Humberger Menu

การมาของ ‘พี่รุ่ง’ พ่อค้าโตเกียวแฟนแมนยู ที่ขายมากว่าสองทศวรรษ

ภาพ: จิตติมา หลักบุญ


แป้งสีครีมอ่อนถูกเกลี่ยลงกระทะอย่างรวดเร็ว มันปรากฏเป็นรูปวงรีวางติดกันหลายอัน ก่อนที่ไส้ครีมจะตามมาอยู่ตรงกลาง จากนั้น เสียงเกรียงกระทบกระทะก็เป็นสัญญาณว่า ความอร่อยของ ‘โตเกียว’ กำลังส่งต่อถึงมือลูกค้าแล้ว

หลายคนคงเคยสงสัยว่า ขนมโตเกียวมีกำเนิดมาจากญี่ปุ่นหรือเปล่า? แม้จะไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการ แต่ว่ากันว่า โตเกียวเกิดขึ้นที่แรกในห้างสรรพสินค้าไดมารุ ย่านราชประสงค์ ซึ่งเป็นศูนย์นำเข้าสินค้าญี่ปุ่น โดยดัดแปลงมาจากขนม ‘โดรายากิ’ ในปี พ.ศ. 2510 

ผ่านมา 5 ทศวรรษ โตเกียวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนไทย รสชาติทานง่าย ราคาไม่แพง แม้จะขึ้นชื่อว่า ‘ขนม’ แต่ก็ยังมี ‘ไส้เค็ม’ ที่เราได้เห็นการตอกไข่นกกระทาขนาดจิ๋ว ใส่หมูสับ ไส้กรอก เหยาะซอส คลุกเคล้ากับพริกไทยเล็กน้อย 

โตเกียวยังเป็นขนมบรรจุความทรงจำบรรยากาศหน้าโรงเรียนได้ดีสำหรับวัยเรียน เพราะต่อมามันก็กลายเป็นหนึ่งใน ‘อาหารรถเข็น’ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้เยาว์ ความสนุกในวัยเด็กคือ การได้เห็นกระบวนการทำขนมจากพี่เจ้าของร้าน จังหวะตักแป้งแพนเค้กลงกระทะแบนราบ ค่อยๆ เกลี่ยแป้ง แล้วไส้ต่างๆ ก็ได้ถูกหย่อนลงอย่างว่องไว  

ไม่ใช่แค่รสชาติและกระบวนการทำที่ทำให้เด็กหลายคนมีความทรงจำเกี่ยวกับโตเกียว แต่การได้ ‘ปฏิสัมพันธ์’ กับคนขาย บุคคลแปลกหน้าที่เราได้พูดคุยด้วยเป็นเวลาสั้นๆ เป็นหนึ่งในความผูกพันที่ทำให้อาหารรสเข็นโดดเด่น 

“สัปดาห์ก่อนมีคนหนึ่งย้ายไปอยู่สัตหีบ กลับมาแล้วเขาบอกว่า ‘คิดถึงโตเกียวพี่รุ่งมาก ทางนู้นก็มีนะ แต่มันไม่ใช่รสชาตินี้’ บางคนสั่งแพนเค้กรูปการ์ตูน พี่รุ่งก็แซวเขาว่า ‘รำลึกความหลังเหรอ?’ เขาก็หัวเราะ พี่รุ่งเห็นพวกเขาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว” รุ่ง–ประมวล กัญญาชาติ พ่อค้าขายโตเกียวที่ทุกคนเรียกว่า ‘พี่รุ่ง’ เล่า 

พี่รุ่งเป็นหนึ่งในคนขายโตเกียวที่ยืนระยะมากว่า 28 ปี โดยปักหลักในย่านดินแดง-พระราม 9 ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในหมู่เด็กและผู้ใหญ่ที่อยู่โรงเรียน ตลาด ใกล้ๆ กับแฟลตดินแดง ยามใดที่ทุกคนเห็นเขาขับรถจอดตามที่หมายต่างๆ เด็กๆ ก็จะคุ้นหน้าคุ้นชื่อเขาเป็นอย่างดี ประโยคที่ว่า ‘พี่รุ่ง โตเกียวมาแล้ว’ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ถึงความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่และพ่อค้าโตเกียวคนนี้  

โตเกียวของพี่รุ่งมีไส้ครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นไส้สังขยาและเผือก รวมถึง

เนยกรอบ พิซซ่า และแพนเค้กรูปการ์ตูนที่เอามาเล่นสนุกกับเด็กๆ ถึงอย่างนั้น หากเทียบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดวิวัฒนาการ ‘ไส้โตเกียว’ ที่ ‘สุดแสนแฟนซี’ และ ‘แปลกใหม่’ ขนมโตเกียวของพี่รุ่งก็ไม่ได้มีจุดสร้างความตื่นตาตื่นใจเช่นนั้น แต่อะไรที่ทำให้เขาสามารถยืนระยะกับการขายมานานเกือบ 3 ทศวรรษ 

นี่คือเรื่องราวของ ‘พี่รุ่งโตเกียว’ ที่จะเป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า ร้านรถเข็นไม่ได้เป็นเพียงอาหารที่เราคุ้นเคย แต่ยังสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อใจระหว่างผู้คนเอาไว้ด้วย 

คนขี้อายที่รู้ว่าโตเกียวคืออาชีพเดียวที่ช่วยให้มีรายได้จุนเจือ

อากาศร้อนห่มร่างกายเอาไว้ในขณะที่รถพ่วงร้านโตเกียวจอดใกล้ร้านสะดวกซื้อในตลาดขวัญ ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาแวะเยือน แต่ระหว่างนี้ พี่รุ่งเทแป้งลงกระทะ ค่อยๆ บรรจุไส้ต่างๆ เอาไว้ เผื่อมีลูกค้าเข้ามา เขาจะจับใส่ถุงยื่นให้ได้เลย

ในขณะที่มือทำขนม พี่รุ่งก็เริ่มเล่าเรื่องที่มาที่ไปที่ทำให้เขามาเป็นคนขายโตเกียวจนถึงตอนนี้

“พี่รุ่งเป็นคนสุโขทัย มีพี่ชายที่ย้ายมาทำงานในกรุงเทพ พี่รุ่งเห็นว่าใครก็ตามที่มาดำรงชีพในเมืองหลวงก็มักจะมีรายได้ดี พี่รุ่งก็อยากมา” ในวัย 17 ปี เขาตัดสินใจเดินทางเข้ามากรุงเทพเพื่อตามหาโอกาสเช่นเดียวกับหนุ่มสาวต่างจังหวัดหลายคน

“ช่วงแรกพี่ชายก็ไปฝากไว้ที่งานก่อสร้าง เขาก็ให้ช่วยหิ้วถังปูน ทำนู่นนี่ ได้วันละ 200 บาท” เจ้าของร้านโตเกียวย้อนความหลัง  “แต่ว่าทำได้ไม่กี่เดือนก็ออก เพราะว่าได้เงินน้อย บางวันก็ไม่มีงาน ถ้าไม่มีงานก็ไม่ได้เงิน เพราะว่าเขาจ่ายรายวัน พี่รุ่งก็ย้ายไปทำโรงหมี่” 

ที่ทำงานใหม่ยังไม่สามารถเติมเต็มรายได้ในสิ่งที่พี่รุ่งต้องการ เมื่อหันไปเปรียบเทียบกับพี่ชายของเขาที่หารายได้วันละ 500-600 บาทจากการเป็นลูกจ้างขายโตเกียว “เราเห็นพี่มีเงินเหลือไปซื้อนาฬิกาใส่ มีเงินเก็บไปเที่ยว ซื้อเสื้อผ้าได้ แต่เรามีกินไปวันๆ เท่านั้นเอง เราก็อยากจะทำแบบนั้นบ้าง” นี่คือเหตุผลที่ทำให้พี่รุ่งตัดสินใจลองทำอาชีพเดียวกันกับพี่ชาย

“ตอนแรกเป็นลูกจ้างเขาก่อน เขาจะคิดเงินค่าจ้างร้อยละ 30 ต่อรายได้จากการขายแต่ละวัน ซึ่งในสมัยปี 2538-2539 ก็ถือว่าเป็นเงินที่เยอะนะที่เราได้วันละ 500-600 วันไหนมีงานวัดได้ถึง 700-800 บาท แล้วแถวบางกอกใหญ่มีงานเยอะมาก จัดทีหลายวัน ยิ่งทำให้เราเห็นเงิน” 

ทุกอย่างควรเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ติดอยู่แค่ปัญหาเดียวคือ “พี่รุ่งเป็นคนขี้อายมากๆ อายในระดับที่มือสั่น ทำอะไรไม่ถูก แต่จะอายเฉพาะเวลามีสาวๆ 3-4 คนมารุมซื้อโตเกียว ถ้ามาคนเดียวไม่เป็นอะไร แต่พอมาเป็นกลุ่มแล้วเขาพูดแซวเรา เราอายมาก อายจนผิดปกติ เหงื่อแตก” 

ขายได้สักพัก เขาก็เลิกออกจากโตเกียวเพื่อไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในผับ นับว่าเป็นงานที่รายได้ดีไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะ ‘ทิป’ ที่ได้จากลูกค้าแตะหลักพันภายในหนึ่งคืน แต่สุดท้าย งานนี้ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาในชีวิตอยู่ดี

“เวลามันไม่ปกติ ทำงานกลางคืน นอนกลางวัน แล้วพี่รุ่งเป็นคนที่ถ้าไม่ได้นอนแล้วอยู่ไม่ได้ หงุดหงิดมาก แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาเดียว เพราะอีกอย่างคือ ทำงานแบบนั้นแล้วทะเลาะกันบ่อย ทีนี้ก็จะเข้าสู่เรื่องเล่าของการเริ่มมีแฟนแล้วนะ” พี่รุ่งนั่งเล่าความหลังอยู่หน้าเตาโตเกียวด้วยน้ำเสียงติดตลก 

“ทำงานกลางคืนแล้วแฟนระแวง เดี๋ยวสงสัยนู่นนี่ นั่นเบอร์ใคร แล้วใครมาหา ทะเลาะกันทุกวัน พี่รุ่งก็เลยเลิกทำเลย ตัดปัญหา” แต่จะไปหางานไหนที่รายได้เยอะมากพอมาจุนเจือครอบครัวเช่นเดิมกันล่ะ เขากลับไปทบทวนถึงสิ่งที่ได้ทำมา ก่อนจะตกตะกอนให้กับตัวเองอีกครั้ง

“เราไม่มีความรู้ โอกาสก็ไม่ค่อยมีเข้ามา งานที่เคยทำก็ไม่เคยได้เงินถึงวันละ 1,000 เท่ากับงานในผับกับขายโตเกียว เราก็คิดถึงอาชีพเก่า ขายโตเกียววันหนึ่งยังได้ 700-800 เราก็กลับไปเป็นลูกจ้างขายโตเกียวอีกรอบ” 

ครั้งนี้พี่รุ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองโตขึ้นจากเดิม เขาสั่งสมความคุ้นชินการพบเจอคนจากการทำงานเด็กเสิร์ฟในผับมานักต่อนัก การขายโตเกียวจึงกลายเป็นเรื่องง่ายไปแล้ว แต่หลังจากทำได้สักพัก พี่ชายเขาชวนคิดว่า พวกเขาคงเป็นลูกจ้างต่อไปแบบนี้ไม่ได้ น่าจะต้องลองหาที่ทางของตัวเองบ้าง เพื่อนของพี่ชายจึงแนะนำให้ลองมาดูทำเลแถวย่านรัชดา นั่นคือจุดเริ่มต้นที่พี่ชายชวนเขาซื้อสูตรของเจ้าของโตเกียวเพื่อเอามาเปิดขายเอง

“เถ้าแก่เขาก็บอกว่า ขายให้ได้ แต่อย่าขายในเขตเดียวกันกับเขา พวกเราก็ตอบตกลง ซื้อสูตรในราคา 9,000 บาท ใช้เงินเก็บรวมกันซื้อมา แต่ก็ดีหน่อยที่ต้นทุนซื้อของมาขายมันไม่ถึงพันบาท ไม่เหมือนการขายก๋วยเตี๋ยวที่ยังลงทุนมากกว่าโตเกียว”

ช่วงแรก พี่รุ่งทำเป็นรถเข็นโตเกียวที่ขายในย่านโรงเรียนวิชากร เดินไปถึงสน. ดินแดง หรือเข็นเข้าแฟลตดินแดง ที่นั่นทำให้เขาพบกับเด็กๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นขาประจำของขนมโตเกียวอยู่แล้ว 

“พอทำไปได้ระยะหนึ่ง มันเข็นทุกวัน ทั้งหลังทั้งเอวก็ปวดไปหมด สุขภาพเราก็ไม่ค่อยดี พี่รุ่งก็เลยต้องต่อรถพ่วง” พ่อค้าโตเกียวพูดขณะที่ชี้ไปยังมอเตอร์ไซค์และรถพ่วงที่เขานั่งอยู่ “มอเตอร์ไซค์นี่ก็ยังผ่อนอยู่นะ” เขาว่า

วิธีการสร้างลูกค้าของโตเกียวเคลื่อนที่

“โตเกียวอยู่ได้เพราะเด็กเลย ผู้ใหญ่จะนานๆ ซื้อที แต่ซื้อเยอะ ในขณะที่เด็กซื้อได้ทุกวัน วันละ 5 บาท 10 บาท” พี่รุ่งพูดขึ้น ขณะที่มือกำลังจับเกรียงม้วนโตเกียวใส่ถุงให้ลูกค้า “พี่รุ่งเป็นคนชอบเด็กอยู่แล้ว พอไปถึงเขาจะวิ่งกันมาเกาะรถ เสียงเจี้ยวจ้าว บางคนไม่มีตังค์ก็ให้กินฟรี บางครั้งเราให้กินฟรีก็เอาไว้ซื้อใจเด็กด้วย เราก็ดูไว้ใครเป็นหัวโจก แล้วทำให้กินฟรี บอกไปว่า ‘พี่รุ่งให้คนเดียวนะ อย่าไปบอกใคร ถ้าบอกคนอื่นพี่รุ่งเจ๊งแน่ๆ เลย’ วันต่อมาเด็กก็ไปชวนเพื่อนมากินเต็มเลย” พ่อค้าโตเกียวเล่าด้วยเสียงหัวเราะ

จึงไม่แปลกที่เป้าหมายร้านโตเกียวจะเป็นจุดที่มีเด็กๆ พลุ่งพล่าน ซึ่งไม่ใช่แค่บริเวณใกล้โรงเรียนอย่างที่เราคุ้นกันเท่านั้น “เมื่อก่อนพี่รุ่งจอดขายหน้าร้านเกมด้วย ร้านเกมเยอะมาก แต่ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว เพราะว่าเด็กมีโทรศัพท์เป็นของตัวเอง” 

ส่วนลูกค้ากลุ่มอื่นๆ จะเป็นผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกับโตเกียวมาตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ปกครองที่ซื้อโตเกียวไปฝากลูกๆ พี่รุ่งจึงไปจอดที่ตลาด สน. ดินแดง หรือแม้กระทั่งออฟฟิศในย่านซอยรัชดา 

“เรารู้จักพี่เขาตั้งแต่ฝึกงาน แล้วก็ทำงานต่อที่นี่ พอย้ายออกไปทำที่อื่น แล้วกลับมากินอีกก็ยังจำกันได้ สรุปคือรู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว” ภัทร–สุภัทริณี ศรประดิษฐ์ พนักงานออฟฟิศประจำตึกบันลือเป็นหนึ่งในลูกค้าประจำของพี่รุ่ง ระดับความสนิทสนมของพวกเขาอยู่ในขั้นที่พ่อค้าโตเกียวจำได้ว่าเธอมักสั่งไข่นกกระทาแบบไม่ตีไข่ 

“สำหรับเรา การจะหาโตเกียวกินมันไม่ง่ายเท่าไหร่ อย่างแถวที่พักเราก็ไม่มี ส่วนแถวออฟฟิศก็มีร้านขนมของพี่เขาร้านเดียว เวลาลงมากินข้าวกลางวัน แล้วเจอพี่เขา เราก็จะเล็งไว้แล้วว่า เดี๋ยวมาซื้อละกัน แต่บางวันพอกลับมาพี่เขาไปแล้ว ตอนหลังก็เลยต้องถามว่า ‘คุณพี่อยู่ตรงนี้ถึงกี่โมง’ ทำให้รู้ว่าเขาจะประจำหน้าตึกถึงบ่ายสอง วันไหนที่เราลงมากินข้าวแล้วใกล้จะบ่ายสอง เราก็จะบอกเขาว่า ‘คุณพี่ๆ อย่าเพิ่งไปนะคะ รอหนูก่อน เดี๋ยวหนูมา’” 

วิธีการยื้อพ่อค้าของสุภัทริณีเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักต้องปฏิบัติกับร้านรถเข็นกันเป็นประจำ เพราะถ้าไม่ได้แลกเบอร์ติดต่อกันไว้ หรือพูดคุยกันจริงจังจนรู้จักเรื่องอื่นๆ ในชีวิตก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไปขายที่ไหนต่อ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในการบริโภคอาหารจากร้านรถเข็นที่มักหาตัวจับยาก และไม่รู้ว่าเขาไปขายที่ไหนบ้าง

“จะมีช่วงหนึ่งที่พี่เขาไม่มา เราก็จะรอว่า โอเค วีคนี้ไม่มา งั้นรอวีคหน้า แต่ก็หวั่นใจเหมือนกันว่า ถ้าวีคหน้าเขาไม่มา หรือเขาจะหายยาว มันก็มีคิดไปนู่นมานี่บ้าง เพราะเราไม่มีเบอร์ติดต่อ” ภัทรเล่า

ในมุมของเบลล์–จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์ อีกหนึ่งลูกค้าประจำของพี่รุ่ง และทำงานในบริษัทเดียวกันกับสุภัทริณีมองว่า จุดเด่นอย่างหนึ่งของร้านรถเข็นคือ ‘ความเชื่อใจ’ ระหว่างลูกค้าและคนขายที่รู้ว่าเขาจะมาพบกันตามเวลานี้ โดยไม่ต้องโทรนัดหมายกันเลย

“เราว่าการอาศัยความเชื่อใจกันเป็นเสน่ห์ของอาหารรถเข็น ทุกวันนี้เราก็ยังคิดกับอาหารรถเข็นอื่นๆ เช่น รถหมูปิ้งแถวบ้าน ถามว่าวันนี้อยากกิน แต่จะไปหาที่ไหนก็ไม่รู้ พอวันไหนเราไม่หิว แต่เขามา เราก็ดีใจ เดินออกไปดัก เพราะมันคิดถึง โตเกียวก็เหมือนกัน สมมติพี่รุ่งไม่มาวันจันทร์เราก็ไม่รู้แล้วนะว่าต้องไปหาที่ไหน หรือถ้าเขาบอกว่าจอดหน้าโรงเรียนนี้ๆ แต่เราก็คงไม่ได้ตามไป เพราะตอนเขามาจอดที่นี่ ฟังก์ชั่นอีกอย่างคือ ความสะดวกที่มาด้วย ทำให้บรรยากาศมันเป็นอีกแบบ”

“แต่ว่าพอมาเจอกัน แล้วได้ถามว่า ‘คุณพี่หายไปไหนมา’ มันทำให้เรารู้สึกดีมากเลยนะที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากเขา เพราะปกติพี่เขาไม่ใช่คนพูดเจ้าะแจ้ะหรือจ้อเยอะอะไรเลย” ภัทรแลกเปลี่ยนบทสนทนา “แต่พอได้ถามไถ่กันว่าไปไหนมา แล้วเขาเล่าให้ฟังเรื่องลูก เรื่องนู่นนี่ ทำให้รู้สึกดีที่ได้ยินเรื่องเล่าจากคนที่เราเจอหน้าบ่อยๆ” 

ในมุมของพ่อค้าโตเกียวอย่างพี่รุ่ง แม้จะเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่เขาพยายามสร้าง ‘จังหวะ’ ของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าจำได้ว่า รถพ่วงอย่าง ‘พี่รุ่งโตเกียว’ จะไปประจำยังจุดไหนบ้าง เช่น ทุกวันจันทร์จะขายให้พนักงานออฟฟิศตึกบันลือเวลา 12:00-14:00 นอกนั้นจะขายในละแวกอื่นๆ เช่น ตลาดขวัญ จากนั้นตกเย็นเวลา 14:30 เขาจะขับไปยังโรงเรียนวิชูทิศ แล้วค่อยเริ่มขับลัดเลาะไปตามแยกต่างๆ จนกว่าของจะหมด หากวันไหนขายดีตั้งแต่กลางวัน ประมาณหนึ่งทุ่มก็จะได้กลับเข้าบ้าน แต่ถ้าวันไหนของยังเหลือเขาก็จะอยู่ดึกขึ้นอีกนิด  

“ต่อให้เราไม่มีหน้าร้าน แต่เรามีจังหวะของเรา เราก็จะไปอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ตามเวลาที่วางไว้ เพื่อให้ลูกค้าจำได้ว่าเราอยู่ตรงนี้ ในช่วงเวลานี้ ถ้าเขาไม่เห็นเรานานๆ หรือเราไปช้า พี่รุ่งคิดว่าเขาก็จะลืมเรา” พี่รุ่งแจกแจง

“ถ้าไม่ใช่เพราะมีนัดหมอหรือไปธุระ ส่วนมากพี่รุ่งจะขายทุกวันเพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราอยู่ตรงนี้ ประจำที่นี่ในเวลานี้ สมมติลูกค้าอยากกินโตเกียวขึ้นมา เขาต้องนึกถึงว่าเราจะมาตรงนี้ในเวลานี้นะ เราจึงต้องมีที่ประจำให้เขาจำได้”

“แล้วถ้าจะย้ายจุด เราก็ต้องไปให้ถึงอีกจุดให้ตรงเวลา รีบวิ่งไปให้ทัน มีหลายครั้งที่มีลูกค้ารายทางตะโกนเรียกให้จอดขาย แต่พี่รุ่งก็จะบอกว่า ‘ขอโทษด้วยนะครับ แก๊สผมหมด’ ใจหนึ่งพี่รุ่งก็กลัวลูกค้าอีกจุดเขารอ เพราะถ้าเขามารอ แล้วไม่เจอเราเขาจะหงุดหงิด ทำไมมาช้าจัง ไหนบอกว่ามาขายตรงนี้เวลานี้ หรือถ้าเขาไม่เห็นเรา 2-3 วัน เขาก็จะไม่นึกถึงเราแล้วนะ ไปซื้ออย่างอื่น พี่รุ่งก็เลยพยายามรักษาเวลากับจุดประจำตรงนี้เอาไว้” พ่อค้าโตเกียวอธิบายวิถีของร้านรถเข็นอย่างละเอียด

โตเกียวรสชาติดั้งเดิมที่เพิ่มเติมไส้พิเศษด้วยความสัมพันธ์

“อยากกินโตเกียว” เสียงของลูกค้าประจำพี่รุ่งดังขึ้นก่อนที่เขาจะจอดมอเตอร์ไซค์ข้างรถพ่วง เจ้าของร้านมองตามเสียงก่อนจะรีบตอบกลับไปว่า “มาๆ” 

“เอาอันใหญ่ 3 อัน” ลูกค้าประจำรีบสั่งอย่างว่องไวก่อนจะหันหน้าไปถามเพื่อนที่มาด้วยกันว่า มีเงินอีก 5 บาทเพื่อจ่ายค่าโตเกียวให้ครบบ้างไหม

“ไม่มีอะ ฉันติดพี่รุ่งประจำ” เพื่อนตอบกลับเขาพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนที่พี่รุ่งจะบอกด้วยรอยยิ้มว่า “เขาใช้เครดิตกันทั้งนั้น” 

“แสดงว่าจะย้ายร้านหนีก็ไม่ได้เนอะพี่รุ่ง” ลูกค้าประจำแซวเขา “แล้ววันนี้ไปขายที่หลังโรงเรียนไหม” พี่รุ่งพยักหน้าตอบรับ ลูกค้าจึงบอกว่า “งั้นก็สั่งไว้แล้วเดี๋ยวขอไปจ่ายที่นู่นนะ” พ่อค้าโตเกียวยิ้มกว้าง แล้วรีบตอบว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา”

ว่ากันตามความจริงแล้ว โตเกียวพี่รุ่งไม่ได้มีหน้าตาแฟนซี หรือรสชาติแปลกกว่าที่อื่น แต่สิ่งที่ทำให้คนผูกพันกับเขา คือความเป็นกันเอง การขายมายาวนาน และปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเป็นมิตร พี่รุ่งเล่าว่า การขายโตเกียวทำให้เขาเจอคนหลากหลาย ไม่ว่าจะยากดีมีจน คนที่มีหน้าที่การงานมั่นคง หรือคนนักเลงที่เคยหาเรื่องเขามาแล้วก็มี ไปจนถึงคนที่ ‘ไว้ใจ’ กันขนาดที่ใช้ ‘เครดิต’ ซื้อของกันก่อนได้

ความสนุกอีกอย่างของพี่รุ่งโตเกียวคือ ในบรรดาลูกค้าขาประจำของเขา ยังมี ‘แฟนบอลคอเดียวกัน’ และเชียทีม ‘แมนยู’ เหมือนกันมาอุดหนุน  

จิรเดชก็เป็นหนึ่งในลูกค้าแฟนแมนยูชี้ชวนให้ดูสติ๊กเกอร์แมนยูที่ติดอยู่ตู้กระจกหน้ารถพ่วง และป้ายทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ของพี่รุ่ง “ปกติเราลงไปกินข้าวเที่ยงก็แวะซื้อขนมก่อนขึ้นตึก แล้วแถวนี้ไม่ค่อยมีขนมหวาน นอกจากโตเกียวพี่เขานี่แหละ เมื่อก่อนเราก็ไม่ทันสังเกตหรอกว่าพี่เขาติดสติ๊กเกอร์แมนยู แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เรามาเห็นว่า พี่เขาใส่เสื้อแมนยู หลังจากนั้นเวลามาเจอก็จะมีบทสนทนากันตลอด จากเมื่อก่อนสั่งขนมอย่างเดียว”

“สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตด้วยนะ พี่เขาจะใส่เสื้อแมนยูมาเฉพาะวันที่ชนะ แต่ปีที่ผ่านมาพี่เขาใส่น้อยมาก เพราะช่วงหลังผลงานแมนยูไม่ค่อยดีด้วยล่ะ เจอกันก็จะบ่นกันไป” จิรเดชเล่าประสบการณ์ “มันก็เลยเป็นความสัมพันธ์แบบ ‘ซื้อโตเกียวคุยเรื่องบอล’” เขานิยามขึ้นเอง

ถัดจากสติ๊กเกอร์ จิรเดชบอกให้ลองสังเกต ‘ป้ายเมนู’ ที่เขียนว่า MANU แทนคำว่า Menu อยู่หน้ารถพ่วงด้วย “วันนั้นเราทักเขาว่า ‘โห นี่พี่เล่นคำกับป้ายเมนูว่าเป็นแมนยูด้วย’ แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรนะ ไม่รู้เขาตั้งใจเล่นคำไหม แต่มันตรงล็อกกับคำว่า ‘แมนยู’ พอดีเลย” 

เด็กผีอย่างจิรเดชมองว่า การมาขายโตเกียวในวันจันทร์ของพี่รุ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะฟุตบอลจะเตะเสาร์-อาทิตย์ ทำให้มวลอารมณ์ยังคงอยู่ และเหตุการณ์ที่ทำให้จิรเดชประทับใจกับความสัมพันธ์ ‘ซื้อโตเกียวคุยเรื่องบอล’ มากที่สุดคือวันที่การแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้ายในเกมเอฟเอคัพที่แมนยูสามารถเอาชนะลิเวอร์พูลได้ฉิวเฉียด 

“วันนั้นแมนยูเอาชนะลิเวอร์พูล 4-3 พอมาเจอกัน ประโยคแรกที่เขาบอกเราคือ “วันนี้วันของเรา” เขาแทบไม่ถามด้วยซ้ำว่าวันนี้เอาโตเกียวไส้อะไร” พวกเขาถ่ายรูปคู่กันโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย โดยมีภาพพี่รุ่งชู 4 นิ้วพร้อมถือเกรียงโตเกียวอยู่ด้วยเพื่อประกาศชัยชนะด้วยคะแนน 4-3

พ่อค้าโตเกียวบอกว่าสนุกทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับแฟนบอลคอเดียวกัน เป็นหนึ่งในปฏิสัมพันธ์ที่ทำให้การขายโตเกียวของเขามีชีวิตชีวา “ถ้าเขาใส่เสื้อบอล เราจะคุยเรื่องบอลกับเขา ถ้าเขาไม่ได้ใส่เสื้อบอล แต่วันนั้นเป็นวันที่แมนยูชนะ เราจะบอกว่า ‘สั่งเลยครับพี่ วันนี้มีรายการพิเศษนะ’ บางคนเชียร์ทีมอื่นก็ชอบมาแซวเหมือนกัน ช่วงนี้เด็กผีก็จะเศร้าๆ หน่อย แต่การได้คุยเรื่องบอลทำให้ขายสนุกขึ้น” 

ความฝันที่รอวันสร้างใหม่และอนาคตต่อไปของโตเกียวเคลื่อนที่

จุดเปลี่ยนใหญ่ในชีวิตของพี่รุ่งเกิดขึ้นจากการพบเจออาการป่วยโรคหลอดเลือดในสมองเมื่อ 6 ปีที่แล้ว

เมื่อเขาไปขายในพื้นที่เสียงดัง หรือเจอคนรุมรถพ่วงมากๆ เขาจะมีอาการปวดหัวขึ้นมาทันที หมอแนะนำให้เขาลดความเครียด พักผ่อนให้มาก ขณะที่ลูกสาวคนเดียวของพี่รุ่งก็ขอให้พ่อเลิกขายโตเกียวเพื่อดูแลสุขภาพ แม้ว่าคนเป็นพ่อจะยังพะวงกับค่าเล่าเรียนของลูกสาว และหนี้สินอื่นๆ ที่ยังเป็นภาระที่ต้องดูแล

“เอาจริงๆ พี่รุ่งก็เครียดนะ กังวลมาก หยุดพักไปหลายเดือน แต่ว่าพออยู่ห้องมากๆ พี่รุ่งเครียด การที่ออกมาขายมันทำให้เราปลอดโปร่ง ได้คุยกับลูกค้า สำหรับพี่รุ่งมันดีขึ้น เลยบอกลูกสาวว่า พ่อออกมาขายดีกว่า นี่อาจจะเป็นวิธีพักผ่อนของพ่อ” เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่รักในระยะยาว เขาจึงเลือกขายในพื้นที่ที่ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวมากนัก ไม่เจอสถานที่ที่ทำให้เครียด โดยพูดคุยกับลูกค้าได้เพียงสั้นๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับอาการป่วยมากเกินไป

“หลายปีเลยที่พี่รุ่งไม่ได้ไปขายให้เด็กแถวแฟลตดินแดง เพื่อรักษาอาการป่วย ย้ายมาขายตามออฟฟิศหรือที่ที่คนไม่เยอะมาก ขายให้ผู้ใหญ่มากขึ้น ถ้าขายเด็กก็จะเป็นเด็กโต” พ่อค้าโตเกียวเล่า อาการของเขาค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากเลือกจุดขายใหม่ 

แต่สิ่งที่ยังคงสร้างความกังวลให้เขาอยู่เสมอ คือพื้นที่การขาย เนื่องจากเขาเป็นรถพ่วง ทำให้บางครั้งจะกีดขวางทางจราจรอยู่บ้าง พี่รุ่งจึงต้องพยายามเจรจาพูดคุยกับเจ้าของที่เพื่อจอดขาย ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายการจัดการหาบเร่แผงลอยของเมืองก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตาและน่ากังวลสำหรับพี่รุ่งอยู่บ้าง

“ไม่รู้ว่าในมุมของเขาคิดยังไง แต่ถ้าเราสะท้อนได้ คงบอกว่านี่คืออาชีพที่เราพอทำได้ การยกระดับไปมีหน้าร้านใช้ต้นทุนหลายอย่างอีกอย่างคือ เราไม่มีรถขนของไปขาย เราก็คงอยากบอกว่านี่คือจุดที่เราลำบาก” พี่รุ่งแสดงความคิดเห็น

ในฐานะพ่อค้าโตเกียวที่ยืนระยะมากว่าสองทศวรรษ ความฝันที่เขาไล่ตามคือ การเก็บเงินเพื่อกลับบ้านซื้อที่ดินสร้างบ้านและทำสวน ใช้ชีวิตวัยเกษียณอยู่ที่สุโขทัย แต่มันก็เป็นได้เพียงสิ่งที่ ‘เคย’ ฝัน เมื่อวันหนึ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิม

“ทำไว้สำเร็จหมดแล้วนะ ซื้อที่ไว้แล้ว ขุดสระ แต่พี่รุ่งซื้อเป็นชื่อแฟน เพราะเราคิดว่าของพวกนี้เป็นของนอกกาย และสุดท้ายเราก็คิดว่ามันจะตกเป็นของลูก พอกลับไปอีกที กลายเป็นว่าแฟนเขามีคนใหม่ไปแล้ว” พี่รุ่งยกที่ดินทั้งหมดให้กับภรรยาเก่า และกลับมาขายโตเกียวดังเดิม 

“สิ่งที่เคยคิดว่าจะเป็นของลูกก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะเขาขายกินกันไปหมดแล้ว มีคนบอกเหมือนกันว่า พี่รุ่งโง่หรือเปล่าที่ยกให้เขา ใครจะคิดยังไงก็เรื่องของเขาเถอะ สำหรับพี่รุ่ง เราคิดถึงหัวอกคนเป็นลูก เขาจะคิดยังไงที่เห็นพ่อแม่ฟ้องกัน ทะเลาะกัน พี่รุ่งย้ายออกมาอยู่แบบนี้ดีกว่า” 

เหนือสิ่งอื่นใด การกลับมาใช้ชีวิตในเมือง ขับรถตระเวนขายโตเกียว พบเจอลูกค้าประจำและลูกค้าหน้าใหม่ และยังได้สนทนากับลูกค้า คือหนึ่งในสิ่งที่ช่วย ‘เยียวยา’ บาดแผลอันเจ็บช้ำของความฝันนี้ได้

“มาขายโตเกียว พี่รุ่งก็ได้เจอคน ได้เห็นคนหลากหลาย ทำให้รู้ว่าชีวิตมันก็แบบนี้แหละ แต่ละคนต่างก็ฝ่าฟันอะไรบางอย่าง มันก็เป็นอีกเรื่องที่เราเจอ คนอื่นๆ ก็เจอเรื่องไม่ต่างกัน เคยได้ฟังเรื่องของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ทุกข์ใจ เราก็รู้ว่านี่คือหัวอกของพ่อแม่ บางครั้งได้ฟังเรื่องลูกทุกข์ใจ เราก็รู้ว่านี่คือหัวอกลูก บางทีความฝันกับความจริงมันก็ไม่เหมือนกัน เราก็พยายามเข้าใจ สิ่งที่เราเจอก็คงเป็นเรื่องธรรมดา” พี่รุ่งพูด ขณะใส่ไส้โตเกียวให้กับลูกค้า 

“เราก็อยู่ของเราไป ทำงานของเราไป ก็ยังมีพี่รุ่งที่ขายโตเกียวมาได้นานขนาดนี้ เพราะพี่ชายก็กลับบ้าน น้องหรือหลานก็กลับกันหมดแล้ว เพราะว่าพูดตามความจริง อาชีพนี้มันทำให้เรามีกินมีใช้ก็จริง แต่มันไม่ทำให้เรารวย คนอื่นก็มองว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่า เช่น กลับบ้านไปปลูกยาง กรีดยางก็ได้เงินเป็นแสน

“แต่พี่รุ่งก็อยู่นี่แหละ ขายโตเกียวไป ฝันที่ยังอยากจะเก็บเงินก็ยังอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะทำได้ถึงขนาดนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่การได้เจอคน ได้พูดคุย มันก็ทำให้เราลืมเรื่องยากๆ ที่ผ่านมา พี่รุ่งแทบไม่หยุดขายเลยนะถ้าไม่จำเป็น เพราะมันช่วยได้เยอะเลยแหละ อยากขายไปเรื่อยๆ  พอเลี้ยงชีพไปได้ ได้อยู่กับลูก ได้ช่วยครอบครัวส่งเงินให้พ่อแม่บ้าง พยุงตัวเองไม่ให้เป็นหนี้ เหลือเก็บอีกหน่อยก็โอเคแล้ว ” 

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
สุดารัตน์ พรมสีใหม่