Humberger Menu

กัมพูชาเสนอชื่อทรัมป์ ชิงโนเบลสันติภาพ

การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาสงบลงชั่วคราวหลังจาก 2 รัฐบาลคู่ขัดแย้งยอมรับข้อตกลงหยุดยิงไปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 โดยสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าหลายประเทศได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาครั้งนี้ด้วย

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โทรศัพท์สายตรงคุยกับทั้งผู้นำรัฐบาลกัมพูชาและไทยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2025 เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยให้เกิดการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ก็รับเป็นเจ้าภาพจัดสถานที่ในเมืองปุตราจายา เพื่อให้ไทย-กัมพูชาพูดคุยเรื่องหยุดยิงในวันที่ 28 กรกฎาคม ในฐานะที่มาเลเซียดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนปีนี้ และมีผู้แทนรัฐบาลจีนเข้าร่วมสังเกตการณ์อีกแรงหนึ่ง 

แต่ท่าทีของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มีต่อ 3 ประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะดูเหมือนจะให้น้ำหนักแก่ผู้นำสหรัฐฯ มาก ถึงขั้นที่กัมพูชายื่นจดหมายถึงคณะกรรมการพิจารณามอบรางวัลโนเบลที่นอร์เวย์เพื่อเสนอชื่อประธานาธิบดีทรัมป์ในฐานะผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา

หนึ่งในเหตุผลที่นายกฯ กัมพูชาเสนอชื่อทรัมป์ชิงรางวัลสันติภาพที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ระบุว่า ทรัมป์เป็นผู้ดำเนินมาตรการทางการทูตอย่างมีวิสัยทัศน์ และมีบทบาทสำคัญในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ช่วย ‘ลดระดับความตึงเครียดในภูมิภาคที่กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรัมป์มีความเป็นรัฐบุรุษที่แสนพิเศษ (extraordinary statesmanship) 

แต่ท่าทีนี้ของผู้นำกัมพูชาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะรองนายกฯ กัมพูชาเคยให้ข้อมูลผ่านสื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2025 ว่ากัมพูชามีแผนจะเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลดังกล่าว ทั้งยังเป็นการแถลงซึ่งมาพร้อมกับคำขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยอมปรับลดภาษีของกัมพูชาจากเดิม 49 เปอร์เซ็นต์ที่เคยประกาศไว้เหลือเพียง 19 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

อย่างไรก็ดี กัมพูชาไม่ใช่ประเทศแรกและไม่ใช่ประเทศเดียวที่เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ก่อนหน้านี้มีรัฐบาลอีก 6 ประเทศที่เสนอชื่อทรัมป์ในฐานะผู้ส่งเสริมสันติภาพ 

อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทรัมป์และนักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า ทรัมป์อยากได้รางวัลนี้มากจนถึงขั้นหมกมุ่น พร้อมทั้งประเมินว่าการถูกเสนอชื่อไม่ได้หมายความว่าทรัมป์จะได้รับรางวัลเสมอไป 

บทบาท ‘ผู้ส่งเสริมสันติภาพ’ ของทรัมป์ เกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง

นอกเหนือจากกัมพูชาแล้วยังมีรัฐบาลอีก 6 ประเทศที่เสนอชื่อทรัมป์ชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่จะประกาศผลในปี 2026 ได้แก่ ปากีสถาน รวันดา กาบอง อิสราเอล อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจาน

ผู้มาก่อนกาลก็คือรัฐบาลปากีสถาน ซึ่ง Newsweek รายงานว่าเป็นผู้เสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงตำแหน่งโนเบลสันติภาพตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2025 โดยให้เหตุผลว่าทรัมป์มีบทบาทในการทูตเชิงรุกและกล้าที่จะแทรกแซงให้เกิดการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดีย 

ต่อมา Brietbart News สื่ออเมริกันขวาจัดซึ่งสนับสนุนทรัมป์และพรรครีพับลิกัน รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ โอลิเวียร์ ดูฮุนกิเรเฮ รัฐมนตรีต่างประเทศรวันดา ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่ารัฐบาลรวันดาจะเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพเพราะทรัมป์คือผู้มีบทบาทสำคัญซึ่งผลักดันให้เกิดการเจรจายุติความขัดแย้งระหว่างรวันดาและประเทศเพื่อนบ้านอย่างดีอาร์คองโกได้สำเร็จ 

ขณะเดียวกัน ไบรซ์ โอลิกวี กูเวมา ประธานาธิบดีกาบอง แสดงความเห็นผ่าน Brietbart News ว่า ทรัมป์เหมาะสมกับการเป็นผู้ท้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ เพราะการดำเนินนโยบายต่างประเทศในรัฐบาลทรัมป์สร้างความหวังว่าจะเกิดสันติภาพที่แท้จริงในภูมิภาคนี้ได้ 

จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2025 เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก็เปิดเผยต่อสื่อว่าเขาเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพที่จะประกาศผลในปี 2026 เช่นกัน เพราะรัฐบาลทรัมป์ช่วยผลักดันให้การเจรจาข้อตกลงหยุดยิง 60 วันระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาสในดินแดนฉนวนกาซาฝั่งปาเลสไตน์ ซึ่งรัฐบาลเนทันยาฮูยกย่องว่าเป็นการปูทางไปสู่สันติภาพในตะวันออกกลาง

ส่วนนายกฯ ฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา เปิดเผยเนื้อหาในจดหมายที่เขาเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมจากการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างกัมพูชาและไทย ตามด้วยการแถลงการณ์ร่วมกันระหว่าง นีกอล ปาชินยัน นายกรัฐมนตรีอาร์เมเนีย - อิลฮัม อาลิเยฟ ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน ในวันที่ 8 สิงหาคม โดยระบุว่ารัฐบาลทั้งสองชาติมีความเห็นตรงกันที่จะร่วมเสนอชื่อทรัมป์ชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ เพราะทรัมป์ช่วยกดดันจนเกิดการเจรจาไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน

ทว่าทรัมป์ไม่ได้เพิ่งเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพครั้งนี้ครั้งแรก เพราะช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ช่วงปี 2017-2021 มีการเสนอชื่อทรัมป์มาแล้ว 2 ครั้ง โดยปี 2018 คริสเตียน ไทบริง-เยดเด สมาชิกรัฐสภานอร์เวย์จากพรรคขวาจัด Progress Party เสนอชื่อทรัมป์ชิงโนเบลสันติภาพจากการเป็นตัวกลางจัดการเจรจาแผนสันติภาพและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ 

คริสเตียน ไทบริง-เยดเด 

ในปี 2020 ไทบริง-เยดเด แห่งพรรค Progress Party ยังคงเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลเดิมโดยระบุว่าเขามีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันให้รัฐบาลอิสราเอลเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง แต่ทรัมป์ไม่ได้รับรางวัลดังกล่าวแม้จะได้รับการเสนอชื่อมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา

‘การทูตเชิงสอพลอ’ หนทางชนะใจทรัมป์ผู้ก่อสงครามภาษีทั่วโลก?

ทอม นาร์กอสกี สื่อมวลชนและนักวิเคราะห์การเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานสถาบัน Asia Society แสดงความเห็นผ่านบทความในนิตยสาร TIME ของสหรัฐฯ ว่าการเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงตำแหน่งรางวัลโนเบลสันติภาพของบรรดาผู้นำรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกนั้นอาจเข้าข่าย ‘การทูตเชิงประจบสอพลอ’ หรือ Flattery Diplomacy

บทความของนาร์กอสกีพาดพิงถึงรัฐบาลปากีสถานชุดปัจจุบันที่มีปัญหาขาดเสถียรภาพและต้องการแรงสนับสนุนจากภายนอกในการต่อกรกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดีย การเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้รัฐบาลปากีสถานได้รับการหนุนหลังจากทรัมป์ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

ความเห็นของนาร์กอสกีใกล้เคียงกับสิ่งที่ จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก เปิดเผยผ่านสื่ออเมริกัน The Hill และ The New York Times ในวันที่ 8 สิงหาคม 2025 ที่ระบุว่าทรัมป์หมกมุ่นเรื่องรางวัลโนเบลสันติภาพ และเขาอยากได้รางวัลนี้มาครองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด 

โดนัลด์ ทรัมป์

โบลตันกล่าวว่าการเอาชนะใจทรัมป์จึงอาจทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เสนอชื่อเขาเข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ เหมือนกับที่รัฐบาลปากีสถาน อิสราเอล กัมพูชา อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจาน ได้ประกาศอย่างชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน TIME ได้รายงานความเห็นของนักรัฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองที่เป็นชาวกัมพูชาอีกหลายคน ซึ่งมีความเห็นคล้ายกันว่าการที่รัฐบาลกัมพูชาเสนอชื่อทรัมป์ชิงรางวัลโนเบลสันติภาพเป็นการทูตแบบยืดหยุ่นซึ่งลงทุนลงแรงน้อย แต่มีแนวโน้มว่าจะได้ผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะในช่วงที่กัมพูชาหวังผลด้านอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น การเจรจาต่อรองเรื่องภาษีกับรัฐบาลทรัมป์ และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ 

ในยุคที่ ฮุน เซน บิดาของ ฮุน มาเนต ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบผูกขาดอำนาจยาวนานกว่า 30 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ ไม่ราบรื่นนัก เพราะสหรัฐฯ เคยเป็นหนึ่งในประเทศทรงอิทธิพลต่างแดนที่เข้าไปแทรกแซงในยุคสงครามกลางเมืองกัมพูชาช่วงทศวรรษ 1960-1970 ซึ่งรวมถึงการส่งเครื่องบินของกองทัพอเมริกันไปทิ้งระเบิดโจมตีกองทัพเขมรแดง ส่งผลกระทบถึงประชาชนจำนวนมาก

ฮุน เซน

หลังสงครามกลางเมืองกัมพูชาสิ้นสุด รัฐบาล ฮุน เซน ครองอำนาจยาวนาน รัฐบาลสหรัฐฯ หลายสมัยจัดให้กัมพูชาเป็นประเทศที่มีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าขั้นร้ายแรง และขึ้นบัญชีดำผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองในกัมพูชาหลายราย กัมพูชาในยุค ฮุน เซน จึงหันไปพึ่งพิงอิงแอบกับจีนซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่การร่วมฝึกซ้อมรบระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯ ที่เคยดำเนินต่อเนื่องมานานหลายปีก็ยังเคยถูกระงับไปช่วงหนึ่งในช่วงที่ ฮุน เซน ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ

จนกระทั่งมีการส่งต่ออำนาจจาก ฮุน เซน ไปยัง ฮุน มาเนต ในปี 2023 ทิศทางของนโยบายต่างประเทศกัมพูชาเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยนักวิเคราะห์บางคนมองว่า ฮุน มาเนต เป็นผู้ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก จึงมองภาพรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเป็นมิตรมากกว่า ฮุน เซน ผู้เป็นบิดา 

ที่สำคัญ การที่ ฮุน มาเนต หันมารื้อฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลทรัมป์ประกาศสงคราม (ขึ้น) ภาษีไปทั่วโลกกลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะการปรับเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ทางการทูตแบบเอาอกเอาใจมหาอำนาจอาจเป็นทางรอดสำหรับประเทศขนาดเล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ และเชื่อว่าหลังจากนี้กัมพูชาจะพยายามใช้นโยบายแบบไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือผูกมิตรกับพหุอำนาจเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นถ่วงดุลกันเองมากขึ้น

เมื่อ ‘รางวัลสันติภาพ’ เป็นหนึ่งในชนวนความขัดแย้งเสียเอง

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 คน และรองประธานาธิบดี 2 คนเคยได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพมาก่อน แต่ผู้ที่ได้รับรางวัลเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นผู้รับรางวัลที่ค้านสายตาชาวโลก

ธีโอดอร์ รูสเวลต์

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 26 เป็นผู้นำชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 1906 จากบทบาทการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้เกิดการเจรจาหยุดยิงในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น แต่กลุ่มการเมืองอเมริกันที่มีแนวคิดฝ่ายซ้ายวิจารณ์ว่าการมอบรางวัลสันติภาพให้รูสเวลต์อาจทำให้ผู้ก่อตั้งรางวัลนี้นอนตายตาไม่หลับเพราะรูสเวลต์เป็นคนที่สนับสนุนแนวคิดอำนาจนิยมและส่งเสริมการยึดครองฟิลิปปินส์ ซึ่งย้อนแย้งกับแนวคิดเรื่องสันติภาพอย่างมาก

วูดโรว์ วิลสัน

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 28 ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพในปี 1919 จากการเป็นผู้ผลักดันให้ก่อตั้งสันนิบาตชาติ (The League of Nations) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพโลกหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่การมอบรางวัลให้กับวิลสันถูกคณะกรรมการพิจารณามอบรางวัลโนเบลที่เป็นเสียงส่วนน้อยคัดค้านเสียเอง ด้วยเหตุผลว่าวิลสันมีส่วนร่วมก่อตั้งสันนิบาตชาติ แต่สหรัฐฯ ไม่ยอมเข้าร่วมเป็นภาคี ทำให้บทบาทของสันนิบาตชาติไม่เข้มแข็งอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งยังสะท้อนความไม่จริงใจของสหรัฐฯ อีกด้วย

จิมมี คาร์เตอร์

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 39 ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพในปี 2002 จากการรณรงค์ส่งเสริมแนวคิดเรื่องสันติภาพโลกและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นการปฏิบัติภารกิจหลังจากที่เขาพ้นวาระประธานาธิบดีไปนานหลายปี ทั้งยังเคยถูกเสนอชื่อถึง 5 ครั้งจึงจะได้รับรางวัลในที่สุด แต่การทำงานสันติภาพของคาร์เตอร์กลับกลายเป็นความด่างพร้อยเพราะในปีที่ได้รับรางวัลเขาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 43 ส่งทหารไปบุกอิรักเพื่อทำสงครามต่อต้านก่อการร้าย ทั้งยังเป็นสงครามที่ประชาชนอเมริกันจำนวนหนึ่งลงความเห็นว่าเป็นความสูญเปล่าหลังจากที่สงครามสิ้นสุดไปนานนับสิบปี

บารัก โอบามา

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 44 ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพในปี 2009 ซึ่งแม้แต่โอบามาเองก็ยังแสดงความแปลกใจในระหว่างปราศรัยรับรางวัล เพราะขณะนั้นเขาเพิ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้เพียง 9 เดือน ยังไม่มีผลงานด้านสันติภาพที่เป็นรูปธรรม การมอบรางวัลให้โอบามาจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งฝั่งพรรครัฐบาลเดโมแครตเองและพรรครีพับลิกันที่เป็นฝ่ายค้านในยุคนั้น แต่คณะกรรมการพิจารณามอบรางวัลโนเบลชี้แจงว่าโอบามาสมควรได้รับรางวัลแล้ว เพราะเขาเป็นหัวหอกในโครงการกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก ทั้งยังอาศัยอำนาจในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดประกาศว่าจะหาทางยุติสงครามในอัฟกานิสถานและสงครามอิรักโดยเร็วที่สุด

นอกเหนือจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้วยังมีรองประธานาธิบดีอีก 2 คนที่เคยได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ โดยคนแรก คือ ชาร์ลส์ ดอว์ส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ร่างแผนฟื้นฟูเสถียรภาพยุโรปยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้รับรางวัลนี้ในปี 1925

คนที่ 2 คือรองประธานาธิบดี อัล กอร์ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพในปี 2007 จากการรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและภาวะโลกร้อน โดยเขาได้รับรางวัลนี้ร่วมกับคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (The Intergovernmental Panel on Climate Change)

อัลเฟรด โนเบล

อย่างไรก็ดี รางวัลโนเบลที่ได้รับการยกย่องว่าน่าเชื่อถือและเก่าแก่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แม้กระทั่ง อัลเฟรด โนเบล ผู้ก่อตั้งรางวัลนี้ในปี 1901 ก็มีประวัติความเป็นมาซับซ้อน เนื่องจากเขาคือผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นอาวุธสงครามทำลายล้างชีวิตผู้คนจำนวนมาก การมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจึงดูเป็นเรื่องย้อนแย้ง เพราะครั้งหนึ่ง อัลเฟรด โนเบล เคยถูกสื่อตะวันตกตั้งฉายาว่าเป็น ‘พ่อค้าแห่งความตาย’ (Merchant of Death)

แม้คณะกรรมการพิจารณามอบรางวัลโนเบลและบรรดาผู้เกี่ยวข้องจะพยายามยืนยันมาตลอดว่าผลตัดสินมีความโปร่งใสและถูกตรวจสอบอย่างละเอียดรอบด้าน แต่การมอบรางวัลโนเบลในช่วงกว่าร้อยปีที่ผ่านมายังถูกวิจารณ์ว่าโดนครอบงำและชี้นำจากผู้มีอำนาจในประเทศตะวันตก ทั้งยังเต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมืองระหว่างประเทศ 

นอกจากนี้ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลสันติภาพหลายรายก็มีประวัติความเป็นมาที่ค้านสายตา แม้กระทั่งเผด็จการอย่าง เบนิโต มุสโสลินี และผู้นำกองทัพนาซีเยอรมันอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็เคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโนเบลสันติภาพมาก่อน 

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

แต่นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยยังมองว่าการพิจารณามอบรางวัลโนเบลมีความน่าเชื่อถือมากกว่าอีกหลายรางวัลที่ถูกก่อตั้งในยุคหลังๆ และผู้ได้รับการเสนอชื่อก็ไม่ได้หมายความจะได้รับรางวัลเสมอไป แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ก็ตาม

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ