การประท้วงใหญ่ในหลายเมืองทั่วอินโดนีเซียดำเนินเข้าสู่หนึ่งสัปดาห์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ระหว่างการประท้วง อย่างน้อย 7 คน ทำให้ประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต ผู้นำอินโดนีเซียคนปัจจุบัน ออกคำสั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคงทั่วประเทศเพื่อควบคุมฝูงชน
แม้แกนนำการชุมนุมบางส่วนจะประกาศยกเลิกการรวมตัวในกรุงจาการ์ตาเมื่อ 1 กันยายน แต่ก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ล้มเลิกการเคลื่อนไหวแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลง่ายๆ เพราะผู้ชุมนุมจะกลับมารวมตัวกันใหม่อย่างแน่นอน ประกอบกับการชุมนุมในอีกหลายเมืองนอกเขตเมืองหลวงและเขตเศรษฐกิจยังคงดำเนินไปตามกำหนดการเดิม แต่ไม่มีเหตุปะทะนองเลือดรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้สำนักข่าวต่างประเทศประเมินว่าการประท้วงรัฐบาลอินโดนีเซียคงจะยังไม่สงบลงในเร็ววัน
ก่อนที่เรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดนี้ รอยร้าวระหว่างมวลชนและรัฐบาลปราโบโวปรากฏให้เห็นตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ประธานาธิบดีปราโบโวปราศรัยเรียกร้องให้ประชาชนอินโดนีเซียประดับธงชาติเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันชาติซึ่งตรงกับ 17 สิงหาคมของทุกปี แต่มวลชนจำนวนไม่น้อยซึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลายๆ ด้านของรัฐบาล และพร้อมใจกันประดับธง Jolly Rogers หรือธงหัวกะโหลกสวมหมวกฟาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดผู้ใฝ่ฝันถึงอิสรภาพในการ์ตูนมังงะของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง One Piece เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่พอใจต่อรัฐบาลชุดนี้
การชูธงสัญลักษณ์จากมังงะแพร่หลายไปสู่ประชาชนอินโดนีเซียหลายกลุ่ม โดยสำนักข่าว BBC และ TIME รายงานว่าร้านค้าต่างๆ รวมถึงร้านค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์อินโดนีเซียได้รับยอดสั่งซื้อธงหัวกะโหลกสวมหมวกฟาง One Piece เพิ่มขึ้นหลายเท่าจนรับออเดอร์แทบไม่ทัน สะท้อนว่าความไม่พอใจรัฐบาลได้ก่อตัวเป็นคลื่นใต้น้ำมาระยะหนึ่งแล้ว
คนวงในรัฐบาล โดยเฉพาะสมาชิกรัฐสภาในสังกัดพรรคเกอรินดรา (Gerindra Party) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอยู่ในปัจจุบัน ต่างพร้อมใจออกมาวิจารณ์ว่าการประดับธงกลุ่มโจรสลัดจากมังงะ One Piece เข้าข่ายยั่วยุให้เกิดความแตกแยกและเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ จึงเรียกร้องให้ตำรวจจับตาหรือควบคุมตัวแกนนำการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านมาสอบปากคำ ทำให้ความไม่พอใจในรัฐบาลแพร่กระจายไปยังมวลชนกลุ่มอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
กระทั่งวันที่ 22 สิงหาคม 2525 รัฐบาลเห็นชอบให้ที่ประชุมสภาเริ่มพิจารณามาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่สมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือน การเพิ่มกรอบวงเงินจัดซื้อจัดหาที่พักอาศัยของสมาชิกรัฐสภา รวมถึงการพิจารณาเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ให้เหมาะกับตำแหน่ง แต่ข่าวนี้กลับเหมือนเชื้อไฟให้ความเดือดดาลของประชาชนจำนวนมากปะทุขึ้น และเกิดเป็นการรวมตัวบนท้องถนนในวันที่ 25 สิงหาคม เพื่อชุมนุมประท้วงความไม่รู้ร้อนหนาวของรัฐบาลชุดนี้ที่มีต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในยุคเศรษฐกิจชะลอตัวและต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน
ผู้ชุมนุมหลายรายให้สัมภาษณ์สื่อหลายสำนักว่าพวกเขารู้สึกว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นถูกขยายกว้างยิ่งกว่าเดิมจากนโยบายหลายด้านของรัฐบาลชุดนี้ เพราะตั้งแต่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในปี 2024 ประธานาธิบดีปราโบโวก็ประกาศมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจโดยตัดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมและขึ้นภาษีท้องถิ่น ซึ่งส่งผลกระทบมากที่สุดต่อประชากรวัยทำงานที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดนี้ยังประกาศแผนส่งเสริมการลงทุนที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนรวยระดับอภิมหาเศรษฐี พร้อมประกาศว่าจะผลักดันกองทุนความมั่งคั่ง (sovereign fund) ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี ไม่ต้องผ่านผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังตามขั้นตอนปกติ โดยอ้างว่าเพื่อการดำเนินการที่รวดเร็วและลดภาระงานซ้ำซ้อน แต่กลับยิ่งทำให้คนจำนวนมากตั้งคำถามว่ามาตรการนี้จะยิ่งทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลทำได้ยากขึ้นกว่าเดิม เพราะเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชันโดยไม่มีใครรู้เห็น
การชุมนุมที่ปะทุขึ้นในหลายเมืองทั่วประเทศมีตั้งแต่การรวมตัวประท้วงโดยสงบไปจนถึงการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็มีรายงานว่าตำรวจควบคุมฝูงชนและกองกำลังกึ่งทหารที่รัฐบาลระดมพลใช้วิธีการรุนแรงและใช้อาวุธจริงในการตอบโต้ผู้ชุมนุม ทั้งยังเกิดเหตุตำรวจขับรถชนไรเดอร์และถูกผู้ชุมนุมบันทึกวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้ได้ผ่านการไลฟ์ถ่ายทอดสดในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทำให้เกิดการตอบโต้ด้วยความรุนแรงจากผู้ชุมนุมเช่นกัน โดยมีกลุ่มที่ฉวยโอกาสก่อเหตุปล้นสะดมและทำลายร้านค้า รวมถึงกลุ่มผู้ที่บุกเข้าไปทำลายบ้านพักของรัฐมนตรีการคลังที่แสดงความเห็นดูหมิ่นการชุมนุม
ประเด็นร้อนแรงเหล่านี้ทำให้บริษัท ByteDance ผู้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม TikTok สั่งระงับฟังก์ชันการไลฟ์ของสื่อสังคมออนไลน์ TikTok ในอินโดนีเซียชั่วคราว โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายข้อมูลที่มีความรุนแรงและยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง และประธานาธิบดีปราโบโวล้มเลิกการเดินทางเยือนประเทศจีนเพื่ออยู่รับมือกับสถานการณ์ภายในประเทศ
บรรดานักวิเคราะห์จึงจับตามองอย่างใกล้ชิดว่ารัฐบาลปราโบโวจะแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างไร เพราะในอดีต การชุมนุมใหญ่ของประชาชนที่ไม่พอใจการแก้ปัญหาปากท้องของรัฐบาลเผด็จการอินโดนีเซียได้นำไปสู่แรงกดดันจนอดีตผู้นำที่พยายามยื้ออำนาจยาวนานข้ามทศวรรษต้องยอมก้าวลงจากตำแหน่งมาก่อนแล้ว
ในช่วงที่การชุมนุมเริ่มทวีความรุนแรง เหตุการณ์เสียชีวิตของไรเดอร์วัย 21 ปี อัฟฟาน กูร์เนียวรรณ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม กลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายให้การประท้วงต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซียลุกลามบานปลายสู่ความรุนแรงทั่วประเทศ
ระหว่างการชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้ารัฐสภาในกรุงจาการ์ตา อัฟฟาน กูร์เนียวรรณ ไรเดอร์ให้บริการเรียกรถและส่งอาหาร ถูกรถหุ้มเกราะของหน่วยตำรวจปราบจลาจล (Brimob) พุ่งเข้าชนและทับจนเสียชีวิต รายงานจากผู้เห็นเหตุการณ์และคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ แสดงให้เห็นว่ารถของตำรวจเร่งความเร็วฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมและชนเข้ากับกูร์เนียวรรณโดยตรง
จากนั้นเกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจรุนแรงในหลายเมือง มีการขว้างปาก้อนหิน เผารถตำรวจและอาคารราชการบางแห่ง
29 สิงหาคม กลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปยังสำนักงานผู้ว่าราชการเมืองซิโดอาร์โจ ในชวาตะวันออก และจุดไฟเผาอาคาร ทำให้ บูดี ซันโตโซ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัย 52 ปี เสียชีวิต เพราะพยายามเข้าไปในอาคารเพื่อขนย้ายเอกสารสำคัญ
วันเดียวกัน อาคารสภาของเมืองมากัสซาร์ จังหวัดสุลาเวสีใต้ ก็ถูกเผาเช่นกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย คือ อาไบ ช่างภาพของสภาเมือง ซารินา เจ้าหน้าที่ประจำสภา และไซฟุล ข้าราชการพลเรือน
นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอามิกอม ยอกยาการ์ตา เรซา เซนดี ปราตามา เสียชีวิตที่ยอกยาการ์ตา และไรเดอร์อีกราย คือ รุสดัมดีอันชะฮ์ เสียชีวิตที่มากัสซาร์
การเสียชีวิตของกูร์เนียวรรณทำให้เกิดกระแสการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของไรเดอร์ (หรือที่เรียกว่า Ojek ในอินโดนีเซีย) ในอินโดนีเซีย ไรเดอร์หลายพันคนในจาการ์ตารวมตัวกันขี่รถจักรยานยนต์เป็นขบวนยาวเพื่อร่วมพิธีศพ นอกจากนี้ในเมืองสำคัญๆ ก็มีไรเดอร์นับร้อยออกมาอาสาเป็นแนวหน้าปิดถนนและเป็นพาหนะเคลื่อนที่เร็วช่วยขนส่งผู้คนในการประท้วงที่ส่อเค้ายืดเยื้อยาวนาน
ในช่วงที่การชุมนุมเริ่มทวีความรุนแรง เหตุการณ์เสียชีวิตของไรเดอร์วัย 21 ปี อัฟฟาน กูร์เนียวรรณ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม กลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายให้การประท้วงต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซียลุกลามบานปลายสู่ความรุนแรงทั่วประเทศ
ระหว่างการชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้ารัฐสภาในกรุงจาการ์ตา อัฟฟาน กูร์เนียวรรณ ไรเดอร์ให้บริการเรียกรถและส่งอาหาร ถูกรถหุ้มเกราะของหน่วยตำรวจปราบจลาจล (Brimob) พุ่งเข้าชนและทับจนเสียชีวิต รายงานจากผู้เห็นเหตุการณ์และคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ แสดงให้เห็นว่ารถของตำรวจเร่งความเร็วฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมและชนเข้ากับกูร์เนียวรรณโดยตรง
จากนั้นเกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจรุนแรงในหลายเมือง มีการขว้างปาก้อนหิน เผารถตำรวจและอาคารราชการบางแห่ง
29 สิงหาคม กลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปยังสำนักงานผู้ว่าราชการเมืองซิโดอาร์โจ ในชวาตะวันออก และจุดไฟเผาอาคาร ทำให้ บูดี ซันโตโซ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัย 52 ปี เสียชีวิต เพราะพยายามเข้าไปในอาคารเพื่อขนย้ายเอกสารสำคัญ
วันเดียวกัน อาคารสภาของเมืองมากัสซาร์ จังหวัดสุลาเวสีใต้ ก็ถูกเผาเช่นกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย คือ อาไบ ช่างภาพของสภาเมือง ซารินา เจ้าหน้าที่ประจำสภา และไซฟุล ข้าราชการพลเรือน
นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอามิกอม ยอกยาการ์ตา เรซา เซนดี ปราตามา เสียชีวิตที่ยอกยาการ์ตา และไรเดอร์อีกราย คือ รุสดัมดีอันชะฮ์ เสียชีวิตที่มากัสซาร์
การเสียชีวิตของกูร์เนียวรรณทำให้เกิดกระแสการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของไรเดอร์ (หรือที่เรียกว่า Ojek ในอินโดนีเซีย) ในอินโดนีเซีย ไรเดอร์หลายพันคนในจาการ์ตารวมตัวกันขี่รถจักรยานยนต์เป็นขบวนยาวเพื่อร่วมพิธีศพ นอกจากนี้ในเมืองสำคัญๆ ก็มีไรเดอร์นับร้อยออกมาอาสาเป็นแนวหน้าปิดถนนและเป็นพาหนะเคลื่อนที่เร็วช่วยขนส่งผู้คนในการประท้วงที่ส่อเค้ายืดเยื้อยาวนาน
ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอินโดนีเซียจึงตกไปอยู่กับ นายพลซูฮาร์โต ซึ่งพยายามจะก่อรัฐประหารมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเขาค่อยๆ เพิ่มการใช้อำนาจทางทหารและบีบให้ซูการ์โนก้าวลงจากตำแหน่งในปี 1967 หลังจากนั้นซูฮาร์โตก็ยึดครองอำนาจในการบริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องยาวนานถึง 32 ปี
ซูฮาร์โต
ช่วงที่ซูฮาร์โตเรืองอำนาจถูกเรียกว่ายุค ‘ระเบียบใหม่’ หรือ New Order ของอินโดนีเซีย เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากยุคอาณานิคมเข้าสู่การปกครองแบบรัฐสมัยใหม่ภายใต้ผู้นำที่มีความเป็นเผด็จการ แต่บางด้านของซูฮาร์โตก็ถูกจดจำในฐานะผู้มีคุณูปการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนทำให้ประเทศเติบโตแบบก้าวกระโดด เหตุผลสำคัญเกิดจากรัฐบาลซูฮาร์โตสนับสนุนการลงทุนด้านสาธารณูปโภค พลังงาน และการส่งออก ทั้งยังปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจจากที่เคยเน้นแนวทางชาตินิยม ไม่เน้นการพึ่งพิงต่างชาติในยุครัฐบาลซูการ์โนเข้าสู่ยุคเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งยังผลักดันให้อินโดนีเซียเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกองทุนอื่นๆ ที่ช่วยให้เกิดการลงทุนอันเบ่งบานในอินโดนีเซียยาวนานนับสิบปี
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในสื่อหลายสำนักระบุตรงกันว่ากลไกด้านเศรษฐกิจและการคลังในยุคซูฮาร์โตขับเคลื่อนโดยกลุ่มทุนที่เป็นเครือข่ายคนสนิทหรือมีความสัมพันธ์กับซูฮาร์โต จึงสามารถกระจายรายได้ให้กับประชาชนได้บางส่วน แต่ไม่ครอบคลุม แม้ทำให้กลุ่มประชากรรายได้ปานกลางขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดูดีสะท้อนว่ากลุ่มทุนที่มีสายสัมพันธ์กับซูฮาร์โตต่างหากที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน รัฐบาลซูฮาร์โตยังมีการใช้กำลังทหารและกองกำลังกึ่งทหารในการควบคุมสอดส่องประชาชนอย่างเข้มข้น โดยเป็นยุคที่ประกาศนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ นำไปสู่การกวาดล้าง จับกุม สังหาร ผู้ต้องสงสัยว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ แต่ภายหลังถูกกลุ่มเครือญาติผู้เสียหายและเครือข่ายสิทธิมนุษยชนเปิดโปงว่าการใช้ข้อกล่าวหานี้ของคนในรัฐบาลซูฮาร์โตเกือบทั้งหมดเป็นการ ‘ยัดข้อหา’ เพื่อกำจัดผู้คนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือเห็นต่างจากรัฐบาลด้วยวิธีการที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
หลังจากชาวอินโดนีเซียต้องทนอยู่กับการใช้อำนาจและกำลังทหารควบคุมสอดส่องของรัฐบาลซูฮาร์โตมานาน ก็เกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในเอเชีย (ที่คนไทยเรารู้จักในนามวิกฤต ‘ต้มยำกุ้ง’) ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำกระทบต่อคนจำนวนมาก จนกลายเป็นเหตุผลใหญ่ที่ชาวอินโดนีเซียเคลื่อนไหวชุมนุมบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ประชาชนอินโดนีเซียที่ออกมาประท้วงในยุคนั้นเป็นเพราะประจักษ์ได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจการเงินที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลที่ไม่จำกัดหรือควบคุมตรวจสอบกลุ่มทุนซึ่งมีความเกี่ยวพันกับธุรกิจการเงินอย่างเพียงพอ และรัฐบาลยังพยายามจะออกมาตรการโอบอุ้มนักลงทุน แต่กลับไม่ได้มีนโยบายช่วยเหลือเยียวยาชัดเจนหรือเพียงพอต่อประชาชนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัสจากการเลิกจ้างหรือเลิกกิจการของกลุ่มทุนที่เคยได้รับสิทธิประโยชน์มหาศาลจากรัฐบาลในอดีต
การชุมนุมครั้งใหญ่ในยุคนั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและดุเดือด มีการปะทะและการใช้กำลังปราบปราม แต่มวลชนจำนวนมากก็ไม่ยอมแพ้และกลับมารวมตัวกันใหม่ จนกลายเป็นแรงกดดันให้ประธานาธิบดีซูฮาร์โตต้องก้าวลงจากตำแหน่งที่ยึดครองมานานกว่า 3 ทศวรรษในวันที่ 21 พฤษภาคม 1998
หลังสิ้นสุดยุคซูฮาร์โต อินโดนีเซียมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยยึดมั่นหลักการด้านประชาธิปไตยมากขึ้น ทั้งยังมีการปฏิรูปหน่วยงานรัฐและมีการออกกฎหมายห้ามทหารยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำให้ช่วงเวลาหลังปี 1998 เป็นต้นมาถูกเรียกขานว่ายุคแห่งการปฏิรูป (Reformasi Era) ของอินโดนีเซีย
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงทศวรรษ 2010 ทำให้อินโดนีเซียมีประธานาธิบดีที่มีปูมหลังจากครอบครัวพลเรือนคนแรกอย่าง โจโก วิโดโด หรือ ‘โจโกวี’ ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นผู้นำที่รับฟังเสียงของประชาสังคมและเคารพในหลักการด้านสิทธิมนุษยชนมากกว่าอดีตประธานาธิบดีคนก่อนหน้า
แต่ภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของโจโกวีก็ด่างพร้อยลงไปเมื่อเขาได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 และแต่งตั้ง ปราโบโว ซูเบียนโต เป็นรัฐมนตรีกลาโหมในปี 2019 ซึ่งถูกเปรียบเสมือนการกรุยทางให้ปราโบโวมีเส้นทางการเมืองที่ใสสะอาดเพิ่มขึ้น ทั้งที่เขาเคยเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ดำมืดของอินโดนีเซียในยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โต
ปราโบโวเป็นอดีตทหารที่เติบโตมาในตระกูลชั้นนำของอินโดนีเซีย และเคยเป็นลูกเขยของซูฮาร์โต อดีตเผด็จการที่ถูกล้มล้างในปี 1998 ทำให้เขาถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับการใช้กำลังและวิธีการละเมิดสิทธิมนุษยชนปราบปรามผู้เห็นต่างจากอดีตรัฐบาลซูฮาร์โต แต่คดีความหลายคดีที่เครือญาติผู้เสียหายฟ้องร้องกลับถูกเตะถ่วงและถูกยกฟ้องด้วยเหตุผลว่า ‘ไม่มีหลักฐานเพียงพอ’ โดยเฉพาะในช่วงที่ปราโบโวเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลโจโกวี
อย่างไรก็ดี อิทธิพลของปราโบโวมีความเกี่ยวโยงกับทั้งกองทัพและกลุ่มทุนซึ่งเป็นกิจการของตระกูล ทำให้เขามีผู้หนุนหลังที่เข้มแข็งทั้งในแง่การทหารและเงินทุน บวกกับได้รับการ ‘ฟอกตัว’ ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมยุครัฐบาลโจโกวีและการปรับภาพลักษณ์ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2024 มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ปราโบโวได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีด้วยคะแนนนำแบบทิ้งห่าง
ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ปราโบโวเจอต่อต้านจากเครือญาติผู้สูญหายและผู้เสียหายในการใช้นโยบายละเมิดสิทธิมนุษยชนยุครัฐบาลเผด็จการซูฮาร์โต อีกทั้งรัฐบาลปราโบโวยังพยายามผลักดันการปรับแก้กฎหมายซึ่งเคยห้ามทหารยุ่งเกี่ยวการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ แต่กลุ่มผู้สนับสนุนปราโบโวและพรรคเกอรินดราต่างก็ยืนยันในความบริสุทธิ์ของปราโบโว โดยอ้างถึงคดีความที่ถูกศาลยกฟ้องไปแล้ว และย้ำว่าการปรับแก้กฎหมายจะช่วยให้เกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
จนกระทั่งรัฐบาลปราโบโวผลักดันมาตรการเศรษฐกิจซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มชนชั้นนำ กระแสความไม่พอใจในรัฐบาลจึงได้ขยายตัวไปสู่ประชาชนหลากหลายกลุ่ม ไม่จำกัดเฉพาะแค่กลุ่มผู้เสียหายจากนโยบายการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีตรัฐบาลซูฮาร์โตเท่านั้น
ชนวนเหตุแรกเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2025 ซึ่งรัฐบาลปราโบโวประกาศแผนปรับลดและตัดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม รวมถึงสั่งปรับเพิ่มอัตราภาษีที่เก็บจากท้องถิ่น โดยอ้างว่างบที่ได้เพิ่มมาจากมาตรการนี้จะถูกนำไปใช้ด้านการศึกษาและช่วยเหลือหญิงมีครรภ์กับครอบครัวที่มีลูกคนแรก ทำให้ความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อมาตรการนี้ถูกเจือจางลงไปได้บ้าง
กระนั้นปัญหาค่าครองชีพสูงและเศรษฐกิจชะลอตัวในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมบางส่วนก็ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลปราโบโวกลับเสนอมาตรการอีกหลายด้านตามมาโดยมุ่งเน้นการเอื้อประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มทุนขนาดใหญ่เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการลงทุน
สิ่งที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายคือการประกาศแผนปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านเงินเดือนและสวัสดิการที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิกรัฐสภาในเดือนสิงหาคม 2025 กลายเป็นชนวนให้ผู้คนจำนวนมากออกมารวมตัวประท้วงแสดงความไม่พอใจรัฐบาล โดยผู้ชุมนุมอินโดนีเซียหลายรายให้สัมภาษณ์สื่อหลายสำนักว่าสมาชิกรัฐสภาเหล่านี้ไม่ได้เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนอย่างจริงจัง แต่มาตรการที่รัฐบาลเสนอกลับมอบสิทธิและอำนาจแก่อภิสิทธิ์ชนในการแสวงหาความสุขสบายและฉกฉวยผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าจะคำนึงถึงปากท้องของประชาชนที่กำลังต้องดิ้นรนอย่างหนักในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
การชุมนุมและการปะทะด้วยกำลังความรุนแรงทั้งจากฝั่งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทำให้ปราโบโวประณามผู้ก่อเหตุว่าเข้าข่าย ‘ก่อการร้าย’ และ ‘กบฏ’ แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นอภิสิทธิ์ชนของคนในรัฐบาลกลับไม่ลดน้อยลง แถมยังทำให้ประชาชนออกมารวมตัวกันมากกว่าเดิม ปราโบโวจึงปรับเปลี่ยนท่าทีด้วยการประกาศยกเลิกแผนเพิ่มสิทธิประโยชน์ของบรรดาสมาชิกรัฐสภาทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแนวร่วมพรรครัฐบาลเกอรินดราและมีแนวคิดขวาจัดซึ่งเห็นด้วยกับการใช้กำลังรุนแรงและมาตรการเข้มงวดในการปราบปรามมวลชนผู้เห็นต่างซึ่งลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลปราโบโวในช่วงที่ผ่านมา
แม้ประธานาธิบดีปราโบโวจะแสดงท่าทีว่า ‘ยอมถอย’ ให้กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม แต่ด้วยประวัติการเป็นคนสนิทของอดีตผู้นำรัฐบาลเผด็จการซูฮาร์โต ทำให้นักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่าผู้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลปราโบโวจะถูกปฏิบัติอย่างไรหลังจากที่ความโกลาหลถูกคลี่คลายและผู้ชุมนุมแยกย้ายสลายตัว เพราะมีแนวโน้มสูงมากว่าคนเหล่านี้อาจถูกตั้งข้อหาทางการเมืองซึ่งนำไปสู่การปิดปากและกวาดล้างผู้เห็นต่างจากรัฐเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่าความเข้มแข็งของผู้ชุมนุมในอินโดนีเซียอาจจะทำให้รัฐบาลของปราโบโวสั่นคลอน แต่ไม่ถึงขั้นที่เขาจะต้องก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือการยั่วยุให้มวลชนแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายต่อต้านหรือฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ลุกขึ้นมาห้ำหั่นและปะทะกันเอง
ช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียเผชิญความผันผวนทางการเมืองไม่น้อยไปกว่าอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การเคลื่อนไหวของมวลชนอินโดนีเซียมีความแข็งแกร่งในช่วงปลายยุคซูฮาร์โตจนกระทั่งเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูป
ข้อดีคือกลุ่มมวลชนเหล่านี้แบ่งเป็นหลากฝักฝ่ายและยึดมั่นในอุดมการณ์ทางศาสนาหรือการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้เกิดขบวนการภาคประชาสังคมที่คอยขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ อย่างหลากหลาย แต่จุดอ่อนที่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้คือมวลชนบางส่วนมักใช้อารมณ์และความรุนแรงในการผลักดันประเด็นของกลุ่มตนเอง
แม้การเคลื่อนไหวของมวลชนในหลายประเด็นจะถูกต่อยอดจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมอินโดนีเซียได้จริง เช่น การเรียกร้องสิทธิและสวัสดิการแรงงาน สิทธิสตรี สิทธิในการนับถือศาสนา หรือสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน แต่ก็มีหลายกรณีที่มวลชนอาศัยความโกรธแค้นต่อกลุ่มผู้เห็นต่างจนนำไปสู่การปะทะใช้กำลังและละเมิดสิทธิมนุษยชนเสียเอง
ในยุครอยต่อระหว่างรัฐบาลเผด็จการและประธานาธิบดี บีเจ ฮาบิบี ที่รับตำแหน่งต่อจากซูฮาร์โต มีกลุ่มมวลชนที่ไม่พอใจชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน โดยช่วงแรกคนกลุ่มนี้มีความเชื่อและความหวาดระแวงว่าพลเมืองเชื้อสายจีนเกี่ยวพันกับลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ต่อมาก็มีความไม่พอใจที่พลเมืองเชื้อสายจีนในอินโดนีเซียโดยเฉลี่ยมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ ซึ่งความไม่พอใจที่เกี่ยวโยงกับประเด็นเชื้อชาติทำให้มวลชนจำนวนมากคุกคาม ไล่ล่า ทำร้าย ไปจนถึงสังหารชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน
โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดจากน้ำมือมวลชนผู้โกรธแค้นเชื่อมโยงกับการประท้วงอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตเช่นกัน เพราะไม่กี่วันก่อนที่เขาจะถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม 1998 มวลชนอินโดนีเซียที่โกรธแค้นต่อสภาพเศรษฐกิจได้พุ่งเป้าโจมตีและไล่ล่าคนเชื้อสายจีนในอินโดนีเซีย รวมถึงทำลายโรงงานและกิจการร้านค้าต่างๆ ของคนเชื้อสายจีนในหลายชุมชน
การใช้ความรุนแรงครั้งนั้นเกิดจากการบ่มเพาะอารมณ์โกรธแค้นและเกลียดชังต่อประชาชนเชื้อสายจีนที่สั่งสมมายาวนานข้ามทศวรรษ ก่อนจะระเบิดออกในช่วงที่การเมืองอินโดนีเซียเผชิญความปั่นป่วนอย่างที่สุดเพราะประชาชนไม่พอใจและต้องการล้มล้างรัฐบาลเผด็จการที่ยื้ออำนาจมายาวนานหลายสิบปี แต่มวลชนจำนวนมากแปรเปลี่ยนความโกรธแค้นรัฐบาลไปลงกับประชาชนเชื้อสายจีน
เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่าการจลาจลเดือนพฤษภาคม 1998 ซึ่งทำให้คนเชื้อสายจีนในอินโดนีเซียราว 1,200 คนเสียชีวิต ทั้งยังมีรายงานว่าผู้หญิงเชื้อสายจีนถูกข่มขืนและละเมิดทางเพศจำนวนมาก เช่นเดียวกับบ้านเรือนในชุมชนชาวจีนถูกทำลายเสียหายราว 5,000 หลัง แต่ผู้ก่อเหตุที่ได้รับการลงโทษในภายหลังมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย และหลายคดีก็ไม่เคยได้รับการสะสางมาจนถึงปัจจุบันเพราะมีการอ้างเหตุผลเรื่อง ‘หลักฐานไม่เพียงพอ’ ในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมต่างๆ
นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของมวลชนต่อต้านคนเชื้อสายจีนในอดีต ยังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเคร่งศาสนาที่ต่อต้านผู้นับถือต่างศาสนาและต่างนิกาย ซึ่งหลายครั้งมีการใช้ข้อมูลเท็จยั่วยุและปลุกระดมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้กลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดเคร่งศาสนาออกไปต่อสู้หรือกำจัดผู้ที่เป็นภัยคุกคามศาสนาในอินโดนีเซีย
แม้การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจะมีความชัดเจนว่าถูกผลักดันด้วยเหตุผลด้านปากท้องและต้องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่อดีตที่ผ่านมาทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนเตือนให้ระมัดระวังการฉวยโอกาสจากกลุ่มไม่หวังดีที่ต้องการขับเคลื่อนประเด็นการเมืองของตัวเองโดยอาศัยความโกรธแค้นของมวลชน
ยิ่งไปกว่านั้น การปล่อยให้มวลชนใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลโดยไม่ดึงรั้งสติเลยอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงตอบโต้กันไม่รู้จบระหว่างมวลชนกลุ่มต่างๆ ในสังคม และรัฐบาลปราโบโวก็จะมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลในการใช้กำลังหรือวิธีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ ในการควบคุมฝูงชนให้สงบลง แต่ไม่รู้ว่าความเสียหายหรือความสูญเสียที่เกิดจากมาตรการเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อประชาชนโดยรวมตามมาอย่างไร
อ้างอิง: AFP/ RFI, Aljazeera (1), Aljazeera (2), AOL, BBC, Boell, DW, East Asia Forum, The Economist, Europa, FORSEA, Freedom House, The Guardian, Jakarta Globe, The Jakarta Post, The Indonesia Investment, NHK, NPR, Tempo, Reuters, SCBEIC, TIME