Humberger Menu

วัดกำลัง อิหร่าน vs. อิสราเอล

  • อิสราเอลโจมตีอิหร่านนับร้อยจุด เมื่อ 13 มิถุนายน 2025 โดยอ้างว่าอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นอันตราย อิสราเอลจึงต้องเปิดฉากบุกก่อนเพื่อป้องกันตัวเอง แต่อิสราเอลและอิหร่านมีแสนยานุภาพทางทหารสูสีกัน คือ อันดับ 15-16 ของโลก จึงมีบทวิเคราะห์ว่าทั้งสองฝ่ายอาจไม่ยอมยุติศึกง่ายๆ และมีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นสงครามครอบคลุมทั่วตะวันออกกลาง
  • นักวิเคราะห์ประเมินว่า เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ใช้การโจมตีอิหร่านเพิ่มคะแนนนิยมแก่รัฐบาลตัวเอง ทั้งยังมีเป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงอำนาจที่ปกครองอิหร่านในขณะนี้ เพราะกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรของอิหร่านกำลังอ่อนแรง ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ ยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น เพราะมีแนวโน้มจะสนับสนุนการใช้กำลังอาวุธ
  • ทางด้านอิหร่านประกาศว่าจะลงทัณฑ์อิสราเอล พร้อมยิงขีปนาวุธตอบโต้ไปไกลถึงเมืองสำคัญของอิสราเอลอย่างเทลอาวีฟและไฮฟา พร้อมทั้งขู่จะโจมตีกำลังพลของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ประจำการในตะวันออกกลาง หรือสั่งปิดช่องแคบฮอร์มุซที่เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าสายสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกยิ่งผันผวน เงินเฟ้อรุนแรงขึ้น การขนส่งสินค้าล่าช้า กระทบเศรษฐกิจโลก

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านระลอกใหม่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 กองกำลังป้องกันตนเอง (IDF) หรือกองทัพอิสราเอล เปิดฉากโจมตีพื้นที่นับร้อยจุดทั่วทั้งอิหร่านโดยใช้ชื่อปฏิบัติการว่า ‘สิงโตผงาด’ (Operation Rising Lion)

อิสราเอลโจมตีสถานีโทรทัศน์ของอิหร่าน

โฆษกของ IDF ออกแถลงการณ์อ้างอิงข้อมูลหน่วยข่าวกรองอิสราเอล ระบุว่าอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งอาจสำเร็จลุล่วงภายในครึ่งปีหรือไม่เกินปีต่อจากนี้ ประกอบกับรัฐบาลอิหร่านและผู้นำกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านเคยขู่จะโจมตีอิสราเอลหลายครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้อิสราเอลต้องเปิดฉากโจมตีอิหร่านก่อนเพื่อต้องป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ 

ระบบต่อต้านขีปนาวุธของอิสราเอลปกป้องการยิงของอิหร่าน

IDF ยังระบุด้วยว่า ปฏิบัติการสิงโตผงาด เป็นการใช้อากาศยานระดมโจมตีฐานทดลองอาวุธนิวเคลียร์ แหล่งเก็บแร่ยูเรเนียม และศูนย์บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) โดยอ้างว่าปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มจากการลักลอบนำเครื่องบินและโดรนไร้พลขับเข้าไปหลบซ่อนในอิหร่านก่อนลงมือเมื่อได้รับคำสั่ง ซึ่งถ้าข้อมูลของ IDF เป็นความจริง ไม่ใช่แค่การปล่อยข่าวเพื่อปฏิบัติการโจมตีทางจิตวิทยา ก็จะสะท้อนว่าอิหร่านนั้นล้มเหลวอย่างมากด้านการรักษาความมั่นคง การข่าว และป้องกันความปลอดภัยภายในประเทศ

ความเสียหายในอิสราเอลจากการโจมตีกลับของอิหร่าน

อย่างไรก็ดี รัฐบาลอิหร่านไม่ได้แถลงยืนยันหรือปฏิเสธข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการสิงโตผงาดที่อิสราเอลกล่าวอ้าง แต่ประกาศจะตอบโต้และลงทัณฑ์อิสราเอลอย่างถึงที่สุด จึงระดมยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขู่จะโจมตีพลเมืองประเทศพันธมิตรอิสราเอลซึ่งประจำการอยู่ในตะวันออกกลาง ซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ทำให้ประเทศเหล่านี้ประกาศเตือนประชาชนของตัวเองที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางให้เตรียมความพร้อมอพยพหนีภัยและติดตามความเคลื่อนไหวของทางการอยู่เสมอ

กาชาดอิหร่านค้นหาผู้รอดชีวิต

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขอิหร่านแถลงในวันที่ 16 มิถุนายน 2025 ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตในเวลา 3 วันหลังจากที่อิสราเอลโจมตีอิหร่านมีจำนวนอย่างน้อย 224 คน ผู้บาดเจ็บราว 1,200 คน มีทั้งพลเรือน นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ และนายพลที่มีตำแหน่งบัญชาการในกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติ ส่วนอิสราเอลระบุว่าขีปนาวุธส่วนใหญ่ของอิหร่านถูกระบบต่อต้านขีปนาวุธสกัดเอาไว้ได้ แต่มีบางส่วนที่ไปตกลงในเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างไฮฟาและเทลอาวีฟ ทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 24 คน และบาดเจ็บกว่า 300 คน


ส่วนท่าทีของผู้นำประเทศอื่นๆ แบ่งออกเป็นหลายขั้ว โดยเพื่อนบ้านในฝั่งตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประณามอิสราเอลที่บุกโจมตีอิหร่านโดยอ้างว่าป้องกันตัวเองทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จริงหรือไม่ แต่สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และเยอรมนี แถลงว่าถ้ามีข้อมูลอันน่าเชื่อถือได้กรณีอิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ก็ถือว่าอิสราเอลสามารถป้องกันตัวเองได้ และยังมีอีกหลายประเทศที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

ทางด้าน อันตอนิอู กูแตร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้ทั้งอิสราเอลและอิหร่านลดระดับความตึงเครียด ยับยั้งการสู้รบที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพลเรือนไม่ให้ลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามทั่วภูมิภาค ส่วนภาคีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งเรียกประชุมวาระด่วนเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กว่าจะผลักดันมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมออกมาได้อาจใช้เวลาอีกหลายวัน จึงยังไม่อาจบอกได้ว่าการห้ำหั่นกันครั้งนี้จะจบลงอย่างไรแน่

อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน

นอกจากนี้ยังมีสื่อตะวันตกที่รายงานว่าเป้าหมายแท้จริงของอิสราเอลคือการเปลี่ยนแปลงคณะผู้ปกครองหรือขั้วอำนาจสายจารีตนิยมของอิหร่านซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสราเอลมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็เตือนว่าการใช้กำลังบังคับให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอิหร่านอาจจะนำไปสู่การลุกฮือต่อต้านที่รุนแรงจากสถาบันเชิงจารีต ทั้งด้านศาสนา การเมือง และทหาร รวมถึงอาจเกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างฝักฝ่ายต่างๆ ในอิหร่านตามมา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่สงบเรื้อรังกระทบต่อทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง 

กองทัพอิสราเอล-อิหร่าน ‘อันดับ 15 vs. อันดับ16’ ของโลก

สถาบันระหว่างประเทศ Global Firepower จัดอันดับแสนยานุภาพกองทัพโลกประจำปี 2025 พบว่ากองทัพอิสราเอลอยู่ในอันดับที่ 15 และอิหร่านอยู่ในอันดับที่ 16 จากจำนวนทั้งหมด 145 ประเทศทั่วโลกที่ทำการสำรวจข้อมูล ซึ่งดูเหมือนไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเทียบแต่ละหน่วยของกองทัพทั้งสองประเทศ อาจพบความแตกต่างอยู่ไม่น้อย

อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่าน

แม้อิสราเอลระบุว่าจำเป็นต้องเปิดฉากโจมตีก่อน เพราะอิหร่านกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่บทวิเคราะห์ในสื่อตะวันตก BBC, The Guardian, Foreign Policy และ The New York Times ต่างคาดการณ์ไว้คล้ายกันว่ายังมีอย่างน้อย 4 ปัจจัยที่ทำให้อิสราเอลเลือกลงมือกับอิหร่านในจังหวะนี้

1. พันธมิตรอิหร่านกำลังอ่อนแอ

นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาหลังเกิดเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ได้มีการยกระดับปฏิบัติการโจมตีกองกำลังติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับฮามาสและอิหร่านอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮิซบัลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน หรือกลุ่มติดอาวุธมุสลิมชีอะห์ในอิรักและซีเรีย รวมถึงมีการโจมตีพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทหารในอิหร่านอีกหลายครั้ง ทำให้กลุ่มนักรบที่เป็นเสมือนแขนขาของอิหร่านถูกลดบทบาทในภูมิภาคลงไป กองทัพอิสราเอลจึงต้องอาศัยจังหวะนี้กำราบอิหร่านอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะถ้าเว้นช่วงนานจนพันธมิตรอิหร่านฟื้นตัวใหม่ การชิงการนำทางทหารจะไม่มีทางสำเร็จได้โดยง่าย

ผู้นำระดับสูงของอิหร่านที่ถูกสังหาร

นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์ระบุว่า เป้าหมายแท้จริงของอิสราเอลในการยกระดับปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ก็คือการล้มล้างคณะผู้ปกครองในอิหร่านซึ่งยึดโยงกับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติและคณะผู้นำทางจิตวิญญาณที่ยึดมั่นหลักอิสลามนิยมและจารีตนิยมในการปกครองประเทศ รวมถึงการประกาศว่าอิสราเอลคือศัตรูผู้คุกคามนับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามอุบัติขึ้นเมื่อปี 1979 เป็นต้นมา ทำให้อิสราเอลมองอิหร่านเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของตัวเองมาโดยตลอดเช่นกัน

2. ผู้นำอิสราเอลคะแนนนิยมในประเทศตกต่ำ

เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนปัจจุบัน มีแนวคิด ‘สายเหยี่ยว’ เน้นการใช้กำลังทหารแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศและระหว่างประเทศมาตลอด แต่ความนิยมของพรรครัฐบาลและเนทันยาฮูตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องช่วง 2-3 ปีก่อนหน้าทำให้รัฐบาลของเขาเผชิญกับการประท้วงต่อต้านของประชาชนที่ไม่พอใจในการบริหารประเทศและนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว 

จนกระทั่งเกิดเหตุวินาศกรรมที่กลุ่มฮามาสนำกำลังโจมตีพื้นที่หลายจุดทางใต้ของอิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ความนิยมของเนทันยาฮูและรัฐบาลก็กระเตื้องขึ้นเพราะรัฐบาลและ IDF ตอบโต้กลุ่มก่อเหตุอย่างฉับพลัน ทำให้ประชาชนกลุ่มที่มีแนวคิดชาตินิยมหันมาส่งเสียงสนับสนุนรัฐบาลเนทันยาฮู นักวิเคราะห์บางส่วนจึงประเมินว่าเนทันยาฮูจงใจใช้ประเด็น ‘ศัตรูภายนอก’ เสริมสร้างภาพลักษณ์และเพิ่มคะแนนนิยมภายในประเทศของตัวเอง และตัดสินใจรุกคืบโจมตีอิหร่านครั้งล่าสุดช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งปรากฏว่ารัฐบาลเนทันยาฮูได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนฝ่ายชาตินิยมท่วมท้นเช่นกัน

3. ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ

ระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศผู้นำเศรษฐกิจ G7 ซึ่งแคนาดาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน สังกัดพรรครีพับลิกัน กล่าวชมอิสราเอลว่า “ยอดเยี่ยม” ที่ปฏิบัติการโจมตีแหล่งพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน และบอกว่าสหรัฐฯ ได้รับแจ้งข้อมูลจากอิสราเอลก่อนลงมือโจมตีอิหร่าน ทั้งยังกล่าวอย่างคลุมเครือผ่านสื่อว่าถ้าอิหร่านยอมกลับสู่กระบวนการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ก็อาจได้รับ ‘โอกาสครั้งที่ 2’ แต่ไม่ขยายความต่อว่าโอกาสครั้งที่ 2 คืออะไร

นักวิเคราะห์ประเมินว่าท่าทีของทรัมป์คือหลักฐานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดนี้สนับสนุนให้อิสราเอลใช้กำลังทหารและอาวุธแก้ปัญหาความขัดแย้งมากกว่าใช้การเจรจาเหมือนในสมัยอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ท่าทีของทรัมป์ก็สวนทางกับ มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาแก้ต่างในเวลาไล่เลี่ยกันว่า การโจมตีอิหร่านของอิสราเอลเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสหรัฐฯ 

ทั้งนี้ การชี้แจงของ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากอิหร่านประกาศว่าจะเอาคืนกับพลเมืองสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร เช่น ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ซึ่งส่งกำลังพลเข้ามาประจำการในหลายพื้นที่ทั่วตะวันออกกลาง ทำให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเตือนประชาชนของตัวเองที่อยู่ในประเทศตะวันออกกลางให้เตรียมพร้อมอพยพหนีภัยหากเกิดเหตฉุกเฉิน รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารของทางการด้วย

4. อิหร่านละเมิดข้อตกลงด้านอาวุธนิวเคลียร์

รายงานของทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ที่เผยแพร่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 บ่งชี้ว่าอิหร่านละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons: NPT) เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี เพราะอิหร่านเตะถ่วงการชี้แจงข้อมูล ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ IAEA เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังพบเบาะแสว่านักวิทยาศาสตร์อิหร่านได้พัฒนาสมรรถนะยูเรเนียมจนมีความบริสุทธิ์ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ ทำให้อิสราเอลใช้ข้อมูลนี้ในการโจมตีก่อนเพราะเชื่อว่าอิหร่านตั้งใจจะใช้อาวุธนี้กับอิสราเอล 

ภาพถ่ายดาวเทียมที่อิสราเอลอ้างว่าเป็นโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

นักกฎหมายระหว่างประเทศบางส่วนโต้แย้งอิสราเอลว่าการเปิดฉากโจมตีอิหร่านทั้งที่ไม่มีหลักฐานเรื่องอาวุธชัดเจน ไม่เข้าข่าย ‘ป้องกันตัวเอง’ ทั้งยังละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสงคราม เพราะอิหร่านไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานอิสราเอลก่อน และเปรียบเทียบกับกรณีรัฐบาลสหรัฐฯ สมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช อ้างว่าผู้นำอิรักมีอาวุธทำลายล้างอานุภาพสูง หรือ Weapon of Mass Destruction (WMD) อยู่ในครอบครอง และใช้เหตุผลดังกล่าวในการนำกำลังทหารบุกเข้าอิรัก แต่หลายปีต่อจากนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ กลับแถลงว่าไม่มี WMD ในอิรักแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน องค์กรด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ Just Security โต้แย้งว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อิหร่านได้สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางให้ต่อต้านรัฐบาลประเทศนั้นๆ ทั้งยังมีหลักฐานว่ากลุ่มติดอาวุธเหล่านั้นใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังและเคลื่อนไหวโจมตีอิสราเอลอีกหลายครั้ง การป้องกันตัวเองของอิสราเอลจึงนับว่ามีความชอบธรรม และยังเสนอให้มีการตีความเรื่องภัยคุกคามความมั่นคงระหว่างประเทศเสียใหม่ด้วย

สถานการณ์มีแนวโน้มจะลุกลามเป็นสงครามใหญ่หรือไม่?

นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่งเดียวที่จะยับยั้งการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่านได้ แต่ติดขัดตรงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่อาจคาดเดาแนวทางปฏิบัติได้ และทรัมป์ยังสนับสนุนอิสราเอลให้ใช้วิธีการรุนแรงตอบโต้คู่กรณีมาตลอด 

โดนัลด์ ทรัมป์

สถานการณ์ล่าสุดในวันที่ 17 มิถุนายน 2025 ทรัมป์ประกาศผ่านสื่อให้อิหร่าน ‘จงยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข’ (unconditional surrender) พร้อมขู่ว่าสหรัฐฯ และอิสราเอลรู้ว่าผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ซึ่งก็คือ อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี กบดานอยู่ที่ไหน ท่าทีนี้ของทรัมป์ดูจะยิ่งห่างไกลจากคำประกาศตอนหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2024 ที่เขาเคยพูดหลายครั้งว่ารัฐบาลชุดต่อไปของเขาจะไม่ปล่อยให้สหรัฐฯ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ‘สงครามโง่ๆ ไม่มีวันจบ’ ในตะวันออกกลาง เพราะนี่เป็นการแสดงจุดยืนหนุนหลังการใช้กำลังอาวุธของอิสราเอลในการโจมตีอิหร่านอย่างชัดเจน

วลาดิเมียร์ ปูติน

ส่วน วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย มีแนวโน้มจะหนุนหลังให้อิหร่านตอบโต้สหรัฐฯ และอิสราเอลเพื่อคานอำนาจในตะวันออกกลางมากกว่าจะเป็นตัวกลางเจรจายุติศึก เพราะรัสเซียเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน แต่รัสเซียเองก็มีการสู้รบยืดเยื้อในยูเครนต้องรับมือ 

เมื่อไม่มีตัวกลางการเจรจายุติความขัดแย้งที่มุ่งมั่นในแนวทางสันติวิธีมากพอ จึงมีแนวโน้มที่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านจะลุกลามไปทั่วตะวันออกกลาง เพราะอิหร่านมีกลุ่มติดอาวุธที่ยังเคลื่อนไหวก่อเหตุในเลบานอน เยเมน อิรัก ซีเรีย หากมีการยกระดับการต่อสู้หรือใช้กำลังก่อเหตุในประเทศเหล่านี้ก็ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่างแน่นอน 

การประเมินสถานการณ์อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือความขัดแย้งลุกลามกลายเป็นสงครามทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตช่วงหลังอิสราเอลก่อตั้งประเทศ

แหล่งน้ำมันของอิหร่านถูกทำลาย

ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์หลายรายจึงประเมินว่าการสู้รบกันระหว่างอิหร่าน-อิสราเอลอาจจะยาวนานต่อไปอีกหลายเดือน แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงหรือสงบศึกเกิดขึ้น ก็ไม่แน่ว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำตามข้อตกลงได้อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบด้านความมั่นคงปลอดภัยในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย

The Conversation และ CNN ระบุว่า หลายชาติในเอเชียจะได้รับผลกระทบหนักสุดถ้ามีสงครามหรือการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่านยืดเยื้อกว่าที่คิด โดยเฉพาะอินเดีย ปากีสถาน อินโดนีเซีย และบังกลาเทศ ซึ่งพึ่งพาน้ำมันส่งออกจากอิหร่าน 

เรือที่ต้องเดินทางผ่านช่องแคบฮอร์มุซ

ส่วนธุรกิจข้ามชาติในประเทศต่างๆ ที่พึ่งพิงเส้นทางลำเลียงสินค้าที่ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่านหรือทะเลแดงอาจเจอปัญหาล่าช้า เพราะกลุ่มกบฏฮูตีมีแนวโน้มจะปล้นเรือที่ติดธงชาติพันธมิตรอิสราเอลเพิ่มขึ้น และการขนส่งทางเรือจะยิ่งมีค่าประกันความเสี่ยงสูงกว่าเดิม ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดจะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันผันผวน ภาวะเงินเฟ้อหนักขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนในกระบวนการผลิตและระบบอุตสาหกรรมต่างๆ

ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีบทวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ในแง่ดีอยู่บ้าง โดยมีผู้คาดการณ์ว่า การโจมตีอย่างหนักของอิสราเอลและการหนุนหลังอย่างเข้มแข็งจากสหรัฐฯ จะกดดันให้อิหร่านต้องกลับสู่กระบวนการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ร่วมกับสหรัฐฯ รอบใหม่ในที่สุด และช่องทางนี้จะนำไปสู่การไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมหาทางสงบศึกระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านตามมา 

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ