Humberger Menu

เราสามารถรักชาติโดยไม่ต้องเกลียดชังชาติอื่นได้ไหม?

ในมรสุมความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ไม่ว่าเราจะกดเข้าไปอ่านคอมเมนต์ในโพสต์ไหน ก็เห็นแต่การสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง แม้กระทั่งวันที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา สรุปข้อตกลงหยุดยิงหลังเที่ยงคืน ก็ไม่วายมีคอมเมนต์แสดงความไม่พอใจการเจรจา บ้างก็อยากให้ขับ F-16 ไปจนถึงพนมเปญ

สิ่งที่น่าอึดอัดอย่างถึงที่สุดคือ การเห็นคนรอบตัว แสดงอาการเกลียดชังต่อมนุษย์ผู้อื่นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้เราจะพยายามอธิบายและเตือนสติพวกเขา ทว่ากลับโดนผลักไสให้เป็นคนไม่รักชาติ หรือถูกเรียกว่าเป็นพวก ‘โลกสวย’ ที่ต้องการสันติภาพ โดยไม่ยอมปกป้องประเทศตัวเอง

ทำไม ‘ความรักชาติ’ ถึงกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิด ‘ความเกลียดชัง’ ได้ขนาดนี้? เราใช้ ‘ความรัก’ ชักจูง ‘ชาติ’ มาถูกทางแล้วจริงๆ หรือ?

หรือสิ่งต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความเป็นชาติ’ ในตอนนี้ ไม่ว่าจะธงชาติ เพลงชาติ หรือแผนที่ชาติไทย ที่ให้ความรู้สึก ‘กระอักกระอ่วน’ แม้หลายคนมีเจตนาเพื่อให้กำลังใจทหารด่านหน้า และรวมความเป็นหนึ่งของประเทศ แต่ในบริบทที่ความนิยมชาติกำลังพุ่งสุดโต่ง และการเกลียดชังชาติอื่นมีพื้นที่ใหญ่กว่า นัยหนึ่ง ธงชาติจึงอาจชวนให้รู้สึกว่า ‘เราเหนือกว่าคนอื่น’ แตกต่างไปจากความรู้สึกที่เรามีต่อธงชาติโบกสะบัดร่วมกับนักกีฬาบนเวทีโลกที่ชวนให้ภาคภูมิใจ

ธงชาติยังผูกอยู่กับความทรงจำทางการเมือง การใช้ธงชาติเป็นสัญลักษณ์ในการชุมนุมที่ผ่านมา กลายเป็นการโอมอุ้มความหมาย ของการกีดกันคนเห็นต่างให้หนีออกไปจากประเทศ หรือยัดเยียดการเป็น ‘คนชังชาติ’ ให้กับคนที่มีความหมายชาติต่างออกไป อิทธิพลของกลุ่มที่ใช้ ‘ธงชาติ’ แสดงสัญลักษณ์เช่นนี้ กลายเป็นภาพ ‘การรักชาติ’ ที่ผูกอยู่กับ ‘เรื่องเล่าเดียว’ จนแทบไม่เหลือความเป็นไปได้ให้กับความภูมิใจแบบอื่นเลย

ศาสตราจารย์เกษียร เตชะพีระ เขียนบทความในมติชนสุดสัปดาห์ว่า ชาติเป็น ‘ชุมชนจินตกรรม’ ตามแนวคิดของเบน แอนเดอร์สัน ชุมชนจินตกรรมคือการจินตนาการว่า คนที่อยู่ในพื้นที่นี้มีอะไรบางอย่างร่วมกัน ทั้งอดีต พื้นที่ หรือสายสัมพันธ์บางอย่าง เช่น อดีตคือ ประวัติศาสตร์ชาติ พื้นที่ คือแผนที่ประเทศ สายสัมพันธ์คือ สัญลักษณ์บางอย่าง เช่น ธงชาติ เพลงชาติ เครื่องแต่งกาย

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรา ‘มีชาติ’ แล้ว คนที่ไม่มี ‘พื้นที่อะไรบางอย่างร่วมกัน’ ก็จะกลายเป็น ‘คนอื่น’ ทั้งๆ ที่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เหมือนที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธิบดี บัวคำศรี กล่าวว่า “ชาตินิยมมันวางอยู่บนอารมณ์ความเป็นเขา ความเป็นเรา ความเป็นอื่น ยิ่งเรารักชาติเท่าไหร่ บางครั้งเราก็รังเกียจชาติอื่นมากขึ้นเท่านั้น”

การเติบโตของเราจึงไม่ใช่ ‘การรักชาติ’ อย่างเดียว แต่มาพร้อมการสร้าง ‘ความเกลียดชัง’ อย่างเป็นระบบ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ธงชัย วินิจจะกูล ระบุว่า ลัทธิชาตินิยมคลั่งชาติ มาจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ ที่สร้างภาพให้ชาติไทยเป็น ‘ศูนย์กลาง’ ในขณะที่พื้นที่รอบๆ ถูกสเตอร์ริโอไทป์ต่างออกไป เช่น พม่าเป็น ‘ศัตรู’ เข้ามาแย่งบ้านเมือง ลาวเป็นคนน่าสงสารที่ไทยค้ำจุน ส่วนกัมพูชาเป็นคนน่าสมเพศที่ไว้ใจไม่ได้ ความรู้เหล่านี้ ‘ปลุกความเกลียดชัง’ ได้ง่าย

ในขณะที่คำว่า ‘เพื่อนบ้าน’ เป็นศัพท์ใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 และยุคสมัยก็พยายามโอบรับสิ่งนี้ แต่รัฐไทยยังคงนำเสนอกับสังคม ด้วยประวัติศาสตร์แบบยุคจารีต ทำให้คนไทยยังเคยชินกับ การไม่โอบรับคำว่า ‘เพื่อนบ้าน’ แต่มองเป็น ‘คนอื่น’ มากกว่า

เหตุผลอีกอย่างที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้ เร่งเครื่องกระแสชาตินิยมอย่างสุดโต่ง อาจเพราะสังคมไทยได้เห็นข่าวทางการทหารเท่านั้น แต่ยังไม่ค่อยเห็นท่าทีของรัฐบาลอย่างจริงจัง ทำให้คนปักใจเชื่อว่าเรามีทางออกเดียว

แต่ในบริบทสากล การหาทางออกผ่าน ‘การทูต’ เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับที่สุด มันไม่ได้สื่อว่าเราอ่อนแอหรือยอมให้กับความขัดแย้ง แต่สะท้อนว่าเราให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพ ไม่ต้องให้ใครออกไปสูญเสีย อย่างที่ พล.ต.ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือผมไม่อยากให้มีการปะทะ เพราะการที่ทหารตาย 1 นาย มันไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะทหาร 1 คน มีลูกมีเมีย พ่อแม่ คนอยู่ข้างหลังอีกหลายคน ถึงรบยังไง สุดท้ายต้องมาคุยกันมาเจรจากัน”

ฉะนั้น ปัญหาที่ทั้งสองเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เราต่างใช้สายตา ‘พวกเขา’ ‘พวกเรา’ ที่มาคู่กับแนวคิดที่ว่า ‘เราเหนือกว่าคนอื่น’ ยิ่งมันถูกโหมกระพือมายาวนานจนนำไปสู่การทำร้ายกัน และสังคมมองทางออกเพียงแค่อย่างเดียว ยิ่งทำให้การแก้ปัญหาไม่นำไปสู่ทางออกที่ดีกับทั้งคู่

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การปฏิเสธว่า กัมพูชาไม่ได้ทำผิดเลย แต่สิ่งที่ไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการข่าวปลอมและการโจมตีพลเรือนไทย รัฐบาลไทยจำเป็นต้องใช้แนวทาง ‘ทางการทูต’ เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบ และเจรจาผลประโยชน์ร่วมกัน

ดังนั้น เรามีสิทธิที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศได้ และเรา ‘ควรทำ’ ด้วยการช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ ให้รัฐบาลทำงานผ่านการทูตอย่างแข็งขัน และชี้แจงตามข้อขัดแย้งที่เราเผชิญในเวทีโลก แต่ไม่ใช่การโชว์ว่าเราเหนือกว่าคนอื่น จนนำไปสู่การออกใบอนุญาตทำร้ายใครก็ได้ตามที่ใจต้องการ ไม่เช่นนั้นอาการคลั่งชาติสุดโต่ง ก็อาจทำลายชาติได้เช่นกัน

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
สุดารัตน์ พรมสีใหม่