การประท้วงในกรุงกาฐมาณฑุและอีกหลายเมืองของเนปาลปะทุขึ้นเมื่อ 8 กันยายน 2025 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน และผู้บาดเจ็บอีกประมาณ 400 คน ทั้งยังมีประกาศเคอร์ฟิวจากรัฐบาล ห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหลังเวลา 12:30 น. ตามด้วยคำสั่งปิดสนามบินนานาชาติตริภูวันเป็นการชั่วคราว
การประท้วงครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบานปลายเป็นการปะทะนองเลือดในชั่วข้ามคืนเท่านั้น
ผู้ประท้วงหลายกลุ่มไม่พอใจการใช้กำลังอาวุธสลายการชุมนุม ได้ก่อจลาจลด้วยการบุกเข้าไปเผาทำลายทรัพย์สินในบริเวณรัฐสภา ทำเนียบประธานาธิบดี อาคารหน่วยงานรัฐ รวมถึงที่พำนักของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีมหาดไทย และอดีตนายกฯ ทั้งยังจุดไฟเผายางรถยนต์บนท้องถนนจนเกิดเป็นควันดำลอยคละคลุ้งนานนับชั่วโมงในวันที่ 9 กันยายน
ส่วนชนวนเหตุที่ผลักดันให้คนออกมาประท้วงกันหลายหมื่นคนในหลายเมืองเริ่มต้นมาจากคำสั่งปิดกั้นแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่รัฐบาลเนปาลประกาศให้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา
แพลตฟอร์มที่ถูกปิดกั้น ได้แก่ Facebook, Messenger, Threads และ Instagram ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท Meta ตามด้วย YouTube, Snapchat, Pinterest, Signal, Telegram และ Rumble
ในขณะที่ TikTok กับแพลตฟอร์มขนาดเล็กอีกหลายรายได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อไปได้ หลังจากบริษัทต้นสังกัดของแพลตฟอร์มเหล่านี้ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลเนปาลในการจัดหาตัวแทนไปขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MCIT) เพื่อยอมรับเงื่อนไขให้รัฐบาลเนปาลมีส่วนในการ ‘กำกับดูแล’ แพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการภายในประเทศอย่างเป็นทางการ
ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการกำกับดูแลและปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ของรัฐ คือกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘คน Gen Z’ ในเนปาลยุคปัจจุบัน
หลายคนมองว่ารัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ ละเมิดสิทธิในการสื่อสารและรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน และอีกหลายคนให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลจะใช้การกำกับดูแลแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เป็นข้ออ้างในการควบคุมช่องทางแสดงความคิดเห็นของประชาชน เพราะหลายปีที่ผ่านมา ผู้ใช้สื่อออนไลน์จำนวนมากแสดงความไม่พอใจของตัวเองที่มีต่อรัฐบาลไปจนถึงวิพากษ์วิจารณ์ลูกหลานกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองที่มักจะเผยแพร่ภาพการใช้ชีวิตที่หรูหราแต่สวนทางอย่างมากกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนธรรมดาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเท
จากจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน ผ่านไปเพียง 1 วัน ผู้ชุมนุมออกมารวมตัวกันจำนวนมาก และการปะทะกับเจ้าหน้าที่ก็กลายเป็นเหตุนองเลือด
ทว่าตำรวจที่ตรึงกำลังอารักขาในเมืองต่างๆ โดยเฉพาะที่เมืองหลวงอย่างกรุงกาฐมาณฑุ ใช้ทั้งกระบอง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง และ ‘กระสุนจริง’ ยิงสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจประจำกรุงกาฐมาณฑุย้ำว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายรายก็ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของใส่เช่นกัน ทั้งยังระบุว่าผู้ชุมนุมที่ถูกกระสุนจริงและกระสุนยางยิงใส่คือผู้ที่พยายามจะบุกฝ่าแนวกั้นของตำรวจเข้าไปยังอาคารรัฐสภาหรือที่ทำการของหน่วยงานรัฐ
สื่อต่างประเทศรายงานว่า การประท้วงครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ไม่สงบที่มีผู้เสียชีวิตภายในวันเดียว ‘มากที่สุด’ ในรอบกว่าทศวรรษของเนปาล ทำให้ผู้ชุมนุมจำนวนมากยืนยันประท้วงรัฐบาลต่อไปในวันที่ 9 กันยายน ไม่หวั่นแม้จะมีเคอร์ฟิวหรือต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอาวุธครบมือ
ท่าทีแข็งกร้าวของผู้ชุมนุมกลุ่ม Gen Z ทำให้นายกรัฐมนตรี เค.พี. ชามาร์ โอลี ในวัย 73 ปีต้องยอมถอยด้วยการประกาศถอนคำสั่งปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ชั่วคราว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถูกกดดันจากคนในพรรคร่วมรัฐบาลจนต้องแถลงลาออกจากตำแหน่งในที่สุด
เค.พี. ชามาร์ โอลี
นายกฯ โอลีได้รับเลือกมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองรวมทั้งสิ้น 4 สมัย แต่การประท้วงของคน Gen Z ทำให้เขาต้องยอมจำใจเปิดทางให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในรัฐบาล โดยที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากคณะรัฐมนตรีนัดประชุมด่วนเพื่อหาทางสยบการประท้วงซึ่งลุกลามบานปลายสู่การนองเลือดและจลาจล
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ลาออกคนแรกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของผู้ชุมนุมไม่ใช่นายกฯ โอลี แต่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ราเมช เลคัก ซึ่งถูกกลุ่มผู้ชุมนุมประณามก่อนหน้านี้ว่าปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลว ไม่สามารถควบคุมหรือป้องกันการใช้อาวุธและการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้
ขณะเดียวกัน องค์กรสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเนปาลสอบสวนข้อเท็จจริงและหาทางดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบของประชาชน
บทวิเคราะห์จำนวนมากกล่าวถึงความยากลำบากของประชาชนเนปาลอย่างเข้าอกเข้าใจ เพราะนี่คือประเทศที่เพิ่งตั้งไข่ในระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยได้แค่ 17 ปีกว่าๆ แถมยังมีบาดแผลจากความขัดแย้งในอดีตที่ต้องแก้ไขอีกมาก
ทั้งหมดทำให้การเมืองภายในประเทศถูกแบ่งเป็นฝักฝ่ายและมีหลายขั้วอำนาจ
รัฐบาลเนปาลทุกชุดที่ผ่านมาต้องเจอกับสภาวะขาดเสถียรภาพ การผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างขั้วการเมืองต่างๆ ทำได้ยาก การขับเคลื่อนนโยบายจึงดำเนินไปอย่างล่าช้า หรือไม่ก็หยุดชะงักลงเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยได้เปิดโอกาสให้เนปาลได้รับความช่วยเหลือจากสหประชาชาติและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเพิ่มเติม ทั้งยังสามารถสานความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างราบรื่นขึ้น
ช่วงที่ขั้วอำนาจทางการเมืองพยายามก่อร่างสร้างประชาธิปไตยเนปาลให้เข้มแข็ง คน Gen Z จึงเติบโตมาในยุคสมัยที่มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการเรียนรู้เทคโนโลยีการสื่อสารออนไลน์ทันสมัยและก้าวไกลขึ้น ประกอบกับสภาพสังคมโดยรวมสงบกว่ายุคที่เกิดสงครามกลางเมือง ทำให้ประชากร Gen Z โดยเฉลี่ยมีทัศนคติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างจากคนยุคก่อนหน้า
ด้วยเหตุนี้ คนยุค Gen Z ในเนปาลจึงใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการแสดงความคิดเห็นของตัวเองที่มีต่อสังคม การเมือง และสภาพแวดล้อมรอบตัว จนกลายเป็นเรื่องปกติ
เมื่อรัฐบาลเนปาลพยายามจะเข้ามาควบคุมสื่อสังคมออนไลน์โดยอ้างว่าต้องการกำกับดูแลไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือการหลอกลวงออนไลน์ที่เข้าข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ จึงเจอกับการตั้งคำถามจากคน Gen Z ซึ่งเคยเจอกับการสอดส่องและตักเตือนจากหน่วยงานรัฐที่มีต่อผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ผู้ใช้สื่อหลายคนเชื่อว่าปลายทางของการเข้ามากำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์โดยภาครัฐก็คือการปิดปากผู้เห็นต่าง
แม้การประท้วงในวันที่ 8-9 กันยายนดูเหมือนใกล้จะคลี่คลายเพราะนายกฯ ยอมถอยด้วยการลาออกตามข้อเรียกร้อง แต่ผู้ชุมนุมบางส่วนประกาศกร้าวว่า ‘ยังไม่พอ’ เพราะพวกเขาต้องการให้รัฐบาลลาออกยกชุด พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ
ถ้ารัฐบาลเนปาลยอม ‘ถอยจนสุดซอย’ ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมจริงๆ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คือภาวะฝุ่นตลบทางการเมือง เพราะกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลไม่อาจสำเร็จได้โดยง่ายอยู่แล้วถ้าดูจากบทเรียนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ยิ่งการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าเท่าไร การดำเนินงานของภาครัฐในอีกหลายด้านก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการบริหารและพัฒนาประเทศ
สื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่ารัฐบาลเนปาลชุดนี้ที่เป็นการรวมตัวของพรรคการเมืองต่างขั้วอุดมการณ์ไม่อาจยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมอย่างมากมายถึงเพียงนั้น ทางเลือกหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้คือการใช้กำลังปราบปรามโดยไม่ฟังเสียงของผู้ชุมนุม และถ้าเหตุการณ์ดำเนินไปในทิศทางนั้น การปะทะนองเลือดสูญเสียชีวิตของผู้ชุมนุมจะเกิดขึ้นซ้ำรอย และจะนำไปสู่การตอบโต้กลับอย่างรุนแรงจากกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นกัน
สิ่งที่สะท้อนว่าความเดือดดาลของคน Gen Z พร้อมจะลุกลามบานปลายเกินควบคุมแทบทุกเมื่อคือกรณีที่ผู้ชุมนุมเผาทำลายบ้านในกรุงกาฐมาณฑุของอดีตนายกรัฐมนตรีชลานาถ คานาล ช่วงบ่ายวันที่ 9 กันยายน ทำให้ รายาลักษมี จิตรการ์ ภริยาของอดีตนายกฯ ถูกไฟคลอกเสียชีวิตเพราะติดอยู่ในบ้านพักขณะผู้ชุมนุมเข้าปิดล้อมและจุดไฟเผาพอดี
แม้จิตรการ์จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา แต่แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตของเธอได้เพราะบาดแผลไฟไหม้นั้นร้ายแรงเกินเยียวยาได้ทันเวลา เหตุการณ์อันเศร้าสลดครั้งนี้ทำให้ประธานาธิบดีรามจันทร ปาเดล ท้วงติงผู้ชุมนุมให้ยุติการใช้ความรุนแรงและยอมเจรจากับรัฐบาลเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งโดยเร็วที่สุด
อดีตกษัตริย์ชญาเนนทรา
การเคลื่อนไหวของคน Gen Z ไม่ใช่การประท้วงที่มีผู้เสียชีวิตครั้งแรกในเนปาลปี 2025 เพราะเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเคยมีการชุมนุมของกลุ่มรอยัลลิสต์ที่ต้องการรื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ ซึ่งการชุมนุมครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน โดยมีสาเหตุจากการเผาอาคารของกลุ่มผู้ชุมนุม
ทั้งนี้ เนปาลเกี่ยวพันกับระบอบกษัตริย์อย่างยาวนานกว่า 240 ปี เพราะราชวงศ์ศาหะเป็นผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นในปี 1768 และถูกปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนกระทั่งราชวงศ์ศาหะถูกยึดอำนาจในปี 1846 โดยตระกูล ‘รานา’ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางทรงอิทธิพลมาหลายชั่วคน และตระกูลรานาแต่งตั้งให้กษัตริย์เป็นประมุขในเชิงสัญลักษณ์ แต่อำนาจในการปกครองที่แท้จริงอยู่ในมือผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่สืบทอดกันทางสายเลือดเฉพาะคนในตระกูลรานาเท่านั้น
เนปาลตกอยู่ใต้การปกครองของตระกูลรานายาวนานถึง 104 ปีจนกระทั่งราชวงศ์ศาหะยึดอำนาจคืนได้สำเร็จในปี 1950 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในเนปาลและอินเดียช่วงที่มีการต่อสู้เพื่อประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมอังกฤษ
ราชวงศ์ศาหะ
หลังจากนั้นกษัตริย์มเหนทราแห่งราชวงศ์ศาหะก็ขึ้นครองราชย์ เป็นประมุขราชอาณาจักรเนปาลที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หลายประเทศทั่วโลกต้องดิ้นรนไปกับการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง บางประเทศเลือกประชาธิปไตย แต่บางประเทศเข้าสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ เนปาลในช่วงนั้นก็มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยจนทำให้เกิดการเลือกตั้งและได้รัฐบาลซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนหลากหลายกลุ่มเป็นครั้งแรกในปี 1951
ทว่ารัฐบาลและรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยเนปาลยุคแรกมีอายุสั้น หลังจากผ่านไปได้แค่ 9 ปี กษัตริย์มเหนทราก็ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ยกเลิกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และพาเนปาลเข้าสู่การปกครองแบบปัญจยัต (Panchayat) ซึ่งมี 3 เสาหลักที่ต้องเคารพรักษา ได้แก่ ศาสนาฮินดู ภาษาเนปาล และสถาบันกษัตริย์
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น เนปาลเป็นประเทศเล็กๆ ซึ่งถูกขนาบข้างด้วยอินเดียและจีน กระแสเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเนปาลจึงพลอยได้รับอิทธิพลจากกลุ่มการเมืองที่เคลื่อนไหวในสองประเทศนี้ไปด้วย จนเกิดการชุมนุมประท้วงที่ถูกเรียกขานว่า ‘การปฏิวัติของประชาชน’ ในปี 1990 ทำให้เนปาลรื้อฟื้นระบบรัฐสภาและเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคราชาธิปไตยอีกครั้ง
จนกระทั่งปี 1996-2006 เนปาลเผชิญกับสงครามกลางเมืองเพราะกลุ่มติดอาวุธลัทธิเหมาจับอาวุธขึ้นต่อต้านรัฐบาลและสถาบันกษัตริย์ โดยผู้สนับสนุนลัทธิเหมาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาชนรากหญ้าที่ถูกกดขี่จากแนวคิดเรื่องชนชั้นวรรณะที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูและการปกครองในระบอบกษัตริย์เมื่อครั้งอดีต การต่อสู้นองเลือดยาวนานนับสิบปีทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 16,000 คน
ระหว่างที่เนปาลเผชิญสงครามความขัดแย้ง ราชวงศ์ศาหะของเนปาลก็เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นเช่นกัน โดยสมาชิกราชวงศ์ 9 คนเสียชีวิตพร้อมกันในวันที่ 1 มิถุนายน 2001 รวมถึงกษัตริย์พิเรนทราและสมเด็จพระราชินีไอศวรรยา
สำนักพระราชวังขณะนั้นแถลงว่าสาเหตุของโศกนาฏกรรมเกิดจากมกุฎราชกุมารดิเพนทรา บุตรของกษัตริย์พิเรนทราและสมเด็จพระราชินีไอศวรรยา อยู่ในอาการมึนเมาระหว่างร่วมรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวที่วังนารยันหิติในกรุงกาฐมาณฑุ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ‘ปืนลั่น’ ใส่สมาชิกราชวงศ์ทั้งหมดจนเสียชีวิต
การชุมนุมต้อนรับกษัตริย์ชญาเนนทรา เมื่อเดือนมีนาคม 2025
ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานอ้างอิงความเห็นของแหล่งข่าวในสำนักพระราชวังที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ ระบุว่าสาเหตุแท้จริงของการเสียชีวิตเข้าข่ายการ ‘ฆาตกรรม’ สืบเนื่องจากมกุฎราชกุมารดิเพนทรามีประเด็นขัดแย้งกับครอบครัว
การสูญเสียสมาชิกราชวงศ์ครั้งใหญ่ทำให้เจ้าชายชญาเนนทรา ผู้เป็นน้องของกษัตริย์พิเรนทราได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์กเยนทราสืบทอดราชบัลลังก์แทน แต่ความนิยมของราชวงศ์ศาหะกลับตกต่ำลง เพราะกษัตริย์กเยนทราถูกวิจารณ์ว่า ‘ขาดบารมี’ จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนเท่ากษัตริย์พิเรนทรา เนื่องจากเคยมีเรื่องพัวพันเชิงชู้สาวและการใช้อำนาจในทางมิชอบ ราชวงศ์ศาหะในยุคต่อมาจึงเผชิญกับการประท้วงและเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ไปเสีย
กระแสต่อต้านราชวงศ์ศาหะที่ก่อตัวขึ้นหลังโศกนาฏกรรมปืนลั่น นำไปสู่การล้มล้างระบอบกษัตริย์เนปาลอย่างเป็นทางการในปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลเนปาลและกลุ่มกบฏลัทธิเหมายอมเจรจาสงบศึกวางอาวุธและจัดการเลือกตั้งครั้งใหญ่ทั่วประเทศ ทำให้เนปาลเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยและเกิดกระบวนการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับแรกออกมาในปี 2015
อย่างไรก็ดี รัฐบาลเนปาลในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาขาดเสถียรภาพ เพราะเกิดจากการรวมตัวของพรรคการเมืองต่างอุดมการณ์หลายกลุ่ม มีการเปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว 14 ชุด ทำให้กลุ่มรอยัลลิสต์ในเนปาล รวมถึงอดีตกษัตริย์กเยนทราที่กลายเป็นสามัญชนไปแล้ว แสดงความเห็นในเชิงเรียกร้องให้รื้อฟื้นระบอบกษัตริย์และการปกครองแบบปัญจยัตขึ้นมาอีกครั้ง ตลอดจนเรียกร้องให้ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติอีกด้วย
การชุมนุมของกลุ่มรอยัลลิสต์ในกรุงกาฐมาณฑุเมื่อเดือนมีนาคม 2025 มีผู้เข้าร่วมประมาณหมื่นคน ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่สุดของกลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองชุดนี้ แต่พอผู้ชุมนุมบางส่วนจุดไฟเผาทำลายอาคารบ้านเรือนในที่สาธารณะและมีผู้ถูกลูกหลงไฟคลอกเสียชีวิต 2 คน ทำให้กระแสต่อต้านกลุ่มรอยัลลิสต์เกิดขึ้นตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
อีกทั้งพรรค Rastriya Prajatantra Party (RPP) พรรคการเมืองเก่าแก่ของเนปาลซึ่งสนับสนุนระบอบกษัตริย์และก่อตั้งขึ้นในยุคที่เนปาลถูกปกครองแบบปัญจยัต ก็เป็นพรรคที่ไม่เคยได้เสียงข้างมากเลยในการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งที่พรรคประกาศจุดยืนชัดเจนเรื่องการรื้อฟื้นระบอบกษัตริย์และการกำหนดให้ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติ
การเลือกตั้งเนปาลครั้งล่าสุดซึ่งจัดขึ้นในปี 2022 พรรค RPP ได้คะแนนเป็นอันดับ 5 และไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาล จึงกลายเป็นฝ่ายค้านและมี สส.ในสภา 14 เสียงจากทั้งหมด 275 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร
ด้วยเหตุนี้ การผลักดันให้รื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ในเนปาลจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะในยุคที่คน Gen Z กำลังส่งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลเคารพและฟังเสียงประชาชนให้มากกว่าที่เป็นอยู่