รูป รส กลิ่น และเสียง
“เห้ย รถอะไรๆๆ” เสียงเพื่อนร่วมทางที่นั่งอยู่เบาะหลังกล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ออกไปนอกหน้าต่างรถ ทั้งคนขับและฉันที่นั่งอยู่ข้างกันต่างหันไปมองยังจุดที่เจ้าของเสียงต้องการชี้ให้เห็น
“ใช่ป่ะ” เพื่อนร่วมทางคนเดิมกล่าว
“ใช่ๆ แวะเลย” ฉันสมทบ ก่อนที่รถยนต์จะตีไฟเลี้ยวซ้ายเตรียมจอด เมื่อรถจอดสนิทแน่นิ่งเรียบร้อยแล้ว เราเดินดุ่มลงไปหาเป้าหมายอย่างไม่รีรอ
ฉันค่อนข้างมั่นใจว่ายังเดินไม่ถึงตัวเขา ระยะห่างก็หลายสิบเมตรเห็นจะได้ แต่กลิ่นหอมของน้ำซุปนั้นลอยมาถึงนี่ ราวกับไอร้อนที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากหม้อต้มเดือดๆ นั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นนิ้วล่องหนมาสะกิดที่ปลายจมูกให้รับรู้กลิ่นหอมอบอวลนี้ได้ก่อนย่างกรายถึงด้วยซ้ำ
สองเท้าหยุดลงที่หน้ารถซาเล้งคันเก่า มีหม้อน้ำซุปอยู่เบื้องหน้าของแฮนด์ขับ ข้างกันมีเขียงไม้ ตู้กระจกที่บรรจุหมูแดง ลูกชิ้น ผัก เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกรูปแบบ และมี ‘พ่อค้า’ ที่กำลังง่วนอยู่กับการยืนลวกเส้นเสียงน้ำเดือดปุดๆ ดังสม่ำเสมอจากหม้อซุปร้อน เสียงมีดที่เกิดจากการซอยบางๆ บนเขียงไม้แห้ง นี่อาจเป็นหนึ่งในเสียงที่บ่งบอกการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ในย่านรามคำแหง 151/1
…เสียงของก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ
หลายคนอาจสงสัยเข้าแล้วว่าทำไมพูดถึงก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ แต่เหตุใดจึงไม่มีเสียงป๊อกๆ? ‘ลุงน้อย’ ชายผู้มีอายุอานามพอจะเรียกได้ว่า ‘วัยเก๋า’ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวตอบทันทีว่า “ที่ไม่มีเสียงป๊อกๆ น่ะเหรอ ลุงเอาไม้ให้เขาไปแล้ว มีคนขอ เขาบอกว่าดูขลังดี ลุงก็เลยให้”
ใครจะคิดว่าเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ จะหายไปเพียงเพราะมีคนขอ ช่างเรียบง่ายและใจกว้างเสียจริง….‘บะหมี่แห้งพิเศษ’ คือออเดอร์ของลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่ บะหมี่ 2 ก้อนถูกเอามานวด ก่อนจะโดนลุงน้อยจับโยนลงไปลวกในหม้อน้ำซุป พร้อมกับหันมาเล่าให้ฟังว่า ตัวเองเริ่มต้นขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ มาตั้งแต่ปี 2540 เดิมทีขับเข้าไปเร่ขายในหมู่บ้านต่างๆ ในกรุงเทพฯ ย่านรามคำแหงแห่งนี้ นอกเหนือจากหมู่บ้านก็เข้าทุกตรอกออกทุกซอย
“เท่าที่ขายมาลุงเห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบสั่งใส่ถ้วย ลุงก็เตรียมถ้วยโฟมมาให้ด้วย เคยมีคนบอกว่าป๊อกๆ นี่ต้องยืนกินเท่านั้นถึงจะได้ฟีล ได้ฟีลคืออะไรลุงก็ไม่รู้คิดว่าก็คงอร่อยเขาล่ะ”
ลุงน้อยพูดพลางหัวเราะขณะที่ตักกระเทียมเจียวมาคลุกเคล้าจนเส้นบะหมี่มันวาว ทำเอาลูกค้าที่ยืนรอบะหมี่แห้งพิเศษ ‘ใส่ถ้วย’ หลุดหัวเราะไปตามกัน
ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น การเร่ขายของลุงน้อยไม่ได้ครอบคลุมทั่วพื้นที่เหมือนในวันวานอีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้เขาจำกัดเส้นทางให้อยู่เพียงวันละ 3-4 จุดเท่านั้น จุดแรกเริ่มจากซอยบ้านของแก ก่อนจะมุ่งหน้าออกมายังรามคำแหง เส้นทางนี้มีอาคารพาณิชย์เรียงรายกันเป็นส่วนใหญ่ บ้านเรือนและร้านค้าเล็กๆ ประปราย ลุงน้อยคุ้นชินกับย่านนี้มานาน เห็นจากที่เอ่ยเหย้าแหย่ด้วยตัวเองว่า หลับตาขับก็ยังรู้ว่าตรงไหนควรชะลอ ตรงไหนต้องเร่ง ตรงไหนที่ลูกค้ามักจะโบกรถเรียกอยู่เป็นประจำ
“จริงๆ แล้วเราอยากมาเริ่มขายตรงนี้เลย (ซอยรามคำแหง) ตามทางจะจอดขายยาก แต่ถ้ามีคนโบกเราก็จอด แต่เป็นบางวันนะที่คนโบกเยอะ บางวันก็ไม่มี ผ่านตลอด ก็จะมาถึงตรงนี้เร็ว วันไหนติดคนโบกก็มาถึงตรงนี้สายหน่อย จะเห็นลูกค้ามาจอดรอ พ่อค้าร้านหมูปิ้งเล่าให้ฟังว่ามีคนถามบ่อยว่าวันนี้ป๊อกๆ ไม่มาขายเหรอ เขาต้องคอยตอบให้ว่ามาครับมา น่าจะโดนลูกค้าตามทางเรียกอยู่”
จากนั้นช่วงเที่ยงแกจะขับต่อไปยังหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าประจำมาซื้อมื้อกลางวันก่อนจะทยอยแยกย้ายกลับเข้าไปทำงาน ลุงน้อยเล่าว่าจุดนี้จะคึกคักอยู่ประมาณ 20 นาทีเท่านั้น ก่อนที่จังหวะของผู้คนจะค่อยๆ เบาลง “ตรงออฟฟิศลุงขายตอนเที่ยง ประมาณ 20 นาที คนก็เริ่มซาแล้วเพราะเขาได้อาหารครบก็เข้าไปนั่งกินกัน แต่ถ้าวันไหนขายไม่หมดก็ใจเย็นๆ รอเก็บตกอีกสักเล็กน้อยได้ 4-5 ถ้วย บางวันก็ไม่ได้เลยก็มี แล้วแต่วัน ไม่ค่อยแน่นอน ก็ประเมินเอาวันต่อวัน ถ้าเงียบมากลุงก็กลับบ้าน”
การกลับบ้านไม่ใช่การหยุดพักในทันที เพราะยังมีงานล้างและจัดเก็บอีกมากรออยู่ แกต้องจัดการทุกอย่างให้สะอาดเรียบร้อยก่อนที่ร่างกายจะได้พักจริงๆ ในแต่ละวัน
ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามในรถซาเล้งที่หลายคนเฝ้ารอทุกเช้า มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ตีสอง ลุงน้อยตื่นขึ้นมาในความเงียบของย่านรามคำแหง จุดเตาถ่านเพื่อต้มน้ำซุปให้เดือดช้าๆ กลิ่นหอมลอยอวลเคล้าความมืด ก่อนจะคว้ามอเตอร์ไซค์คู่ใจออกไปจ่ายตลาดที่ยังตั้งของไม่เสร็จดี ลุงเลือกผัก หมู และวัตถุดิบด้วยสายตาที่ฝึกฝนมาหลายสิบปี ใช้เวลากว่าชั่วโมงกว่าจะกลับถึงบ้านพร้อมของสดเต็มตะกร้าจากนั้นเป็นขั้นตอนที่เหมือนพิธีกรรมประจำวัน หมูแดงถูกหมักและอบจนหนังตึง หอมกรุ่น ห่อเกี๊ยวทีละชิ้นด้วยมือ เจียวกระเทียมให้เหลืองกรอบ ทอดแคปหมูให้ฟูกรุบ แล้วปรุงน้ำซุปให้กลมกล่อมอย่างพอดิบพอดี ทุกอย่างต้องเป๊ะตามที่เคยทำ
“ลุงตื่นตี 2 เตรียมของเสร็จประมาณ 6 โมงกว่าๆ ก็ไปกินข้าวอาบน้ำแต่งตัว ออกมาขายประมาณสัก 7 โมงครึ่ง ดูนะตื่นขนาดนี้ลุงเลยขายได้ถึงแค่เที่ยงครึ่งไง มันหมดแล้ว ก๋วยเตี๋ยวเหรอ หึ! ไม่ใช่ ลุงเนี่ยหมดความพยายาม พอแล้ว เราจะหาเอาอะไรนักหนา ตายไปก็เอาไปไม่ได้” เสียงหัวเราะของฉันและลูกค้าที่ยืนรอก๋วยเตี๋ยวดังสอดประสานกันแทบจะทันที หลังสิ้นเสียงชายวัยเก๋าเล่นมุกแบบชงเองตบเอง
ตำนานในตำนาน
บทสนทนากับลุงน้อยช่างเพลิดเพลิน แกแบ่งปันเรื่องเล่าที่หลากหลายรสชาติแต่กลมกล่อมทีเดียว เล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ คล้ายกับคนที่คุ้นเคยกับการพูดคุยขณะที่มือก็ยังไม่หยุดขยับ คนฟังจึงพลอยรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย
ลุงน้อยฉุดดึงเข้าไปในภวังค์ของเรื่องเล่ายามแกยังหนุ่มแน่น ฉายภาพผู้คนรอบกาย พบเห็นชีวิตที่ตกใต้วินัยของคนค้าขายผู้สัญจรบนถนนและฟุตปาธกรุงเทพฯ ทุกคนต่างเริ่มต้นวัฏจักรชีวิตตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง บางคนเดิน บางคนปั่น บางคนขับขี่ กริยาต่างกันไป เรื่องราวเหล่านี้ลุงน้อยค่อยๆ ซึมซับจากประสบการณ์เท่าที่ตาได้เห็นลุงน้อยเล่าต่อถึงสิ่งที่แกเรียกว่า ‘สำนักป๊อกๆ’ อันเป็นสิ่งที่แกเห็นว่าการไม่มีอยู่ของมันอีกต่อไปแล้ว คือรูปธรรมของความ ‘เปลี่ยนแปลง’
“เมื่อก่อนจะมีสำนักหนึ่งอยู่ฝั่งตลาดนัดคลองเจ็ก (รามคำแหง 130) น่ะ หรือเรียกว่าเป็นกลุ่มก็ได้ เราจะอยู่รวมกัน เนื่องจากว่าต้องตื่นเช้ามาเตรียมของ ถ้าเราไปอยู่รวมกับข้างบ้านที่เขาเป็นคนทำงาน เราจะรู้สึกว่าเราทำให้เขาเดือดร้อนรำคาญใจ เพราะเราตื่นเช้ามาทำไอนู่นไอนี่ก๊อกๆ แก๊กๆ ทำให้เขานอนไม่หลับ จึงรวมตัวกันไปอยู่ด้วยกัน ตื่นก็ตื่นพร้อมกัน แยกย้ายออกไปขายพร้อมๆ กัน”
_________________________
คำบอกเล่าของลุงน้อยทำให้นึกถึงใครอีกคนที่มีโอกาสพูดคุยกันเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เขายึดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ มายาวนานไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งอยู่อีกฟากของเมืองหลวง แกเป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในกลุ่มคนขายป๊อกๆ ย่านโชคชัย 4 และเคยเล่าให้ฟังเช่นกันว่า ที่มาเช่าตึกอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่นั่นเพราะจำเป็นต้องตื่นเช้า เกรงใจเพื่อนบ้าน‘ลุงแก้ว’ ผู้ยึดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ย่านลาดพร้าว-โชคชัย 4 มากว่า 30 ปี เล่าให้ฟังว่า นอกจากสำนักป๊อกๆ จะอยู่รวมกันเพื่อลดความรำคาญของคนอื่นแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำร่วมกันคือขีดเส้น วางรูท ขายตามเส้นทางของใครของมัน จะไม่ขายบนเส้นทางเดียวกันเพื่อตัดลูกค้ากันเอง
“ตึกหนึ่งเราก็เช่ากันอยู่ครอบครัวละห้อง จะคุยกันแบ่งกันว่าใครจะไปขายซอยไหน ก็จะไม่ก้าวก่ายกัน”ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าทำไมตอนเด็กๆ จึงไม่เห็นก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ เจ้าอื่นขับผ่านหน้าบ้านเลย
“แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่ารวยกันหมดแล้วหรือว่าสู้ค่าครองชีพไม่ไหว” ลุงแก้วว่า
ปัจจุบันลุงแก้วจอดขายประจำอยู่หน้าปากซอยลาดพร้าววังหิน 43 แกสารภาพตามตรงว่าด้วยอายุอานามที่มากขึ้นทำให้ขับเร่ขายอย่างเดิมไม่ไหวแล้ว แต่ยังอยากขายต่อไปจนกว่าจะไม่ไหวจริงๆ ในลักษณะที่เดินเหินไม่ได้เลย จึงเลือกที่จะขายอยู่กับที่แบบนี้ต่อไป________________________
เสียงเจียวกระเทียมในชามพลาสติก ดึงฉันกลับเข้ามาอยู่หน้าร้านลุงน้อยคนเดิมอีกครั้ง
ปัจจุบันนี้กลุ่มป๊อกๆ ของลุงน้อยก็ไม่ต่างกัน แม้วันนี้กลุ่มนั้นจะแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด แต่ภาพของความร่วมมือแบบนั้นยังชัดเจนในความทรงจำของลุงน้อย
หลายคนที่หันหลังกลับไปยังภูมิลำเนาของตัวเองมองว่า การขายของในกรุงเทพฯ ลงทุนสูงกว่าต่างจังหวัดมาก ไม่ใช่แค่ต้นทุนวัตถุดิบ แต่รวมไปถึงลักษณะการบริโภคของผู้คนที่แตกต่าง“เขาว่า ณ ที่ตรงนี้มันลงทุนเยอะกว่าต่างจังหวัด ไม่ค่อยเห็นกำไร อย่างลุงเข้าไปขายในหมู่บ้านหนึ่งที่เขามีสตางค์ เขาจะบอกว่า เส้นไม่ต้องเยอะลุง แล้วก็เพิ่มอะไรให้หนูก็ได้ ปกติจากใส่บะหมี่ให้ 2 ก้อนก็ใส่ก้อนเดียว แล้วต้องเพิ่มหมู เพิ่มลูกชิ้นให้เขา แต่คนต่างจังหวัดน่ะครับเขาเน้นอิ่มท้อง เส้นเยอะๆ พวกหมูพวกอะไรนี่ไม่สน บางคนไม่เอาหมูเลย มันดูเล็กๆ น้อยๆ แต่เขา (คนขาย) ประหยัดค่าใช้จ่ายกันได้จากแบบนี้”
ส่วนตัวลุงน้อยเองเห็นว่า หากอยู่ในพื้นที่ที่คนพลุกพล่าน มียอดขายสม่ำเสมอก็ยังพออยู่ได้ ลุงเปรียบว่า หากวันหนึ่งลงหมูไว้ 5 กิโลกรัม ขายหมดก็ถือว่าได้ค่ากิน-ค่าอยู่ แต่ถ้าอยากให้มีเงินเก็บ ต้องลงของให้มากขึ้นเป็น 10 กิโลกรัม ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ลุงน้อยเป็นคนที่ความคิดทันสมัยน่าดู แม้จะพูดถึงความเหนื่อยล้าอยู่เสมอ แต่ลุงน้อยมักหัวเราะกับสิ่งที่เล่า และบอกเล่าส่งต่อความเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา มีความเห็นต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รวมถึงพร้อมรับมือกับยุคสมัยที่อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม
ในยามที่ลุงน้อยเน้นย้ำว่าอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ‘เหมือนเดิม’ คือรถขายก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ของลุงน้อยเองที่แกยืนยันว่าไม่เคยอยากเปลี่ยนหรือปรับตัวกับพาหนะแบบอื่นเลย แม้จะเก่าจนสนิมกินไปบ้าง แต่ลุงน้อยกลับมองว่ามันมีเสน่ห์ในตัว ไม่คิดจะเปลี่ยน แม้จะมีรถพ่วงข้างคันใหม่เตรียมไว้แล้วที่บ้านก็ตาม
“รถขายป๊อกๆ นี้อยู่กับเจ้าเดิมมาประมาณ 3-4 ปี อยู่กับลุงอีก 28 ปี รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 30 ปี แต่ลุงอยากอนุรักษ์เอาไว้ ลุงว่ามันมีมนต์เสน่ห์ของมัน คนเห็นปุ๊บจะได้รู้เลยว่านี่มันก๋วยเตี๋ยวดั้งเดิมลองแวะสักหน่อย พวกหนูยังแวะเลยเห็นไหมล่ะ” ลุงน้อยหยอกเอิน
ราคาในหนึ่งกำมือ
มือของทั้งลุงน้อยและลุงแก้ว ต่างหยิบจับเหรียญและธนบัตรปึกเล็กออกจากกระเป๋าผ้า เพื่อไปซื้อเส้น หมู ผัก แผ่นเกี๊ยว และเครื่องเคราอื่นๆ มาเตรียมมื้อธรรมดาให้กับคนเมือง ลุงแก้ว พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวป๊อกๆ ย่านลาดพร้าววังหิน 43 เคยเปรยว่า เมื่อก่อนตอนเริ่มขายใหม่ๆ ราคาต้นทุนถูกกว่าตอนนี้เกือบครึ่ง เส้นบะหมี่ที่เคยซื้อถุงละไม่กี่สิบบาท วันนี้ราคาเกือบสองเท่า น้ำมันหมูที่เคยใช้เจียวกระเทียมหอมกรุ่นก็ขยับขึ้นตามราคาน้ำมันพืช กระเทียมกำมือเดียวก็เกินสิบบาทในวันนี้
“เมื่อก่อนขายชามละ 20 บาทลูก คนเขาซื้อกินกันได้สบายใจ เดี๋ยวนี้ 40-50 แล้วนะ บางคนก็ยังว่าเราขายถูกอยู่ แต่ต้นทุนมันขึ้นทุกอย่าง”
“แต่ก็ใจเขาใจเราน่ะลูก เราก็เห็นใจคนทำงาน อยากให้ได้กินของอร่อยที่ราคาจับต้องได้ จะขึ้นราคาทีหนักใจมาก ลุงคุยกับลูกค้าตรงๆ ว่าลุงแบกต้นทุนไม่ไหวอาจจะขอลดปริมาณหน่อยนะ แต่จะขายราคาเดิม เพราะลุงเข้าใจเขา” ลุงแก้วว่า
ลูกค้าลุงแก้วส่วนใหญ่คือผู้คนในย่านเดียวกันมีทั้งแรงงานก่อสร้าง ไรเดอร์ กระทั่งพ่อค้า แม่ขาย ที่พิกัดร้านอยู่ติดกัน
“เนี่ยๆ อย่างไอคนนี้ซื้อลุงประจำ”
“ผมไม่มีตัวเลือก ไม่อยากซื้อเท่าไหร่หร๊อก ไม่อร่อยแต่ราคาถูกก็ต้องซื้อเขาหน่อย”
“เอ็งจะเสียงสูงทำไม เขารู้กันหมดแล้วป๊อกๆ ลุงแก้วเนี่ยอร่อยมาก”
ลุงแก้วกับพ่อค้าร้านผลไม้ ที่ได้สถานะลูกค้าลุงแก้วด้วยหยอกเอินกันอย่างธรรมชาติ น่าจะเป็นคู่กัดที่สนิทสนมกันน่าดู อีกส่วนคือผู้คนที่เคยลิ้มลองก๋วยเตี๋ยวรสมือลุงแก้วมานมนาม ตั้งแต่สมัยยังขับเร่ขาย บางคนพอรู้ข่าวว่าแกมาปักหลักขายอยู่หน้าซอยลาดพร้าววังหิน 43 ก็ตามมาอุดหนุนอยู่บ่อยๆ
“คนนี้ก็กินตั้งแต่เด็ก” ลุงแก้วพูดพร้อมพยักเพยิดไปทางลูกค้าอีกคนที่อายุราวๆ 20 ปลาย
“เรากินตั้งแต่อนุบาล ที่บ้านชอบซื้อให้กิน เมื่อก่อนลุงแกขับเข้าไปขายในซอยบ้าน เดี๋ยวนี้ต้องมาซื้อเองแล้ว ยังถูก และอร่อยเหมือนเดิมเลย” อีกฝ่ายตอบ
จากภาพเบื้องหน้าคงเป็นผลพวงจากความตั้งใจของลุงแก้วที่ว่า “อยากให้ได้กินของอร่อยที่ราคาจับต้องได้”
.
.
ด้านลุงน้อยก็เช่นเดียวกัน แกเล่าว่าเคยกำแบงค์ 500 ใบเดียวไปจ่ายตลาดก็ได้ของครบทุกอย่าง เผลอๆ ได้เงินทอนกลับมา 40-50 ด้วยสำหรับบางวัน
“เดี๋ยวนี้ต้องกำไปอย่างน้อย 1,200-1,300 ถ้าอยากอุ่นใจหน่อยก็ 1,500”
ลุงน้อยเล่าว่าขายก๋วยเตี๋ยวครั้งแรกขายอยู่ที่ชามละ 25 บาท แต่เพื่อนที่ขายด้วยกันเขาขายอยู่ 20 บาท ตอนนั้นจึงทำให้ได้ลูกค้าน้อย ไม่ได้กำไร ซึ่งลุงมาพินิจพิเคราะห์ว่าคงเป็นเพราะขณะนั้นยังไม่ได้เข้าใจ ‘ธรรมเนียมป๊อกๆ’ “ป๊อกๆ มีธรรมเนียมนะ ถ้ามีคนมาสืบทอดต่อ หรือจะมาเซ้งต่อ คนที่ขายให้จะฝึกจะสอน บอกวิธีทำทุกอย่าง ทั้งน้ำซุป หมูแดง แคปหมู เกี๊ยว แล้วก็จะพาไปตระเวนขายตามเส้นทางที่ขายอยู่ประจำ แนะนำแล้วก็บอกลูกค้าว่าต่อไปเขาจะไม่ได้มาขายแล้วนะ มีธุระหรืออะไรก็ว่าไป แล้วเขาก็จะแนะนำเรากับลูกค้าว่าเราจะมาขายต่อ ยังไงก็ช่วยดูแลอุดหนุนด้วยนะ”
“แต่ลุงมาแบบไม่รู้เรื่องเลย เพราะทำเป็นอยู่แล้ว พอเซ้งจากเขาได้รถได้อะไรหมดแล้วลุงก็ทำเองขายเอง ไม่มีใครรู้จักลุงเลย เขามีธรรมเนียมไอเราก็ไม่รู้ธรรมเนียมเขาไง ก็เลยเจอปัญหาขายไม่ค่อยได้ ไม่รู้เขาขายกันเท่าไหร่ ถอดใจไปพักหนึ่งเพราะยอดขายมันไม่ได้อย่างที่ใจเราวาดไว้” ลุงน้อยเล่าในช่วงโควิด ลุงน้อยจำต้องพักรถป๊อกๆ ชั่วคราว กลับไปเป็นไรเดอร์ขับส่งอาหารแทน ด้วยความจำเป็นมากกว่าความสมัครใจ แกเล่าว่า มันไม่ใช่งานที่ลำบากกว่า แต่กลับรู้สึกไกลตัวอย่างประหลาด
“ใจมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น” แกว่าเช่นนั้น และเมื่อทุกอย่างเริ่มกลับมาสู่สภาพ ‘เกือบ’ ปกติ แกก็พาร่างกายกับรถซาเล้งกลับคืนถนนสายเดิมทันที ราวกับชีวิตขยับคืนร่องรอยที่คุ้นเคยลุงน้อยเข้าโหมดจริงจัง สังเกตจากน้ำเสียงที่นิ่งขึ้น ไร้คำหยอกเอินอย่างที่บทสนทนาก่อนหน้าพาเรามาถึงตรงนี้ แกยังบอกอีกว่าเสียงของลูกค้าหลายคนที่ยังคงโบกรถป๊อกๆ สั่งก๋วยเตี๋ยวใส่ผักบ้าง ไม่ใส่บ้าง ไม่เอาถั่วงอก ไม่เอากระเทียมเจียว เป็นเหมือนเสียงที่คอยย้ำว่าแกยังจำเป็น
นี่จึงกลายมาเป็นอีกเหตุผลที่แกอยากทำให้ก๋วยเตี๋ยวยึดโยงตัวเองกับผู้คนเอาไว้ และการทำให้ราคาจับต้องได้ ก็เป็นคำตอบสำหรับลุงน้อย“ถ้าผ่านมาแถวนี้แวะกินตลอดค่ะ ป๊อกๆ หากินยากแล้ว ไม่ค่อยมีแล้ว แต่ของลุงอร่อยแบบดั้งเดิมเลย เหมือนรสชาติที่กินตอนเด็กๆ” ลูกค้าคนหนึ่งบอกหลังจากสั่งบะหมี่ 2 ก้อน ‘ใส่ถ้วย’
“ดั้งเดิมสิครับผมไม่เปลี่ยนสูตรเลย เพราะผมเปลี่ยนไม่เป็น” ลุงน้อยเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้ง เหมือนกดปุ่มปรับเป็นโหมดปกติทันที
“เอาเครื่องปรุงมั้ยล่ะ”
“ไม่เอา เดี๋ยวหนูปรุงเลย”
ฉันชำเลืองมองตามลูกค้าของลุงน้อยจนสายตาไปหยุดอยู่ที่ ‘พวงเครื่องปรุง’ เธอปรุง ก่อนยื่นถุงคืนให้ลุงน้อยมัดปาก….โครตป๊อกๆ เลยมือของทั้งลุงน้อยและลุงแก้วกำเงินหนึ่งกำมือออกไปซื้อของเพื่อปรุงมื้อธรรมดาให้คนเมือง ขณะที่ลูกค้าของทั้งคู่ก็กำเงินอีกหนึ่งกำมือมาแลกความอิ่มในชามก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่ทอดทิ้งรสชาติและราคา
ภาพป๊อกๆ ขับเร่ขายน้อยลงไปแล้ว กลุ่มหมู่ที่เคยมีก็สลายไปเกือบหมด ภาพธรรมดาที่แสนจะคุ้นตา อย่างการที่มือหนึ่งยื่นรับชามก๋วยเตี๋ยว มือหนึ่งหมุนพวงเครื่องปรุง เป็นภาพที่กำลังหายากขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองที่รายได้ไม่เคยพอเหมาะพอดี
หนึ่งกำมือในวันนี้ จึงไม่เคยเท่ากับหนึ่งกำมือในเมื่อวานเลย
จากรายงานของ WIEGO ที่ได้ลงพื้นที่สำรวจการแบกรับต้นทุนค่าครองชีพของพ่อค้าแม่ค้าในกรุงเทพฯ ระบุว่า ต้นทุนอาหารเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวของรายได้ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าในกรุงเทพฯ จำนวนมากต้องลดปริมาณอาหาร หรือตัดบางสิ่งบางอย่างออกไปเพื่อลดต้นทุน หลายคนไม่อยากขึ้นราคา เพราะกลัวว่าลูกค้าจะหนีหายไปจึงต้องแบกรับต้นทุนเอาไว้เอง สำหรับบางคนมีอีกสิ่งที่ทำนอกจากลดปริมาณ คือการลดคุณภาพวัตถุดิบ เพื่อให้ราคายังจับต้องได้ แต่ต้องแลกมากับความปลอดภัยทางด้านอาหารและคุณภาพชีวิตที่ลดน้อยลง
อีกหนึ่งข้อมูลที่สำคัญคือ กว่า 50% ของรายได้คนกรุง รวมถึงพ่อค้าแม่ค้า อาชีพอิสระ ใช้จ่ายไปกับค่าอาหารทั้งสิ้น
ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามสำหรับลุงแก้วและลุงน้อย คือภาพสะท้อนของทั้งความทรงจำ ความอบอุ่น และความเข้าใจในวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการมื้ออาหารราคาย่อมเยา
“วันไหนอยากกินมื้อพิเศษหน่อยก็ไปได้เลย เดี๋ยวมื้อธรรมดาลุงจัดให้” ลุงน้อยทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี
ทั้งสองคนเดินหน้าดูแลมื้ออาหารราคาย่อมเยานี้มาเกือบ 3 ทศวรรษ แม้จะรู้ว่าอะไรต่อมิอะไรต่างก็แพงขึ้น แต่พวกเขายืนหยัดเต็มใจที่จะเป็นผู้ดูแลมื้ออาหารของเราต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่ขายไม่ไหว และหวังว่าสักวันหนึ่งคนตัวเล็กๆ อาจจะไม่ต้องรับบทบาทอันหนักอึ้ง ให้แบกรับหินก้อนโตที่ชื่อว่า ‘ค่าครองชีพ’ เพียงลำพัง