Humberger Menu

สงครามอิรัก บทเรียนความสูญเปล่าของสหรัฐฯ

การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านดำเนินมาอย่างต่อเนื่องสู่ช่วงปลายสัปดาห์ที่สอง หลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านในปฏิบัติการสิงโตผงาด (Operation Rising Lion) เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งมีเบาะแสบ่งชี้ว่าอิหร่านพัฒนาใกล้สำเร็จแล้วและคาดว่าจะใช้อาวุธดังกล่าวเพื่อโจมตีอิสราเอล

แม้อิหร่านจะปฏิเสธมาตลอดว่าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ในประเทศเป็นไปเพื่อเป้าหมายด้านสันติภาพ แต่ล่าสุดอิหร่านละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านนิวเคลียร์ เพราะไม่ได้รายงานข้อมูลกิจกรรมที่เกี่ยวกับนิวเคลียร์ในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้อิสราเอลใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างในการโจมตีอิหร่าน 

อิสราเอลยิงขีปนาวุธโจมตีอิหร่าน

แต่สถานการณ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดขึ้นไปอีกระดับ เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยการส่งโดรนไปทิ้งระเบิดถล่มที่ตั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน 3 แห่ง บริเวณไหล่เขาฟอร์โด นาตันซ์ และเอสฟาฮาน เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2025 โดยระบุว่าเป็นการรุกคืบเพื่อนำไปสู่สันติภาพและกดดันให้อิหร่านกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ร่วมกับสหรัฐฯ 

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ออกคำสั่งโจมตีอิหร่านโดยอ้างอำนาจในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดทางการทหาร (Commander in Chief) อันเป็นบทบาทหนึ่งของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่คิดจะก่อสงคราม แต่ทำไปเพื่อยับยั้งไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงในภูมิภาค

อิหร่านโจมตีอิสราเอล

ขณะที่ ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งเป็นองค์กรเฝ้าระวังและกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์สากล โต้แย้งแถลงการณ์ของทรัมป์ที่อ้างว่าการโจมตีของสหรัฐฯ ทำลายแหล่งอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านจนสิ้นซาก (obliterated) โดยระบุว่าเรื่องนี้ยังไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ เพราะพื้นที่พัฒนาสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่านอยู่ลึกลงไปใต้ดินราว 80-90 เมตร แต่เขาระบุว่าการโจมตีของสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดปัญหานิวเคลียร์รั่วไหลซึ่งเป็นอันตรายยิ่งกว่า

แม้ทรัมป์จะแถลงผ่านสื่อในวันที่ 24 มิถุนายน 2025 ว่าอิสราเอลกับอิหร่านหาข้อตกลงในการหยุดยิงร่วมกันได้ และสงคราม 12 วันสมควรปิดฉากลง แต่สื่อหลายสำนักยังตั้งคำถามว่าเรื่องดังกล่าวจะมีผลจริงหรือไม่ เพราะทั้งสองชาติยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโจมตีกันในทางปฏิบัติ

สำนักข่าว ABC News, Reuters และ Euro News รายงานท่าทีอิหร่านช่วงก่อนหน้านี้ว่ามีความแข็งกร้าวอย่างมาก เพราะประกาศว่าจะตอบโต้และลงทัณฑ์สหรัฐฯ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ พร้อมทั้งระบุว่า ‘สงครามเริ่มขึ้นแล้ว’ 

นักวิเคราะห์หลายรายจึงประเมินว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่มีสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวโยงด้วยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางและกระทบระบบเศรษฐกิจโลกในระยะเวลาต่อจากนี้อีกหลายเดือน เพราะอิหร่านขู่ว่าจะสั่งปิดช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าทางทะเลสายสำคัญของโลก และประเทศที่สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพในตะวันออกกลาง เช่น กาตาร์ ก็ประกาศปิดน่านฟ้าเพื่อป้องกันการตอบโต้กลับของอิหร่านไปเมื่อ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา

โดนัลด์ ทรัมป์

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังถูกสมาชิกพรรคฝ่ายค้านอย่างเดโมแครตวิจารณ์ว่าสั่งโจมตีทางทหารโดยพลการ ไม่ได้ผ่านกระบวนการเห็นชอบของสภาคองเกรส ทั้งยังไม่มีการประเมินผลกระทบที่อาจตามมาจากปฏิบัติการทางอาวุธครั้งนี้

แม้แต่ผู้สนับสนุนทรัมป์และพรรครีพับลิกันบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เพราะทรัมป์แสดงตัวเป็นผู้คัดค้านสงครามในตะวันออกกลางของอดีตรัฐบาลสหรัฐฯ มาโดยตลอด แต่การสั่งโจมตีอิหร่านครั้งล่าสุดอาจทำให้สหรัฐฯ ถูกลากโยงเข้าไปข้องเกี่ยวกับสงครามความขัดแย้งในต่างแดนระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซ้ำรอยกับอดีตรัฐบาลที่เคยส่งทหารอเมริกันไปรบในตะวันออกกลางยาวนานข้ามทศวรรษ ทั้งยังจะนำไปสู่การล้างแค้นหรือพุ่งเป้าโจมตีทหารอเมริกันหรือพลเรือนที่อยู่ในตะวันออกกลางในอนาคตด้วย

ย้อนรอยภารกิจ ‘สงครามต่างแดน’ ของสหรัฐฯ ยุคหลังปี 2000

นับตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเวียดนามช่วงปี 1945-1975 จนเกิดการประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในประเทศ การส่งทหารอเมริกันไปร่วมรบในสงครามต่างแดนยุคหลังมักถูกคัดค้านและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม

Content

สงครามต่อต้านการก่อการร้ายหลัง 9/11

กลุ่มติดอาวุธอัลกออิดะห์ก่อวินาศกรรมโจมตีสหรัฐฯ ในเหตุการณ์ 9/11 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 หลังจากนั้นสงครามครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น

จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้น ก็ประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อตอบโต้กลุ่มก่อเหตุ ผ่านการอำนาจประธานาธิบดีสั่งการโดยข้ามกระบวนการลงมติเห็นชอบจากสภาคองเกรส 

ทว่ากระแสสังคมอเมริกันในขณะนั้นไม่ต่อต้านการตัดสินใจของบุชมากนัก เพราะเหตุการณ์ 9/11 ทำให้คนอเมริกันจำนวนมากรู้สึกถูกคุกคามความมั่นคงปลอดภัยอย่างหนัก จึงเห็นด้วยกับการตอบโต้เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหายและเสียชีวิตในเหตุวินาศกรรมดังกล่าว

สงครามต่างแดนครั้งแรกของสหรัฐฯ ในยุคสหัสวรรษจึงได้แก่การส่งทหารเข้าปูพรมโจมตีหลายพื้นที่ในประเทศอัฟกานิสถานปลายปี 2001 เพื่อตามล่าตัว โอซามา บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นตัวการเบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 และเพื่อล้มล้างรัฐบาลตาลีบันซึ่งเป็นฝ่ายยึดกุมอำนาจปกครองอัฟกานิสถานในช่วงนั้น

สงครามอิรัก 2003

มีนาคม 2003 สงครามต่อต้านก่อการร้ายของรัฐบาลบุชได้แผ่ขยายจากเอเชียใต้ไปถึงตะวันออกกลาง

ประธานาธิบดีบุชตัดสินใจส่งทหารอเมริกันไปรบในอิรัก โดยอ้างว่าเพื่อทำลายอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง หรือ Weapon of Mass Destruction (WMD) ซึ่ง ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำเผด็จการของอิรักในขณะนั้นกำลังสั่งพัฒนาอยู่ และยังระบุว่าอิรักคือพื้นที่บ่มเพาะกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นภัยต่อสหรัฐฯ 

แต่แล้วสงครามอิรักก็กลายเป็นบาดแผลใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่คนอเมริกันบางส่วนอยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ได้ 

ซัดดัม ฮุสเซน

ที่จริงแล้วกองทัพสหรัฐฯ ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถล้มล้างระบอบการปกครองของซัดดัมได้สำเร็จ อดีตผู้นำอิรักถูกจับกุมในเดือนธันวาคม 2003 แต่สหรัฐฯ ยังส่งทหารอเมริกันไปตรึงกำลังในอิรักในภารกิจช่วยจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ปราบปรามกลุ่มติดอาวุธที่เคยสนับสนุนซัดดัมและกลุ่มที่อาศัยจังหวะรัฐบาลเผด็จการถูกล้มล้างก่อเหตุชิงอำนาจนำ จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองอิรักที่ยืดเยื้ออยู่นานหลายปี 

หลังจากรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งพรรครีพับลิกัน ประกาศสงครามในอัฟกานิสถานและอิรักช่วงปี 2001-2003 เขายังได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2004 และยืนยันให้กองทัพสหรัฐฯ เข้าร่วมในสงครามต่างแดนทั้งสองแห่งต่อไป 

แต่เมื่อ บารัก โอบามา จากเดโมแครต ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีช่วงปี 2009-2016 ก็ได้สั่งถอนกำลังทหารออกจากสงครามอิรักเป็นอันดับแรก เพราะคนในอดีตรัฐบาลบุชออกมายอมรับเองภายหลังว่าอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงที่เป็นข้ออ้างในการบุกอิรักนั้น ‘ไม่มีอยู่จริง’ แต่เป็นผลจากการประเมินข้อมูลข่าวกรองที่ผิดพลาด

บารัก โอบามา

รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคโอบามาได้สั่งถอนทหารอเมริกันจากอิรักในปี 2011 และสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในสงครามอิรักและมีการเผยแพร่เป็นรายงานออกมาหลังสงครามสิ้นสุดได้ 2 ปีโดยมีเรื่องอื้อฉาวพัวพันกับทั้งทหารอเมริกันและบริษัทเอกชนจำนวนมากที่เข้าร่วมในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในสงครามอิรัก 

ขณะที่สงครามในอัฟกานิสถานยาวนานกว่า เพราะเพิ่งมีการถอนทหารออกมาเมื่อปี 2021 และกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงยังดำเนินอยู่จนถึงปัจจุบัน 

สงครามอิรัก: ความสูญเปล่า การฉ้อฉล และการล่วงละเมิด

เว็บไซต์ Wikileaks องค์กรไม่แสวงผลกำไรและมีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทั่วโลก เผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับการทำสงครามอิรักที่ลักลอบนำออกจากระบบฐานข้อมูลออนไลน์ของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ พบการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมากที่เกิดขึ้นภายใต้ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในนาม ‘สงครามอิรัก’

แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะประณาม Wikileaks ที่นำข้อมูลออกมาเผยแพร่จนส่งผลกระทบด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่โดยรวม แต่ไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ถูกระบุในเอกสารจำนวน 391,382 ชุดที่หลุดออกสู่สาธารณะผ่านทาง Wikileaks ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาอย่างหนักว่าการทำสงครามอิรักของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นมีความชอบธรรมหรือไม่

ข้อมูลจาก Wikileaks ระบุว่าสถิติผู้เสียชีวิต 109,032 คนในการทำสงครามอิรักช่วงปี 2004-2009 เป็นการสูญเสียชีวิตของพลเรือนอิรัก 66,081 คน มากกว่าสถิติผู้ก่อเหตุที่เสียชีวิต รวม 23,984 คน จนกลายเป็นคำถามใหญ่ว่าเพราะเหตุใดการทำสงครามเพื่อปลดปล่อยอิรักของรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงได้สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อประชาชนที่ไร้อาวุธมากที่สุด

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าทหารอเมริกันและเจ้าหน้าที่บริษัทความปลอดภัยเอกชนซึ่งได้รับสัมปทานร่วมดูแลเรือนจำอาบูกราอิบในอิรักใช้วิธีการซ้อมทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องขังจำนวนมาก ขัดต่อหลักการด้านสงครามระหว่างประเทศ และมีการลงโทษทางวินัยนายทหารอเมริกันผู้ก่อเหตุอื้อฉาวในเวลาต่อมา 

ส่วนเจ้าหน้าที่ของบริษัทเอกชน CACI & Titan Corp. ซึ่งมีส่วนรู้เห็นกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ถูกลงโทษทางอาญาเพราะเป็นการรับคำสั่งจากนายทหารอเมริกัน แต่มีการฟ้องร้องค่าเสียหายในคดีแพ่ง

เปิดรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงสงครามอิรัก

รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงในภารกิจฟื้นฟูอิรักของหน่วยสอบสวนกลางพิเศษ ในสังกัดรัฐบาลสหรัฐฯ (Office of the Special Inspector General for Iraq Reconstruction: SIGIR) ที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม 2013 ก็สรุปเช่นกันว่าภารกิจหลายอย่างในสงครามอิรัก เข้าข่าย ‘สูญเปล่า ฉ้อฉล และละเมิดสิทธิ’ (waste, fraud and abuse) โดยมีการแจกแจงความผิดที่เกี่ยวพันกับนายทหารไปจนถึงผู้บริหารและซัพพลายเออร์รายย่อยที่เกี่ยวพันกับโครงการต่างๆ ในอิรักที่ตรวจพบการทุจริตติดสินบน เช่น

ฮัลลิเบอร์ตัน (Halliburton) ซึ่งเป็นธุรกิจด้านพลังงาน ถูกตรวจพบความผิดฐานติดสินบน คิดค่าบริการ-เบิกจ่ายงบเกินราคาจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งยังได้รับสัมปทานระยะยาวอย่างต่อเนื่องโดยไม่ผ่านขั้นตอนการประมูลตามปกติ เพราะนี่คือบริษัทที่อดีตรองประธานาธิบดี ดิ๊ก เชนีย์ ในยุครัฐบา ลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เคยนั่งตำแหน่งผู้บริหารมาก่อน 

อย่างไรก็ดี ผู้ถูกลงโทษในข้อหาทุจริตและติดสินบนของฮัลลิเบอร์ตันมีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างหรือไม่ก็ซัพพลายเออร์รายย่อย แต่ผู้บริหารระดับสูงรอดพ้นความผิดทั้งหมด 

แบล็กวอเตอร์ (Black Water) ผู้ให้บริการทหารรับจ้างและวิเคราะห์ข้อมูลด้านความมั่นคงแก่รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกพบความผิดว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด นำไปสู่การสังหารหมู่ประชาชนอิรัก 17 รายในระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่จัตุรัสนิซูร์ (Nisour Square) ในปี 2007 แต่ผู้ถูกลงโทษทางอาญามีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ 4 ราย และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ยังสั่งอภัยโทษผู้ต้องหาทั้ง 4 รายไปเมื่อปี 2020 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายและผู้บริหารแบล็กวอเตอร์ไม่มีใครถูกลงโทษแม้แต่คนเดียว

ขณะที่บริษัทค้าอาวุธอย่าง ล็อกฮีดมาร์ติน (Lockheed Martin) รวมถึงบริษัทน้ำมันอย่าง เอ็กซอนโมบิล บีพี และเชลล์ ถูกระบุว่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากสงครามอิรักในฐานะผู้ได้รับสัมปทานจัดซื้อจัดหาและได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจกับรัฐบาลสหรัฐฯ 

แต่รายงานของ SIGIR ระบุว่างบประมาณประมาณราว 8,000 ล้านดอลลาร์จากงบทั้งหมดกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ที่ใช้จ่ายไปในสงครามอิรัก คือ ‘ความสูญเปล่า’ เพราะเกี่ยวพันกับการทุจริตติดสินบน และบางส่วนไม่สามารถระบุได้ว่าถูกนำไปใช้จ่ายกับเรื่องอะไร 

ส่วนผู้ที่สูญเสียในสงครามอิรักมากที่สุดคือประชาชนอิรักเอง เพราะตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดมากกว่า 200,000 คน ขณะที่ทหารอเมริกันเสียชีวิต 4,500 นาย และทหารฝ่ายพันธมิตรเสียชีวิตราว 300 นาย 

ผลสำรวจความเห็นคนอเมริกัน 4,000 คนที่มีต่อการทำสงครามอิรัก และเป็นโพลที่สถาบันวิจัย Pew Research จัดทำขึ้นเมื่อปี 2023 ในวาระครบรอบ 20 ปีการทำสงครามอิรัก พบว่า 63 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าสงครามดังกล่าวนับเป็น ‘ความสูญเปล่า’ (waste) และไม่คุ้มค่า (not worth fighting for) 

เหตุผลที่คนอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าสงครามอิรักเป็นเรื่องสูญเปล่าเพราะมีทหารอเมริกันเสียชีวิตจำนวนมาก และการล้มล้างอดีตรัฐบาลอิรักก็ไม่ได้ทำให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง แต่กลับนำไปสู่สงครามกลางเมืองและการเฟื่องฟูของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย (ISIS) ที่ก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษหลังสงครามอิรักสิ้นสุดลง 

มีแนวโน้มว่าจะเกิด ‘สงครามอิหร่าน’ ถึงขั้นยืดเยื้อหรือไม่?

หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ สั่งโจมตีที่ตั้งโครงการนิวเคลียร์อิหร่านในวันที่ 22 มิถุนายน 2025 คนอเมริกันจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่าสหรัฐฯ จะส่งทหารเข้าไปพัวพันกับสงครามต่างแดนอีกหรือไม่

ทรัมป์ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนว่าอิสราเอลกับอิหร่านเจรจาข้อตกลงหยุดยิงกันได้แล้ว จึงมีความหมายโดยนัยว่าสหรัฐฯ น่าจะวางมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของสองฝ่ายอีก

สำนักข่าว BBC และ NBC News รายงานว่าถ้าหากอิสราเอลกับอิหร่านสามารถเจรจาและยอมรับข้อตกลงหยุดยิงร่วมกันได้จริง การสั่งโจมตีอิหร่านของทรัมป์ก็จะนับว่าเป็นการเสี่ยงดวงที่คุ้มค่าและได้ผลในทางยุทธศาสตร์ เพราะทำให้อิหร่านกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาได้สำเร็จ จึงไม่น่าจะเกิด ‘สงครามอิหร่าน’ ยืดเยื้อ

โดนัลด์ ทรัมป์ และ เบนจามิน เนทันยาฮู

อย่างไรก็ดี ยังมีการตั้งคำถามว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงหยุดยิงอย่างง่ายดายจริงหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมีการประกาศอย่างแข็งกร้าวจากทางการอิหร่านว่าจะตอบโต้และลงทัณฑ์สหรัฐฯ และพันธมิตรอย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับอิหร่านในตะวันออกกลางอย่างกลุ่มฮามาสในดินแดนปาเลสไตน์ กลุ่มฮูตีในเยเมน กลุ่มกบฏในอิรักและซีเรีย รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน

แม้กลุ่มติดอาวุธพันธมิตรอิหร่านจะเพลี่ยงพล้ำให้แก่อิสราเอลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่อาจดูเบาได้ว่ากลุ่มติดอาวุธเหล่านี้จะถูกถอนรากถอนโคนได้โดยง่าย เพราะยิ่งมีการกดทับหรือใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงก็ยิ่งทำให้การเผยแผ่อุดมการณ์ต่อต้านการรุกรานของแต่ละกลุ่มทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

แต่ปัจจัยที่จะทำให้อิหร่านไม่ตอบโต้กลับอย่างที่เคยประกาศไว้อาจมาจากท่าทีของรัสเซียและจีน พันธมิตรของอิหร่าน ที่แสดงออกชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางในช่วงนี้ เพราะจีนเองกำลังรับมือกับนโยบายเศรษฐกิจและกำแพงภาษีที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศออกมาล่าสุด ส่วนรัสเซียก็สู้รบติดพันในสงครามยูเครน

ผู้แทนรัฐบาลจีนและรัสเซียในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการแทรกแซงในตะวันออกกลาง แต่การจะทำให้รัฐบาลทรัมป์ยอมรับหรือทำตามข้อเสนอของ UNSC ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะทรัมป์ไม่สนใจเงื่อนไขหรือข้อตกลงที่เกิดจากกลไกระหว่างประเทศมาแต่ไหนแต่ไร ถึงขั้นสั่งให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากความร่วมมือระหว่างประเทศมาแล้วหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นกรณีข้อตกลงด้านสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงหรือการถอนตัวจาก UNESCO ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาต่างจากรัฐบาลทรัมป์

ส่วน Financial Times และ The Independent รายงานว่าคนวงในรัฐบาลที่ทรัมป์รับฟังและขอคำปรึกษาในช่วงนี้มีภูมิหลังที่หลากหลาย แต่กลับไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสักเท่าไหร่ การตัดสินใจทำสงครามจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับการส่งทหารไปรบต่างแดน และมีการแจกแจงเพิ่มเติมว่าช่วงนี้ทรัมป์รับฟังคำแนะนำเรื่องอิหร่านจากใครบ้าง

คนแรกที่ทรัมป์ปรึกษาเรื่องอิหร่านคือรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในฐานะสื่อสายทหารมาก่อน แต่เป็นผู้สนับสนุนที่จงรักภักดีต่อทรัมป์อย่างมาก และการแสดงท่าทีต่อต้านผู้นำยูเครนซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาของแวนซ์ก็ทำให้คนตั้งคำถามถึงวิจารณญาณในการปฏิบัติหน้าที่ ‘เพื่อสันติภาพ’ ของเขาอยู่ไม่น้อย 

คนอื่นๆ ที่เป็น ‘วงใน’ ของทรัมป์ ได้แก่ มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ อดีตคู่แข่งของทรัมป์ในการชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันถูกตั้งฉายาว่าเป็น ‘รัฐมนตรีทุกสิ่งอย่าง’ (Secretary of Everything) ของทรัมป์ ตามด้วย สตีฟ วิตคอฟ นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถูกทรัมป์แต่งตั้งเป็นทูตด้านตะวันออกกลาง และซูซาน ไวล์ส อดีตผู้จัดการแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว

นายทหารที่พอจะขึ้นชื่อว่ามีประสบการณ์อยู่บ้างและอยู่ในกลุ่ม ‘วงใน’ คือ พลเอกเอริก คูริลลา ผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ (CENTCOM) ซึ่งรับผิดชอบภารกิจทางทหารในตะวันออกกลางและเอเชียกลาง แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความใจร้อนและเคยถูกสอบสวนทางวินัยเมื่อปี 2024 เพราะมีกรณีที่คูริลลาไม่ฟังคำเตือนของนักบินซึ่งบอกให้เขาคาดเข็มขัดขณะโดยสารเครื่องบินของกองทัพ โดยมีรายงานว่าคูริลลาด่ากลับแถมยังผลักนักบินที่ยึดมั่นในหลักความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดคนนั้นอย่างแรงจนเกือบทะเลาะวิวาทกัน 

ส่วนทหารอีกคนคือ พลโทแดน เคน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้ริเริ่มสงครามอิรัก ซึ่งต่อมาถูกคนอเมริกันมองว่าเป็นความสูญเปล่า แถมยังเป็นการทำสงครามที่ถูกตั้งข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพในการทำงานด้านข่าวกรองอย่างมาก เพราะผลสอบสวนข้อเท็จจริงในปี 2013 ชี้ว่าอิรักเคยพยายามพัฒนาอาวุธอานุภาพทำลายล้ายสูงอยู่ช่วงหนึ่งและระงับโครงการไปตั้งแต่ปี 1991 แต่กว่าที่สหรัฐฯ จะรับทราบเรื่องนี้และใช้เป็นข้ออ้างในการบุกโจมตีอิรักจริงๆ ก็คือปี 2001-2003 ซึ่งห่างกันกว่าหนึ่งทศวรรษ และคนในอดีตรัฐบาลก็ยอมรับเองว่าการวิเคราะห์ข้อมูลมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจริง

ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์หลายรายจึงประเมินในแง่ดีว่าการทำสงครามอิหร่านยืดเยื้อจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ เพราะสหรัฐฯ คงไม่อยากซ้ำรอยอดีตที่ผิดพลาดในอิรัก แต่หากคาดการณ์แบบเลวร้ายที่สุดก็คือทรัมป์เป็นผู้นำรัฐบาลที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรล่วงหน้าได้ จึงอาจมีกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกออกมาได้อีกเรื่อยๆ 

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ