Humberger Menu

ชีวิตจริงของครอบครัวผู้สูญหาย ‘ความจริง’ ที่ยังถูกพันธนาการ ท่ามกลางหมอกควันของการ ‘ถูกลืม’

_____________________________

เรื่อง: ศศิพร คุ้มเมือง

ภาพ: จิตติมา หลักบุญ


- 1 -

ยังคงประทับจิต


21 ปีก่อน

โทรศัพท์ดังขึ้น… แต่คนปลายสายนั้นผิดสัญญา เธอจึงเลือกที่จะไม่รับ

พันธะสัญญาระหว่างเธอและเขาไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่ตกลงกันว่าหากมีเรื่องอะไรที่ขุ่นหมอง เขาจะกลับมาคุยกัน คุยกันที่บ้าน คุยกันแบบปรากฏกายหยาบที่บรรจุเลือดเนื้อ

ฉะนั้นมันจะผิดหรือ ถ้าเลือกไม่รับโทรศัพท์ แล้วรอเขา ‘กลับมา’

ทว่า เขาไม่กลับมา ในแบบที่เธอเองก็คิดว่าตัวเขาเองไม่ได้ยินดีที่จะไม่กลับ เย็นวันนั้นเพื่อนของเขาวิ่งเข้ามาบอกข่าวคนในบ้านว่า เขาหายไป หรือกล่าวให้ชัดเจนไปกว่านั้นคือ เขา ‘ถูกทำให้หายไป’

เธอรีบวิ่งไปคว้าโทรศัพท์เครื่องเดิม ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอเลือกที่จะปฏิเสธมัน 

“แบ๋นลูก ทำไมไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยล่ะ กินข้าวหรือยัง คิดถึงมาก” ระบบฝากข้อความบันทึกสิ่งนี้เอาไว้ ความรู้สึกยากที่จะอธิบายประเดประดังโถมเข้าใส่

“ถ้าแบ๋นรับโทรศัพท์ บางทีมันอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้” เธอกล่าว และกลายเป็นความสงสัยที่พันธนาการเธอนับจากนั้น พร้อมกับแบกถือก้อนความรู้สึกผิด ที่เธอเองก็รู้เต็มอกว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย


ประทับจิต นีละไพจิตร เล่าเรื่องราวของพ่อให้ฟังอีกครั้ง เหมือนที่เธอเคยเล่ามาตลอด 21 ปีที่ผ่านมา เธอคือลูกสาวคนที่ 2 ของ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่หายตัวไปหลังจากทำคดีปกป้องสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ โดยเฉพาะการคัดค้านการใช้กฎอัยการศึกและการสอบสวนผู้ต้องหาคดีปล้นปืนที่ไม่เป็นธรรม

สมชาย นีละไพจิตร

นับตั้งแต่สมชายถูกทำให้หายไป ประทับจิตบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขอีกต่อไป ในวันที่เรียนจบ เธอบอกกับที่บ้านว่าจะไม่รับปริญญา ไม่ถ่ายรูป ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เธอจะไม่ให้มีอีเวนต์หรือโมเมนต์ดีๆ ในชีวิตอีกแล้ว

“แบ๋นเพิ่งมารู้จากการอ่านงานวิจัยในต่างประเทศว่า การกระทำของเราคือการพยายามจะตรอมใจตายไปกับคนที่เขาหายไป”

จากงานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นที่เธอได้อ่าน ผู้หญิงบางคนตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังจากสามีหรือผู้เป็นพ่อถูกทำให้หายไป ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสลดหดหู่อย่างมาก และเธอใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการบอกตัวเองให้มีเหตุการณ์ดีๆ ในชีวิตบ้าง

“ณ เวลานี้อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขแล้วใช่ไหม” ฉันถามขึ้น

“มีได้ แต่จะเตือนตัวเองเสมอว่ายังไงเราก็จะต้องไม่มีความสุขไปจนถึงที่สุด” น้ำเสียงของเธอเคล้าไปด้วยความอาวรณ์ 

ประทับจิตยอมรับว่าในแต่ละปีความกดดันยังหวนกลับมาเสมอ โดยเฉพาะเมื่อ 12 มีนาคม วันที่ได้ทราบข่าวว่าพ่อถูกอุ้มหายไปเวียนกลับมาอีกครั้ง เธอย้ำกับตัวเองว่าจะต้องคิดให้หนัก เพื่อทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของทนายสมชายต่อไป

“เขาเป็น wisdom ของเรา เขาคือกำลังใจของเรา คือคนที่แนะนำให้เราอ่านหนังสือ เขาคือเพื่อนคู่คิดของเรา มันทำให้รู้สึกผิดว่าในขณะที่เขาเป็นทุกอย่างให้แบบนี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พ่อเลย ฉันลืมเขาแล้วเหรอ คนในสังคมลืมเขาไม่เป็นไร แต่ฉันคือลูกนะ ลืมแล้วหรอ”

...

..

.

บทสนทนาหยุดลงชั่วขณะ ความเงียบปกคลุมระหว่างเรา มีเพียงเสียงสะอื้นที่ค่อยๆ ดังแทนที่ เธอก้มหน้าลง ปล่อยให้หยดน้ำตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสาย ไหลลงมาช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน เพื่อแสดงความรู้สึกผิดที่ผสมปนเปอยู่กับความคิดถึง ห่วงหา และความกังวลว่าจะปล่อยให้สังคมลืมเลือนเขาไป

ประทับจิตเติบโตขึ้นโดยมีเรื่องราวความคลุมเครือของพ่อเป็นตัวนำทางชีวิต นำพาเธอย่างกรายเข้าสู่สายงานด้านสิทธิมนุษยชน จนนิยามได้ว่าเป็น ‘นักปกป้องสิทธิมนุษยชน’ มีการทวงถามความจริงการบังคับสูญหายทนายสมชาย รวมถึงกรณีอื่นๆ เป็นพันธกิจผูกติดเอาไว้ เป้าหมายเพื่อสามารถคลายพันธนาการได้ในวันใดวันหนึ่ง

สิ่งที่เธอต้องการไม่มากไปกว่าการยืนยันว่า พ่อของเธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เคยเป็นสมาชิกของสังคมนี้ และไม่ควรถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของส่วนรวม

แต่การเป็นครอบครัวผู้สูญหายในสังคมไทยไม่ได้มีเพียงบาดแผลจากการถูกพลัดพราก หรือจากการต้องใช้ชีวิตอยู่กับความคลุมเครือเพียงเท่านั้น หากยังมีความรู้สึกถูกแยกออก ถูกกีดกันออกจากความเป็นปกติของสังคม

ใครหลายคนหล่นหายไปจากชีวิต เพราะทนายสมชายไม่เคยพ้นจากข้อครหา ‘ทนายโจร’ อันมีที่มาจากการไปว่าความให้กับผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ซึ่งพัวพันอยู่กับเรื่องความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ และเกี่ยวข้องกับการหายไปของทนายสมชายในเวลาต่อมา

ฉลากโจรบนตัวสมชายที่ถูกแปะป้ายโดยที่เขาไม่เคยยินยอม ส่งต่อมาถึงครอบครัวเช่นกัน ครอบครัวนีละไพจิตร ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนโจร และสายตาเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน แม้ในวันที่ ‘ดูเหมือน’ ว่าสังคมจะสนใจสิทธิของผู้ถูกบังคับสูญหายมากขึ้นแล้วก็ตาม

“ทุกคนเหมือนจะเข้าใจว่าคนที่หายไป เป็นคนที่ทำอะไรบางอย่างที่มีปัญหากับความมั่นคงของรัฐ เพราะฉะนั้นทั้งครอบครัวเลยถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี ต่อให้เราพยายามจะสื่อสารในทางที่ดี เรายิ้ม เราชื่นชมการทำงานของรัฐแค่ไหน เราก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่ดี” ประทับจิตว่า

ความยากไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้น ประทับจิตเล่าให้ฟังต่อว่า ใน ‘ความเป็นหญิง’ ยังต้องสบตากับอคติต่อบทบาททางเพศที่สังคมมอบให้ โดยที่บางครั้งผู้มอบ หรือกระทั่งผู้ที่มองดูอยู่ห่างๆ ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เธอและแม่เจอคือเรื่องที่มีรากมาจากอคติทางเพศเสียด้วยซ้ำ 

“ญาติหรือว่าครอบครัวผู้สูญหาย มักเผชิญกับสิ่งที่คล้ายกัน หนึ่งในนั้นคือมุมมองที่ว่าเราเป็นศัตรู” เธอเริ่มต้น ก่อนจะขยายความต่อว่า สำหรับผู้หญิงมักถูกตีตราในแง่ลบเมื่อออกมาเรียกร้อง

“ผู้หญิงเราจะถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ก้าวร้าว เป็นนักโวยท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิงแต่ปากแจ๋ว ทำให้เราไม่สามารถจะแปรเปลี่ยนตัวเองจากคนที่เป็นเหยื่อ มาเป็นคนที่ทำงานปกป้องสิทธิได้โดยง่าย”

เธอยกตัวอย่างถึง สิตานันท์ สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งถูกบังคับสูญหายที่กัมพูชา หรือ กัญญา ธีรวุฒิ แม่ของ สยาม ธีรวุฒิ ผู้ถูกหมายจับมาตรา 112 และได้ลี้ภัยทางการเมือง จากนั้นมีข่าวถูกจับกุมในประเทศเวียดนามและส่งกลับไทยในปี 2562 แต่ไม่มีใครทราบว่าหน่วยงานใดเป็นผู้จับกุม และทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบชะตาของเขา

ประทับจิตตั้งคำถามต่อว่า หากทั้ง 2 คน อยากจะผันตัวมาทำงานเป็นนักปกป้องสิทธิ เป็นนักกิจกรรม สังคมจะมองอย่างไร จะมองว่าแปลกหรือไม่ ที่อยู่ๆ ผู้สูญเสียลุกขึ้นมาเป็นนักกิจกรรม จะลดทอนเขาว่าเป็นเพียงนักโวยหรือไม่ 

ที่กล่าวถึงเช่นนี้ เพราะครอบครัวของเธอมีประสบการณ์ตรง แม้ว่าเธอที่อยู่ในสถานะผู้เป็นลูกจะโดนน้อยกว่า แต่ผู้เป็นแม่อย่าง อังคณา นีละไพจิตร ยังถูกตั้งคำถามจนถึงทุกวันนี้ ว่าการออกมาพูดและเรียกร้องของเธอคือความต้องการหา ‘สามี’ คนใหม่ 

เรื่องนี้เป็นเรื่องมุมมองที่มีต่อผู้ที่พบเจอกับความรุนแรงโดยรัฐ เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องถูกชำระให้ได้ในวันหนึ่ง

ประทับจิตเชื่อว่า สิ่งนี้เกิดจาก ‘วัฒนธรรม’ ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่กดทับเหยื่อจากเหตุการณ์ถูกบังคับสูญหาย และเธอยินดีที่จะใช้ทั้งชีวิตทลายมันลง พร้อมๆ กับแนะนำให้ทุกคนรู้จักพ่อของเธอ และเพื่อไม่ให้การถูกบังคับสูญหายถูกลืมเลือนไปในที่สุด

ในสังคมมุสลิมเองก็มีข้อจำกัดที่ยากจะพูดถึง “คุณสมชายเคยทำงานช่วยเหลือชุมชนมุสลิมไว้มาก แต่วันที่เขาถูกอุ้มหาย ผู้นำศาสนากลับถอยห่าง กลัวจะถูกมองว่าขัดต่อความมั่นคงของรัฐ”

คำว่า isolate หรือการถูกแยกออก จึงเป็นคำที่เธอเลือกใช้เสมอ มันคือความรู้สึกของการถูกปล่อยทิ้งไว้คนเดียว ในวันที่เธอและครอบครัวลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง ก็ถูกมองว่าแปลกแยก เพราะโดยความเชื่อแล้วเธอควรจะถูกคุ้มครอง ควรอยู่ใต้การปกครองของผู้ชาย แต่ทำอย่างไรได้ หลังจากเกิดเรื่อง แม้ว่าไม่เคยถูกโจมตีตรงๆ แต่ก็ไม่เคยได้รับการปกป้องเช่นกัน

เธอยังชี้ให้เห็นมิติที่ซับซ้อนว่า ความเป็น ‘เมีย’ หรือ ‘แม่’ มักถูกใช้เป็นกรอบควบคุม มากกว่าความเป็น ‘ลูกสาว’

“เวลาผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้อง มักถูกตอกกลับว่า ก็เพราะไม่มีผู้ชายมาปกป้อง เธอจึงดิ้นรนเอาเอง ถูกด่าด้วยเรื่องของสามี ทั้งที่สังคมไทยก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่ผู้หญิงก็ยังถูกตรึงด้วยสถานะที่ทำให้ไม่อาจเป็นปัจเจกเต็มตัวได้”

สำหรับเธอ นี่ไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้จดจำผู้ที่หายไป แต่ยังเป็นการต่อสู้กับโครงสร้างวัฒนธรรมที่พยายามกักขังผู้หญิงให้อยู่ในฐานะ ‘เหยื่อ’ ไปตลอดกาล

“ในทางทฤษฎี เวลามีความรุนแรงเกิดขึ้น วิธีแก้คือการเพิ่มพลังให้เหยื่อมีอำนาจเท่าเทียมกับคนอื่น แต่สิ่งที่สังคมไทยทำกลับตรงกันข้าม คือพยายามกดให้เหยื่ออยู่ตรงนั้น อย่าออกมาเปลี่ยนแปลงอะไร” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่านี่คือความท้าทายที่ผู้สูญเสียที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากต้องเผชิญ

“เขาใช้ความเป็นผู้หญิงกดเราไว้ ให้เราพันธนาการตัวเองไว้แค่นี้แหละ เราจะเป็นใครไม่ได้เลย”

- 2 -

ลูกชายคนเล็ก


“สุดท้ายพ่อผมก็ได้กลับบ้านนะ ว่ายน้ำกลับมาเอง ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ตามประกบเยอะๆ เหมือนตอนดาราว่ายน้ำข้ามโขงด้วย เอากระสอบคลุมหัวอีกต่างหาก โคตรเก่ง แต่อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าหน่อย”

เสียงเย้าหยอกของชายอายุจวนเจียนจะ 30 ปี กำลังบอกเล่าถึงคนเป็นพ่อ เขามักกล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความตลกร้าย ซุกซ่อนความ ‘คิดถึง’ และความ ‘โกรธ’ ไว้ภายใต้สุ้มเสียงของเรื่องเล่า

ในเรื่องราวของผู้ถูกบังคับสูญหาย การทราบ ‘ชะตากรรมสุดท้าย’ เหมือนกับจะคลายพันธนาการที่รัดแน่นได้บ้าง แต่บางครั้งก็ยังถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยคำถามที่ว่า ‘แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ เขาเป็นอย่างไร?’

ป้องภูมิ บุปผาวัลย์ เป็นลูกชายคนเล็กของ ชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือ ‘สหายภูชนะ’ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองออกจากประเทศหลังเกิดการรัฐประหาร 2557 ไปอยู่ที่ประเทศลาว 

ช่วงประมาณกลางเดือนธันวาคม 2561 ชัชชาญหายตัวไปพร้อมกับ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ ‘สุรชัย แซ่ด่าน’ และ ไกรเดช ลือเลิศ หรือ ‘สหายกาสะลอง’ หลังจากนั้นไม่นานก็พบร่างของชัชชาญและไกรเดช เป็นศพลอยมาเกยฝั่งแม่น้ำโขง ด้วยสภาพที่นิยามได้ว่าพวกเขาถูกกระทำอย่าง ‘โหดเหี้ยม’


ป้องภูมิเล่าว่า เส้นทางการลี้ภัยของพ่อเริ่มจากการหนีไปอยู่ลาวอย่างผิดกฎหมาย ก่อนจะถูกจับ แต่สุดท้ายก็ได้รับการประกันตัว จนกลายเป็นผู้ลี้ภัยที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย 

“ตอนนั้นแม่กับพี่ชายก็ช่วยกันเดินเรื่อง พอออกมาได้ ครอบครัวเราก็ติดต่อกันตลอดนะ จะห่างบ้าง แต่ไม่เคยขาดเลย คุยกันผ่านไลน์ตลอด”

เขาเล่าต่อว่า ครอบครัวรับรู้มาตลอดว่าพ่อทำกิจกรรมทางการเมือง และตัวของชัชชาญเองก็รู้ดีว่าตัวเองถอยหลังไม่ได้แล้ว เขาเลยเลือกที่จะแยกตัวออกไป เพราะไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อน

ลูกชายคนเล็กกล่าวต่อว่า ได้เจอพ่อครั้งสุดท้ายแบบเป็นๆ ช่วงเดือนเมษายน 2561 นัดหมายทัวร์ประเทศลาวโดยมีพ่อเป็นไกด์นำทางให้ จนกระทั่งปลายปีเดียวกันเขานัดหมายกันเช่นเดิม แต่ไกด์คนเดิมกลับเบี้ยวนัด ไม่มาพบ ป้องภูมิ พี่ชาย แม่ และหลานสาว จึงต้องจำใจกลับบ้าน ทั้งที่ในใจลึกๆ รู้สึกไม่สบายใจสักนิด 

หลังจากนั้นไม่กี่วันข่าวร้ายก็มาถึง ศพลอยแม่น้ำโขงที่ถูกระบุว่าเป็นพ่อของเขา ป้องภูมิยอมรับว่าไม่เชื่อในตอนแรก “เราหลอกตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลย บอกตัวเองว่าถ้าเมืองไทยจะถึงขั้นอำพรางศพได้ อันนี้ก็คงไม่ใช่พ่อกูหรอก” การโกหกตัวเองแบบนั้นทำให้หายใจง่ายกว่าการยอมรับตรงๆ ว่าพ่อไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว

กระทั่งวันต้องไปรับศพเพื่อทำพิธี เขายังเชื่อเหลือเกินว่านั่นจะไม่ใช่พ่อของเขาจริงๆ 

“แม่กับพี่ชายเข้าไปดูศพที่เขาเปิดหน้าให้ดู เหลือผมคนเดียว สุดท้ายเลยบอกว่า ‘ขอสักครั้ง’ แต่ก็หวั่นชิบหายเลยนะ สุดท้ายเขาเปิดมาแค่แว้บเดียวที่หน้าผาก แค่นั้นเราก็จำได้แล้ว รีบวิ่งออกมาเลย ไม่ไหว”

สำหรับเขา ความตายของพ่อไม่เคยจบลงแม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 6 ปี มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวตลอด เขาใช้คำว่า ‘หลอกหลอน’ เลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าพ่อมาเป็นผีสาง ร่างวิญญาณ แต่คือเขาไม่อาจยอมรับได้จริงๆ ว่าเขาสูญเสียพ่อไปอย่างโหดร้ายเช่นนี้

ช่วงปีแรกๆ ครอบครัวเผชิญการคุกคามอย่างหนัก พี่ชายของป้องภูมิโดนดักฟัง โดนตาม โทรศัพท์ก็มีสายแปลกๆ เข้ามาถามว่าคดีไปถึงไหนแล้ว “ทั้งที่มันควรเป็นหน้าที่ตำรวจหรือเปล่า แต่ดันมาถามญาติผู้ตายแทนเนี่ยนะ งงกับพวกท่านเหมือนกัน”

ครั้งหนึ่งพี่ชายเขาต้องไปให้ข้อมูลต่อหน้าตำรวจ “ตำรวจเต็มห้องเลยนะ ล้อมรอบเป็นร้อย แล้วดันถามตรงๆ ว่าติดใจการทำงานตำรวจไหม คำถามแบบนี้จะมีใครกล้าตอบตรงๆ ว่าติดใจ ก็ต้องตอบไปว่า ‘ไม่ติดใจครับ’ เพื่อเอาตัวรอดก่อน ไม่งั้นไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว”

นอกจากความกลัว ป้องภูมิยังเล่าว่าครอบครัวมีเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้หัวเราะได้ท่ามกลางความสูญเสีย หลังจากพ่อเสียไป บ้านเขาถูกหวยติดกันหลายงวด เลขเดิมวนอยู่แค่ 56–65 ซึ่งเป็นอายุของพ่อ เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขารู้สึกคล้ายกับว่าพ่อยังไม่จากไปไหนไกลนัก และยังคง ‘ใจดี’ อยู่บ้าง ที่ยังทิ้งร่องรอยเล็กๆ ให้เก็บเกี่ยวในยามที่ชอกช้ำ

“พ่อเรานี่ใช้ได้เหมือนกันนะ ตายแล้วก็ยังเจ๋งอยู่” ป้องภูมิว่าพลางหัวเราะ

ครั้งหนึ่ง ป้องภูมิเคยโพสต์ถึงพ่อในช่วงที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย ระบุว่า ‘พ่อกูก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน แต่กลับมาในสภาพเป็นศพ’ เขาเขียนไว้ ทว่าโพสต์นั้นกลับถูกคนบางกลุ่มเข้ามาต่อว่า ว่าทำไมต้องเปรียบเทียบกันเช่นนั้น กล่าวไปอีกว่าเขาต้องการให้อดีตนายกฯ ทักษิณ กลับมาเป็นศพอย่างพ่อเขาอย่างนั้นหรือ? 

ป้องภูมิเล่าด้วยความหงุดหงิดว่า คนเหล่านั้นไม่เข้าใจเลยว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความอิจฉา หากแต่อยู่ที่ความจริงง่ายๆ ว่า พ่อของเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่สมควรได้กลับบ้านทั้งที่ยังมีลมหายใจเช่นกัน

เขาหยอกต่อในน้ำเสียงตลกร้าย ว่าท้ายที่สุดพ่อก็ได้กลับจริงๆ เพียงแต่เป็นการกลับมาในสภาพที่ไร้ลมหายใจ “สุดท้ายพ่อผมก็ได้กลับบ้านนะ ว่ายน้ำกลับมาเอง ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ตามประกบเยอะๆ เหมือนตอนดาราว่ายน้ำข้ามโขงด้วย เอากระสอบคลุมหัวอีกต่างหาก โคตรเก่ง แต่อาจจะใช้เวลาหลายวันกว่าหน่อย”

ทว่าภายใต้เสียงหัวเราะแห้งๆ ความจริงที่หนักหน่วงกว่าคือ ภาพในหัวของลูกชายที่จินตนาการไม่รู้จบว่าพ่อถูกปลิดชีพอย่างไร ต้องเจ็บปวดทรมานแค่ไหน ภาพเหล่านั้นกัดกินใจจนเขาเสียศูนย์อยู่พักใหญ่ กว่าจะพอหาคำอธิบายมาปลอบใจตัวเองได้ก็เมื่อพี่ชายเล่าให้ฟังถึงความฝัน ที่พ่อมาบอกว่า ‘เขาไปอย่างสงบ ไม่ได้เจ็บปวด’ จึงพยายามทำใจเชื่อว่าพ่อจากไปอย่างไร้ความทรมาน มากกว่าจะถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมแบบที่ใจเคยคิด และตาเห็น

“แต่สุดท้ายก็ไม่มีความจริงไหนที่เชื่อได้อยู่ดี” เขาว่าอย่างนั้น “ทั้งหมดคือการคาดเดา เพราะเรายังไม่รู้ และอาจไม่มีวันได้รู้”

“ความจริงเดียวที่เรารับรู้คือพ่อเราและสหายกาสะลองถูกฆ่าตาย ศพลอยมาติดริมน้ำโขงพร้อมๆ กัน และยังไม่ได้รับความยุติธรรม นั่นคือความจริงที่เราเห็น”

เมื่อถูกถามถึงการเยียวยา ป้องภูมิไม่ได้ปฏิเสธว่า เงินก็เป็นสิ่งที่คนในครอบครัวหวัง เพราะใครๆ ก็หวัง 

“เรื่องเยียวยาเราก็อยากให้รัฐเยียวยา พูดกันตามตรงถ้าคนจะมาบอกว่าลูกสหายภูชนะแม่งหวังแต่เงิน งั้นขอถามกลับไปว่า แล้วคิดว่าจะหวังให้พ่อผมกลับมาได้ไหม ผมก็หวังไม่ได้แล้ว ถูกไหม”

แต่เขาย้ำชัดว่าเงินก้อนนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เขารู้สึกว่ารัฐมีเมตตา หากแต่ตรงกันข้าม มันยิ่งตอกย้ำว่ารัฐคือผู้กระทำ

“ถ้ามีเงินเยียวยา ผมจะตีความว่าเป็นเงินที่พ่อให้ ไม่ใช่รัฐให้ เพราะถ้าคิดว่ารัฐเป็นคนให้ ก็เท่ากับเรายอมรับว่ารัฐฆ่าใครก็ได้ แล้วเอาเงินมาล้างความผิด นั่นยิ่งน่าขนลุกกว่า”

- 3 -

อนุวัติการ

ก่อนหน้าที่จะมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ญาติหรือครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหายในประเทศไทย ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ผู้เสียหาย’ ตามหลักสากลอย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้ประเทศไทยจะร่วมลงนามใน อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญ (CED) ตั้งแต่ 9 มกราคม 2555 แต่ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีผลในการบังคับใช้ภายในประเทศ เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐว่าจะส่งเสริม ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และแก้ไขปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย 

ซึ่งท้ายที่สุดแล้วประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าว โดยการยื่นสัตยาบันสาร เมื่อ 14 พฤษภาคม 2567 ทำให้อนุสัญญามีผลใช้บังคับกับประเทศไทยในวันที่ 13 มิถุนายน 2567 (30 วันหลังยื่นสัตยาบันสาร)

อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ เรียกได้ว่าเป็น ‘กฎหมายอนุวัติการ’ คือกฎหมายที่นำเอาพันธกรณีระหว่างประเทศ มาปฏิบัติบังคับใช้ในประเทศ โดยผ่านกฎหมายอนุวัติการ ซึ่งในที่นี้คือการนำเอาอนุสัญญา CED มาบังคับใช้ผ่าน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ 

CED เป็นกฎหมายสิทธิมนุษยชน ดังนั้นการนิยามคำว่า ‘ผู้เสียหาย’ จึงไม่ได้มีความหมายในเชิงกฎหมายอาญาเท่านั้น แต่เป็นการให้นิยามโดยคำนึงถึงในเชิงสิทธิมนุษยชน 

สมชาย หอมลออ ทนายความสิทธิมนุษยชน ที่ปรึกษาอาวุโส มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายนั้นหมายถึงตัวผู้ถูกอุ้มหายเอง และยังหมายถึงครอบครัวของผู้ถูกอุ้มหายด้วย เพราะกฎหมายนั้นถือว่าครอบครัวถูกละเมิด ได้รับความเดือดร้อนจากการที่บุคคลในครอบครัวถูกอุ้มหายไป

นอกจากนี้หากจะตีความให้กว้างขึ้นไปอีก สมชายกล่าวว่าอาจจะหมายรวมถึงชุมชนด้วย ยกตัวอย่าง ในชุมชนมุสลิมที่ผู้นำก็ถูกอุ้มหายไป ถือว่าชุมชนได้รับความกระทบกระเทือน มีความหวาดกลัวในเรื่องความปลอดภัยของสมาชิกในชุมชน ว่าจะถูกปราบปราม เข่นฆ่า หรืออุ้มหายไปอีกหรือไม่

ในมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ระบุไว้ว่า 

“‘ผู้เสียหาย’ หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ จากการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้ บุคคลสูญหาย และให้หมายความรวมถึงสามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยา ซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้อุปการะและผู้อยู่ในอุปการะของผู้ถูกกระทำให้สูญหาย”

ดังนั้น ญาติหรือครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหายได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ผู้เสียหาย’ ตามหลักสากลภายใต้กฎหมายอนุวัติการ จึงมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยา บนหลักการสำคัญที่ว่า ‘ทำให้กลับสู่สถานะเดิมให้มากที่สุด’

“หลักการเยียวยาที่สำคัญก็คือการทำให้กลับสู่สถานะเดิมให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เช่น ถ้าถูกอุ้มไปก็เอากลับมา การเยียวยาเป็นตัวเงิน หรือเยียวยาทางด้านจิตใจ ฟื้นฟูทางด้านอาชีพ คือทำให้ครอบครัวสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างปกติที่สุดให้ได้” สมชายกล่าว

เขาอธิบายต่อไปว่า การทำให้กลับสู่สถานะเดิมให้มากที่สุด เช่น ถ้าถูกอุ้มไป ก็เอาลับมา เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นที่สุด สมชายยกตัวอย่างอีกว่า หากระหว่างที่ถูกอุ้มไปถูกกระทำจนขาพิการ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการฟื้นฟูทางด้านกายภาพ กายภาพบำบัด ทำให้ขาที่พิการนั้นกลับมาใช้ได้ ถ้าขาพิการนั้นยังใช้ไม่ได้ ก็ต้องหาขาเทียมให้ใช้ได้ หรือต้องมีรถเข็น ทำอย่างไรก็ได้ให้เขากลับสู่สภาพเดิมให้มากที่สุดเท่าที่มากได้

นอกเหนือจากนั้น อาจจะต้องเยียวยาในด้านตัวเงิน เยียวยาทางด้านจิตใจ ไปพร้อมๆ กัน เช่นมีอาการบอบช้ำทางจิตใจ มีอาการทางจิต จากการที่ถูกอุ้มไป เขาจะถูกทรมานหรือไม่ถูกทรมานก็แล้วแต่ก็มีภาวะทางด้านจิตใจ ซึ่งต้องบำบัดฟื้นฟูทางด้านจิตใจ และในบางครอบครัวคนที่ถูกอุ้มหายไปมักเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำมาหากิน รัฐก็ต้องฟื้นฟูสิ่งเหล่านี้ด้วย ซึ่งง่ายที่สุดก็คือการชดใช้เป็นตัวเงิน

ละเอียดไปกว่านั้นคือการฟื้นฟูทางด้านอาชีพ สนับสนุนอาชีพการงานต่างๆ ทำให้คนในครอบครัวสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างปกติสุขได้ 

สมชายยังกล่าวถึงการ ‘แก้ไขภาพพจน์’ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากขณะที่มีอุ้มหาย อาจมีการโฆษณาบอกว่าคนนี้เป็นโจร เป็นพวกต่อต้านรัฐบาล เป็นกบฏ รัฐจึงต้องแก้ไขในส่วนนี้อย่างจริงจังโดยพิจารณาเป็นรายๆ ไป หากมีการบังคับสูญหายในจำนวนมากๆ การเยียวยาก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่นอาจต้องถึงขั้นสร้างอนุสรณ์สถาน เอ่ยคำขอโทษที่เรียกว่า ‘public apology’ หรือการขอโทษต่อสาธารณะ

ในเนื้อหากฎหมายของไทยค่อนข้างมีความก้าวหน้า แต่อย่างไรเสียในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุ้มหายที่เป็นอาชญากรรมโดยรัฐ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ บางทีก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอิทธิพลระดับสูง ในบางยุคบางสมัยเป็นนโยบายของรัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงด้วยซ้ำไป

ดังนั้นถึงแม้จะมีกฎหมายแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องยากในการที่จะบังคับใช้ให้มีผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเจตนารมณ์ของอนุสัญญาป้องกันการอุ้มหายจริงๆ 

“ผมเชื่อเลยว่าคดีการหายไปของผู้ลี้ภัยในประเทศลาว เวียดนาม และกัมพูชา เป็นคดีที่เกิดจากอิทธิพลระดับสูงในยุค คสช. และคนที่กระทำความผิดยังเป็นคนที่มีอำนาจและอิทธิพลอยู่ในวงการการเมือง วงการราชการ บางคนก็อาจจะเป็นนายทหารระดับสูง บางคนก็ทำงานใน กอ.รมน. ภายใต้อำนาจบงการของ คสช. ดังนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่กล้า ผมฟันธงเลยนะ” สมชายกล่าว

นอกจากสิทธิในการเยียวยาและฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหายแล้ว พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ยังให้สิทธิสำคัญอีกประการหนึ่งแก่ผู้เสียหาย นั่นคือ สิทธิที่จะรู้ความจริง (Right to Truth)

“กฎหมายนี้ระบุว่าจะต้องสืบสวนจนกว่าจะพบบุคคลที่ถูกกระทำให้สูญหาย หรือพบหลักฐานว่าตายแล้ว และทราบรายละเอียดของการกระทำความผิด  รู้ตัวผู้กระทำความผิด แม้ว่าจะนำตัวผู้กระทำความผิดไปฟ้องคดีไม่ได้ แต่ต้องสามารถอธิบายให้ข้อมูลกับญาติของผู้สูญหายให้ได้” สมชายอธิบาย

แต่ด้วยความที่การบังคับสูญหายพัวพันอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง จึงดูเหมือนว่าความจริงที่ต้องการรับรู้นั้นช่างริบหรี่ ซ้ำร้ายทัศนคติของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการก็ยังยิ่งตอกย้ำความริบหรี่นั้นให้ยิ่งเข้าใกล้ความมืดบอดเข้าไปอีก

“เจ้าหน้าที่บางคนเคยพูดกับผมว่า ผมทำงานแบบนี้ผมเสี่ยงนะ เพราะผมก็รู้ว่าไม่ถูกกฎหมาย ผู้คนไปฆ่าเนี่ยใช่ไหม แต่ผมเสี่ยงเพื่อชาติ อ้า เค้าพูดอย่างงี้จริงๆ เออ เขา ผมทรมานเพื่อชาติ ผมอุ้มหายเพื่อชาติ แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง ผมทำเพื่อชาติ” เขาว่า

สมชายชี้ว่า เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับจริง ไม่เพียงต้องมีการกำกับดูแลเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด แต่ยังต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่ และส่งเสริมประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน เช่น การใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ และวิธีการรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นมืออาชีพ เพื่อป้องกันการจับแพะหรือการกระทำที่ผิดกฎหมายโดยอ้างว่าผู้ถูกอุ้มหายเป็นผู้ต้องสงสัย

สมชายยังเน้นว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง รวมถึงความมุ่งมั่นของผู้บังคับบัญชาในการปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมทั้งลงทุนในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และพัฒนาวิธีการสอบสวนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนเพื่อให้ข้อมูลพยานหลักฐานที่ถูกต้อง

“กฎหมายนี้เป็นกฎหมายใหม่ที่มาเปลี่ยนแนวคิดหลักการและการปฏิบัติของกฎหมายอาญา ในการควบคุมเจ้าหน้าที่ให้ทำงานอยู่ในกรอบของกฎหมาย มันคงต้องใช้เวลา”

สุดท้าย การสร้างระบบที่ยุติธรรมและโปร่งใสไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงฝ่ายเดียว สังคมและสื่อมวลชน ก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ คอยเกาะติด และรายงานความคืบหน้าของคดีต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไม่ละเลยความรับผิดชอบ 

แม้ปัจจุบันยังมีเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานที่พยายามบ่ายเบี่ยงหรือไม่เต็มใจรับผิดชอบ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ ‘คนในวงการเดียวกัน’ หรือมีอิทธิพลทางการเมือง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ความต่อเนื่องในการสอดส่องและกดดันจากสังคม จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้กฎหมายมีผลใช้บังคับอย่างแท้จริง

- 4 -

ความท้าทายเมื่อกาลเวลาผันผ่าน

ครอบครัวผู้สูญหายหลายครอบครัวยังไม่หยุดทวงถามความจริง ยังคงดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวเช่นกันที่เริ่มปล่อยวางจากความทดท้อ สิ้นหวัง และความเหนื่อยล้าทางจิตใจ

อุปสรรคไม่ได้จำกัดเพียงกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงกดดันทางสังคมที่พยายามทำให้เรื่องเหล่านี้ถูกลืมไป เมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่เริ่มไม่รู้จักผู้ที่เคยต่อสู้เพื่อความยุติธรรม หรือบุคคลที่ถูกอุ้มหายไป กลายเป็นความทรงจำที่เลือนราง แม้ความจริงจะยังไม่ปรากฏ แต่ผู้สูญหายกลับค่อยๆ ถูกลืมไปในสังคม

โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ครอบครัวผู้สูญบางครอบครัว มักเผชิญความเหน็ดเหนื่อยและความหวาดกลัวจากความพยายามที่ผ่านมาของบางฝ่าย ในการกดดันให้ถอนกรณีออกจากสหประชาชาติ ความตระหนักต่อผู้ถูกอุ้มหายรุ่นก่อนค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงผู้สูงอายุผู้มีอายุมากขึ้น ที่ตามหาความจริงอย่างท้าทายต่อกาลเวลา

ในฐานะที่ประทับจิตทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ข้องแวะกับกรณีการบังคับสูญหายอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีของพ่อตัวเอง เธอเล่า เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่เริ่มไม่รู้แล้วว่า ทนายสมชาย นีละไพจิตร คือใคร และล่าสุดเพิ่งได้ยินว่า บิลลี่ พอละจี คือใคร 

บิลลี่ พอละจี

“เป็นปีที่แบ๋นเริ่มกลับมาคุยกับแม่และคนอื่นๆ ที่รู้จักกันว่า สงสัยเราจะต้องแนะนำตัวคนที่หายไปให้กับสังคมได้รู้จักอีกสักครั้งนึงแล้วล่ะ ซึ่งในแง่จิตใจค่อนข้างจะเสียกำลังใจนิดหน่อย เพราะว่าในขณะที่เราพยายามจะสร้างความจดจำ และสถาปนาความจริงในสังคม แต่เรื่องของคนต่างๆ เหล่านี้เริ่มเลือนหายไป ทั้งๆ ที่ความจริงยังไม่ได้ปรากฏเลย แต่เขาก็ถูกลืมไปแล้ว” ประทับจิตว่า

เธอยืนยันว่ามีความรู้สึกอันหลากหลายต่อปรากฏการณ์นี้ แต่ในความรู้สึกที่มากล้น ยังชัดเจนว่าความรู้สึกเหล่านั้นมาจากความต้องการความจริง ทุกคนยังต้องการความจริง และความยุติธรรม 

“กรณีทนายสมชายเป็นกรณีอุ้มหายที่มีหลักฐานมากที่สุดแล้วในประเทศไทย แต่ตอนนี้มีหลายคนไม่รู้จักเรื่องนี้ เหมือนกับว่ามีกระบวนการที่จะทำให้คนเฉยเมย แล้วก็ทำให้ลืมไป แต่แบ๋นไม่แคร์ ตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่เราจะพยายามย้ำเตือนสังคมเสมอเกี่ยวกับทนายสมชาย”

คำกล่าวที่ประทับจิตกล่าวว่า ‘กรณีทนายสมชายเป็นกรณีอุ้มหายที่มีหลักฐานมากที่สุดแล้วในประเทศไทย’ ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย กรณีนี้มีหลักฐานชัดเจนและสามารถเล่าเป็นไทม์ไลน์ได้ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2547

ก่อนหน้าที่จะหายตัวไป ทนายสมชายถูกสะกดรอยตามมาเรื่อยๆ กระทั่งวันที่หายตัวไป มีหลักฐานที่อาจเชื่อได้ว่ามีการสร้างสถานการณ์อุบัติเหตุจำลอง จึงทำให้สมชายต้องจอดและลงจากรถ ขณะนั้นเขาถูกลักพาตัวไป 

ต่อมาเกิดแรงกดดันสาธารณะและการสอบถามจากสภาฯ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายถูกออกหมายจับภายใน 2 สัปดาห์ คดีถูกนำขึ้นศาล แม้ญาติจะถูกจำกัดสิทธิ์ในการฟ้องร้อง แต่หลักฐานเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ การเคลื่อนย้ายของผู้ต้องสงสัย และพยานผู้เห็นเหตุการณ์ยังคงชัดเจน ทำให้สามารถติดตามเหตุการณ์ได้เป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การสะกดรอย การลักพาตัว การเตรียมอุปกรณ์ และการหาตัวผู้กระทำผิด 

แม้ว่าข้อจำกัดทางกฎหมายในเวลานั้นจะทำให้การเอาผิดผู้กระทำไม่ได้โดยตรง แต่ความชัดเจนของเหตุการณ์และพยานที่กล้าให้ข้อมูล ทำให้คดีนี้แตกต่างจากกรณีคนหายอื่นๆ ที่มักไม่มีหลักฐานหรือพยานชี้ตัว

20 ปี ทนายสมชายถูกบังคับสูญหาย คือการถูกบังคับให้สูญเสียของ อังคณา นีละไพจิตร 

จะเห็นแล้วว่าขนาดกรณีที่หลักฐานแน่นหนา สังคมยังสามารถลืมเลือนได้ สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการบางส่วนที่ทำให้สังคมเฉยเมยต่อเหตุการณ์เหล่านี้ การลืมเลือนจึงไม่ใช่เพียงความบังเอิญ แต่เป็นผลของระบบที่อาจทำให้ความจริงถูกปิดบัง

“รัฐบาลอาจจะอ้างได้ว่า ตอนนี้เราไม่มีเคสคนหายแล้ว ถ้ากรณีคนหายถูกลืมเลือนไปว่ามีลักษณะยังไงจากกระบวนการทำให้เฉยเมย แล้วใครจะไปรู้ล่ะ วันหนึ่งมันอาจจะกลับมาอีกก็ได้ เพราะว่ายังไม่มีกรณีคนหายคนไหนเลยในประเทศไทยที่ได้รับความยุติธรรม หรือมีการเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ หรือว่าเปิดเผยความจริงที่เป็นขั้นต่ำที่สุดก็ยังไม่มี อะไรจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครถูกอุ้มหายอีก” ประทับจิตว่าต่อ

ทั้งนี้ ในระดับสากลและภูมิภาค การอุ้มหายยังคงมีลักษณะซับซ้อนมากขึ้น เช่นกรณีวันเฉลิมและสยาม ธีรวุฒิ ที่แม้จะมีพยานหลักฐานหรือกล้องวงจรปิด แต่การประสานงานระหว่างประเทศยังไม่สมบูรณ์ การสืบหาความจริงเป็นไปได้ยาก ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและข้อจำกัดด้านกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านทำให้การติดตามผู้สูญหายไม่ง่ายเลย และความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้อาจจางหายไปโดยไม่ถูกบันทึก

ดังนั้นการเกิดขึ้นของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ต้องไม่ใชเครื่องมือในการทำให้คนลืม หรือเพื่อที่จะปฏิเสธว่าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จะต้องเป็นความหวังของครอบครัวผู้สูญหายที่ใช้งานได้จริง และรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครถูกบังคับสูญหายอีก

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ศศิพร คุ้มเมือง