแลกกับสิทธิหรือสวัสดิการบางส่วนซึ่งทหารประจำการเต็มเวลาได้รับจากกองทัพหรือรัฐบาลกลาง 

อย่างไรก็ดี ภารกิจหลักของ National Guard มักเป็นการช่วยเหลือประชาชนและบรรเทาสาธารณภัยในสถานการณ์ฉุกเฉินมากกว่า 

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา National Guard ถูกส่งไปรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในแต่ละรัฐ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ไฟป่า น้ำท่วม รวมถึงช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขควบคุมโรคระบาด COVID-19 แต่มีบางกรณี National Guard ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างแดนเช่นกัน ได้แก่ การช่วยเหลือกองทัพอเมริกันวิเคราะห์ข้อมูล หรือช่วยฝึกอบรมทหารพันธมิตรในประเทศที่เกิดสงคราม เช่น อัฟกานิสถาน อิรัก ยูเครน

ข้อมูลของ National Guard ที่สำรวจล่าสุดในปี 2023 พบว่ากำลังพลสำรองของกองทัพส่วนนี้มีจำนวนมากกว่า 430,000 นาย และ National Guard ต้องรับคำสั่งทั้งจากหน่วยปกครองในระดับรัฐและรัฐบาลส่วนกลาง จึงแตกต่างจากนายทหารประจำการเต็มเวลาที่รับคำสั่งจากส่วนกลางโดยตรง ทั้งยังไม่ได้รับสวัสดิการเต็มรูปแบบเหมือนทหารอาชีพ 

ก่อนหน้านี้มีการออกคำสั่งให้ National Guard คุมสถานการณ์ประท้วงเช่นกัน ซึ่งก็คือการประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมและสิทธิคนผิวดำหลังจากที่ จอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวดำเสียชีวิตขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวทั้งที่ไม่มีการตั้งข้อหาชัดเจน นำไปสู่การประท้วงในนาม Black Lives Matter เมื่อปี 2020 

ทรัมป์ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกได้สั่งเคลื่อนกำลังพล National Guard ตามคำร้องของผู้ว่าการรัฐต่างๆ ในขณะนั้นเพื่อควบคุมการประท้วง Black Lives Matter แต่แตกต่างจากกรณีล่าสุดในนครลอสแองเจลิสซึ่งทรัมป์ไม่สนใจคำคัดค้านของผู้ว่าการนิวซัม และนำไปสู่ภาวะลักลั่นที่ National Guard ไม่ได้รับการสนับสนุนเพราะเป็นการเคลื่อนพลอย่างกะทันหัน ไม่มีการเตรียมการล่วงหน้าจากหน่วยงานระดับรัฐ

ก่อนหน้านี้รัฐบาลกลางเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน โดยเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุจลาจลในวันที่ 6 มกราคม 2021 ซึ่งทรัมป์พูดผ่านสื่อให้ผู้สนับสนุนของตัวเองต่อต้านผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ตัวเขาพ่ายแพ้ให้กับ โจ ไบเดน จนนำไปสู่การบุกรุกอาคารรัฐสภา ครั้งนั้นมีการสั่งเคลื่อนกำลังพล National Guard อย่างกะทันหันเช่นกัน ทำให้ทหารบางส่วนไม่มีที่ประจำการ ต้องรวมพลกลางแจ้งนอกอาคารรัฐสภาโดยไม่มีน้ำและอาหาร 

กรณี 6 มกราคม 2021 มีผู้วิจารณ์ในสื่อออนไลน์ว่าการออกคำสั่งให้ National Guard เคลื่อนพลมาคุมสถานการณ์เกิดขึ้นหลังจากผู้บุกรุกอาคารรัฐสภาถูกจับกุมและสลายตัวไปแล้ว ซึ่งดูจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ล่าช้า ต่างจากการออกคำสั่งครั้งล่าสุดของทรัมป์ที่มีเป้าหมายเพื่อคัดง้างกับผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียโดยตรง 

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองอเมริกันระบุว่าท่าทีของทรัมป์ในการเคลื่อนกำลังพลครั้งนี้ชัดเจนว่าเพื่อโจมตีผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียที่อยู่พรรคฝ่ายค้านอย่างเดโมแครต ทั้งยังส่งสัญญาณข่มขวัญไปยังประชาชนในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตมาโดยตลอด 

ท่าทีของทรัมป์สะท้อนว่าเขามองประชาชนที่เห็นต่างจากตัวเองเป็น ‘ศัตรู’ และการที่ผู้นำประเทศคิดเช่นนี้จะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายในสังคมมากยิ่งขึ้น เพราะผู้นำคือผู้มีอำนาจสั่งการและกำหนดนโยบายหลายด้านที่จะส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ 

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทหารเข้าแทรกแซง ‘กิจการพลเรือน’

หน้าที่ของทหารในหลายประเทศคือการปกป้องพลเรือนจากภัยคุกคามหรือศัตรูภายนอก ขณะที่ตำรวจถูกวางบทบาทในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายที่ดูแลกิจการพลเรือนในประเทศ แต่ก็มีหลายเหตุการณ์ในหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ทหารเข้ามาแทรกแซงกิจการพลเรือน 

การแทรกแซงกิจการพลเรือนของเหล่าทหารมีตั้งแต่การก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไปจนถึงการส่งทหารเข้าควบคุมหรือสลายการชุมนุมของผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล ซึ่งหลายกรณีมักเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอาจจะมีความหนักเบาแตกต่างกันไป

ในสหรัฐฯ เคยมีกรณีที่ National Guard ถูกส่งไปควบคุมการประท้วงเมื่อปี 1970 ซึ่งมีการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนามครั้งใหญ่ ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่มหาวิทยาลัยเคนต์ในรัฐโอไฮโอ หรือที่เรียกว่า Kent State Shooting โดยบทความใน The Conversation ระบุว่า 4 พฤษภาคม 1970 ทหาร National Guard ยิงกระสุนจริงเข้าใส่ฝูงชนหลังเกิดการยั่วยุและปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธเสียชีวิต 4 คน บาดเจ็บอีก 9 คน โดยนักศึกษาที่บาดเจ็บคนหนึ่งกลายเป็นอัมพาตตลอดชีวิต

การที่ทรัมป์ส่งทหาร National Guard เข้าไปยังนครลอสแองเจลิส จึงถูกนักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นชนวนไปสู่ใช้กำลังอาวุธหรือความรุนแรงกับผู้ชุมนุม และนิวซัมระบุว่าทรัมป์เป็นเผด็จการเพราะใช้อำนาจเกินกว่าเหตุเข้าแทรกแซงอำนาจวินิจฉัยของผู้ว่าการรัฐ

นอกจากนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หรือ ICE ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลทรัมป์ยังเป็นสิ่งที่ถูกสังคมตั้งคำถามเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

สำนักข่าว ABC News และ The New York Times รายงานอ้างอิงเอกสารสั่งการภายในรัฐบาลทรัมป์ที่ระบุว่า ICE จะต้องจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายให้ได้อย่างน้อยวันละ 3,000 คน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายส่งกลับผู้อพยพ 1,000,000 คนที่ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ นำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่แบบเร่งรีบและไม่คำนึงถึงสิทธิหรือสวัสดิภาพของประชาชน

ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ICE) จับกุมผู้อพยพที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย

นับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 มีผู้อพยพถูก ICE ส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงถูกผลักดันออกนอกสหรัฐฯ หรือถูกส่งไปควบคุมตัวที่ศูนย์กักกันในอ่าวกวนตานาโมประมาณ 2,000 คน แต่หลายกรณีเกิดความผิดพลาดซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องกลับว่าเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยประมาท ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชน

ในกรณีนี้รวมถึงผู้อพยพ 2 รายซึ่งได้รับสัญชาติอเมริกันอย่างถูกกฎหมาย แต่ถูกเจ้าหน้าที่ ของ ICE ส่งกลับประเทศต้นทางโดยไม่รอคำวินิจฉัยจากศาลในเดือมเมษายน-พฤษภาคม และผู้บริหารของ ICE ได้ออกมายอมรับความผิดภายหลัง โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลจาก ‘การสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างหน่ยงาน’ ทำให้ครอบครัวของผู้อพยพ 2 รายนี้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับผิดชอบการนำตัวคนกลับมา รวมถึงเรียกร้องค่าชดเชยที่ทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนและหวาดหวั่น

นอกจากนี้ยังมีตำรวจศาลในเมืองทูซอนถูกเจ้าหน้าที่ ICE ควบคุมตัวเพราะได้รับข้อมูลบ่งชี้ตำรวจคนดังกล่าวเป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติจากเอลซัลวาดอร์ แม้ผู้ถูกจับกุมจะได้รับการปล่อยตัวในเวลาไม่นาน แต่การสุ่มจับกุมของ ICE ก็กระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลคนดังกล่าวซึ่งบางครั้งต้องปกปิดตัวตนในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และมีอีกหลายกรณีประชาชนร้องเรียนว่า ICE ใช้แอปพลิเคชันประเมินใบหน้าอาชญากรเป็นเบาะแสในการจับกุมหรือคุมตัวผู้ต้องสงสัย แต่ข้อมูลจากแอปดังกล่าวมีข้อผิดพลาด ทำให้ผู้บริสุทธิ์หลายสิบรายถูกกักตัวและสอบปากคำเพราะบางรายไม่ได้พกเอกสารระบุตัวตนติดตัว ทำให้ถูกคุมตัวเป็นเวลานาน 

สำนักข่าว ABC News รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ เจสัน เฮาส์เซอร์ อดีตผู้บริหาร ICE สมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งวิจารณ์การทำงานของ ICE ในยุคทรัมป์ว่าสถานการณ์ตอนนี้อยู่ในภาวะตึงเครียด เพราะนี่เป็นการเล่นไปตามเกมการเมืองของรัฐบาลทรัมป์ และเป้าหมายไม่ใช่เพื่อการปกป้องความมั่นคงของชาติ แต่เป็นแค่การเพิ่มยอดให้ได้ตามจำนวนที่ทรัมป์เคยประกาศไว้

ส่วนกรณีของไทยในช่วงสงครามเวียดนาม รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคนั้นมีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลไทยต่อต้านการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีการออกคำสั่งให้ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เข้าควบคุมสถานการณ์ตามแนวชายแดน ในสมัยที่ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เรืองอำนาจ

ทั้งนี้ ข้อมูลจากมูลนิธิโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ระบุว่า หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยประสบกับภาวะจำกัด “ด้วยเงื่อนไขและพันธสัญญาระหว่างประเทศทำให้รัฐบาลไม่สามารถวางกำลังทหารไว้ตามแนวชายแดนของประเทศได้ รัฐบาลในขณะนั้นจึงมีแนวคิดที่จะจัดตั้งหน่วยตำรวจพิเศษขึ้นมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน” หน่วยตำรวจพิเศษอย่าง ตชด. จึงถือกำเนิดขึ้น

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจ แต่หลักการทำงานในด้านยุทธศาสตร์ของหน่วยตำรวจพิเศษนี้คือต้องสามารถ ‘ปฏิบัติการรบนอกแบบได้’ และพร้อมที่จะ ‘สนับสนุนกองทัพได้ทันทีเมื่อเกิดสงคราม’ โดยหน่วยตำรวจนี้ต้องสามารถเดินเท้าหรือเข้าไปในพื้นที่โดยการส่งทหารอากาศ และทำการปราบปราม ‘โจรผู้ร้าย’ ที่ใช้รอยต่อของประเทศและจังหวัดเป็นที่ซุกซ่อน และทำการสกัดกั้นปราบปรามการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายผ่านแดน ซึ่งอาจเปรียบเทียบกับกรณี National Guard ของสหรัฐฯ ซึ่งถูกส่งไปควบคุมสถานการณ์ตามแนวชายแดนรัฐที่เชื่อมต่อกับประเทศเม็กซิโกในช่วงนี้ได้เช่นกัน

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ