Humberger Menu

รู้จัก ‘ทอมมี่ โรบินสัน’ แกนนำชุมนุมต่อต้านผู้อพยพที่อังกฤษ

การชุมนุม ‘Unite the Kingdom’ ซึ่งถูกจัดขึ้นในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025 อ้างอิงการประเมินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่ามีผู้เข้าร่วมประมาณ 110,000-150,000 คน ทั้งยังเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้มีผู้ถูกจับกุม 26 คน จากการก่อเหตุทำร้ายร่างกาย-ก่อกวนความสงบ ส่วนตำรวจที่บาดเจ็บเพราะถูกผู้ชุมนุมทำร้ายหรือขว้างขวดและวัตถุต่างๆ เข้าใส่มีอย่างน้อย 25 นาย

แม้การชุมนุมครั้งนี้จะถูกจัดขึ้นโดยระบุว่าวัตถุประสงค์คือ ‘การสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น’ แต่ผู้เข้าร่วมการชุมนุมส่วนใหญ่ชูป้ายต่อต้านผู้อพยพ ทั้งยังมีการร้องตะโกนคำขวัญให้ขับไล่ผู้อพยพออกจากแผ่นดินสหราชอาณาจักร รวมถึงมีผู้ที่เรียกร้องให้สังหาร เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบันอีกด้วย

เมื่อมองภาพรวมทั้งหมดจึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่การชุมนุม Unite the Kingdom จะถูกสื่อหลายสำนักเรียกว่าเป็นการชุมนุมของกลุ่มขวาจัดที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพและยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงกำจัดผู้เห็นต่าง 

ขณะเดียวกัน นี่ก็ยังเป็นการชุมนุมต่อต้านผู้อพยพที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา จนเกิดเป็นคำถามว่ากระแสต่อต้านผู้อพยพระลอกใหม่ในสหราชอาณาจักก่อตัวขึ้นได้อย่างไร และจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน

ทอมมี่ โรบินสัน คือใคร?

ผู้ยื่นเรื่องขอจัดการชุมนุม Unite the Kingdom คือ ‘สตีเฟน แยกซ์ลีย์-เลนนอน’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมมี่ โรบินสัน

อดีตว่าที่วิศกรการบินชาวอังกฤษ วัย 42 ปี ซึ่งเกิดและเติบโตในเมืองลูตัน และเริ่มต้นเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยสนับสนุนแนวคิดขวาจัดตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา 

แยกซ์ลีย์-เลนนอน แยกตัวออกจากพรรค British National Party หรือ BNP ซึ่งสนับสนุนแนวคิดเชิดชูคนผิวขาว (White Supremacist) เพื่อก่อตั้งกลุ่มชาตินิยม English Defence League (EDL) ในปี 2009 โดยประกาศจุดยืนในการต่อต้านอิสลามและผู้อพยพ และได้รับความสนับสนุนจากกลุ่มขวาจัดในสหราชอาณาจักรเป็นจำนวนไม่น้อย

ปัจจุบัน แยกซ์ลีย์-เลนนอน เป็นที่รู้จักในนาม ‘ทอมมี่ โรบินสัน’ ซึ่งเป็นนามแฝงที่เขานำมาจากชื่อจริงของผู้ก่อตั้งกลุ่มแฟนบอลฮูลิแกนในบ้านเกิด แต่นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าเขาเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้ถูกขุดคุ้ยประวัติที่เต็มไปด้วยคดีความมากมายของตัวเอง

แยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือ ทอมมี่ โรบินสัน

สื่อหลายสำนักได้ตีแผ่ประวัติคดีอาญาและคดีแพ่งของแยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือ ทอมมี่ โรบินสัน อย่างละเอียด โดยระบุว่าเขาเกือบได้เป็นวิศวกรการบินหลังเรียนจบ แต่ดันเมาและไปก่อเหตุทำร้ายร่างกายตำรวจนอกเครื่องแบบเมื่อปี 2005 เสียก่อน จึงถูกตัดสินจำคุกและถูกตัดอนาคตทางอาชีพวิศวกรไปด้วยเหตุนี้

หลังจากรับโทษในคดีแรก แยกซ์ลีย์-เลนนอนได้ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างประปา ก่อนจะก้าวเข้าสู่การเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี 2009 ซึ่งเขาร่วมก่อตั้งกลุ่ม EDL กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกหลายคนอย่างเป็นทางการ 

ภารกิจหลักของกลุ่ม EDL ในตอนนั้นคือการต่อต้าน ‘กลุ่มก่อการร้ายมุสลิม’ ที่แยกซ์ลีย์-เลนนอนเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่พยายามจะเผยแพร่ข้อมูลล้างสมองชาวอังกฤษ โดยเฉพาะคนในเมืองลูตันที่เป็นบ้านเกิดของเขา 

อย่างไรก็ดี แยกซ์ลีย์-เลนนอนได้ประกาศแยกตัวจากกลุ่ม EDL ในปี 2013 หลังจากเนื้อหารณรงค์ต่อต้านอิสลามของกลุ่ม EDL ถูกกล่าวอ้างอย่างยกย่องชื่นชมโดย แอนเดอส์ เบห์ริง เบรวิก ชาวนอร์เวย์ที่มีแนวคิดขวาสุดโต่ง ผู้ก่อเหตุกราดยิงในค่ายเยาวชนเมื่อปี 2012 จนกลายเป็นคดีสังหารหมู่ 77 ศพที่สะเทือนขวัญและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในนอร์เวย์

ผู้ชุมนุมถือป้ายต่อต้านฝ่ายซ้าย ANTIFA หรือ Anti-fascist

ทางด้านสื่อฝ่ายซ้ายในอังกฤษรายงานว่า การตั้งกลุ่ม EDL ของแยกซ์ลีย์-เลนนอนในตอนแรกพุ่งเป้าไปยังชุมชนชาวมุสลิมในเมืองลูตัน โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์โจมตีกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมในนามคำสั่งสอนของศาสดา ก่อนจะเกิดคดีความครั้งใหญ่ในปี 2018 ซึ่งเขาถูกฟ้องร้องจากการเผยแพร่คลิปของ จามาล ฮิจาซี เด็กนักเรียนชายเชื้อสายซีเรียในอังกฤษขณะถูกรุมทำร้ายร่างกาย 

แยกซ์ลีย์-เลนนอนระบุว่า ฮิจาซีถูกซ้อมเพราะเขาก่อเหตุละเมิดทางเพศเด็กหญิงชาวอังกฤษในโรงเรียนเดียวกัน แต่ครอบครัวของเด็กชายฮิจาซีปฏิเสธข้อกล่าวหาและฟ้องร้องแยกซ์ลีย์-เลนนอน ในข้อหาหมิ่นประมาทกับเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และเป็นฝ่ายชนะคดีนี้ในปี 2021 โดยศาลสั่งให้แยกซ์ลีย์-เลนนอน จ่ายค่าชดเชย 100,000 ปอนด์แก่ผู้เสียหาย 

แต่แยกซ์ลีย์-เลนนอนยังคงเผยแพร่ข้อมูลโจมตีฮิจาซีต่อไปหลังคำพิพากษา ทำให้เขาถูกตั้งข้อหาละเมิดคำสั่งศาลและถูกพิพากษาจำคุกเพิ่มเติม 18 เดือนในปี 2024 แต่ได้รับการลดโทษเหลือแค่ 4 เดือนต้นปี 2025 หลังจากทนายของเขายื่นร้องเรียนว่าการถูกแยกไปขังเดี่ยวในเรือนจำส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ แยกซ์ลีย์-เลนนอนยังได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ X ซึ่งโพสต์ข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัว ‘ทอมมี่ โรบินสัน’ ช่วงกลางปี 2025 หลังจากเขาถูกจับกุมอีกครั้งในฐานะ ‘ผู้ต้องสงสัย’ ว่ายั่วยุให้เกิดการทะเลาะวิวาทและก่อความรุนแรง

ข้อความโจมตี ทอมมี่ โรบินสัน ว่าเป็นหน่วย MOSSAD ของอิสราเอล

แม้จะมีประวัติที่โชกโชนด้วยคดีความมากมาย แต่ปัจจุบันแยกซ์ลีย์-เลนนอนยังได้รับความนิยมไม่น้อยจากผู้มีแนวคิดขวาจัดในสหราชอาณาจักร โดย BBC และ CBS News รายงานว่าอินฟลูฯ ฝ่ายขวาคนนี้สามารถหารายได้เป็นจำนวนมากจากเงินบริจาคของกลุ่มผู้มีแนวคิดขวาจัดทั่วยุโรป และเขายังใช้ชีวิตหรูหราไปพร้อมกับการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง แต่เวลาขึ้นปราศรัยปลุกระดมในที่สาธารณะเขามักจะกล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นประชาชนคนธรรมดาที่ต้องเผชิญความยากลำบากไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่

ขณะที่ผู้สนับสนุนแยกซ์ลีย์-เลนนอนจำนวนไม่น้อยมองว่าเขาคือปากเสียงของคนส่วนใหญ่ที่ถูกรัฐบาลมองข้าม แต่กลับต้องอยู่อย่างหวาดหวั่นต่อภัยคุกคามที่เกิดจากคนต่างชาติ และแยกซ์ลีย์-เลนนอนคือผู้ที่ยืนหยัดต่อต้านผู้อพยพตลอดมา ทั้งยังเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์และประณามเครือข่ายชายชาวอังกฤษเชื้อสายเอเชียใต้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายล่อลวงเด็ก ซึ่งหลายกรณีเกี่ยวพันกับการแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม

ทำไมกระแสต่อต้านผู้อพยพระลอกใหม่ถึงถูกจุดติดในสหราชอาณาจักร

การต่อต้านผู้อพยพไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ประเด็นนี้ปะทุขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่กลุ่มการเมืองขวาจัดรณรงค์ให้สหราชอาณาจักรถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เมื่อปี 2006 และกลายเป็นปรากฏการณ์ Brexit ที่ส่งผลกระทบตามมามากมาย

หนึ่งในเหตุผลต่อต้านผู้อพยพของกลุ่มสนับสนุน Brexit เกิดจากเงื่อนไขที่ระบุให้พลเมืองในประเทศสมาชิก EU สามารถเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนได้โดยไม่ต้องขอเข้าประเทศ ทำให้คนอังกฤษจำนวนมากสั่งสมความไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าคนต่างชาติเหล่านี้เข้ามาแย่งโอกาสในการประกอบอาชีพการงานของพลเมืองเจ้าของประเทศ

อย่างไรก็ดี กระแสต่อต้านผู้อพยพแผ่วลงไปหลังสหราชอาณาจักรเริ่มกระบวนการถอนตัวออกจาก EU และมีวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า Brexit ทำให้สหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบอย่างหนักเรื่องแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดและบุคลากรด้านสาธารณสุขจำนวนมากที่เป็นชาวต่างชาติตัดสินใจเดินทางออกนอกสหราชอาณาจักร และทางการไม่สามารถหาบุคลากรในประเทศมาแทนที่ได้ทันเวลา

จนกระทั่งปีที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและค่าเงินเฟ้อเรื้อรังต่อเนื่องจนคนอังกฤษจำนวนมากรู้สึกว่าการที่รัฐบาลแบกรับภาระในการดูแลและจัดหาที่พักให้ผู้อพยพลี้ภัยซึ่งข้ามแดนมาจากประเทศต่างๆ ในแถบยุโรปเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น และกลายเป็นกระแสต่อต้านผู้อพยพที่ ‘จุดติด’ ในระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

เมื่อประกอบกับการเผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ตรวจสอบผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มขวาจัด ก็ยิ่งทำให้ความไม่พอใจของชาวอังกฤษที่มีต่อผู้อพยพทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการประท้วงผู้อพยพลุกลามบานปลายกลายเป็นการจลาจลในหลายเมืองปลายปี 2024 เกิดจากสื่อออนไลน์ของกลุ่มขวาจัดอ้างว่าผู้ก่อเหตุฆาตกรรมเด็กหญิงผิวขาวชาวอังกฤษ 3 คนในเมืองเซาท์พอร์ทในเดือนกรกฎาคมปีนั้นคือผู้อพยพที่กำลังยื่นเรื่องขอพำนักถาวรในอังกฤษ ทั้งที่ความเป็นจริงผู้ก่อเหตุคือพลเมืองอังกฤษเชื้อสายไนจีเรียที่เกิดและโตในเมืองคาร์ดิฟ 

ส่วนชนวนเหตุที่นำไปสู่การชุมนุมต่อต้านผู้อพยพครั้งใหญ่ล่าสุดในวันที่ 13 กันยายน 2025 เริ่มจากคดีที่ผู้อพยพชายรายหนึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดทางเพศเด็กนักเรียนหญิงชาวอังกฤษในเมืองเอปพิงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเมืองนี้คือหนึ่งในเมืองย่านชานกรุงลอนดอนที่รัฐบาลใช้โรงแรมเอกชนในท้องถิ่นเป็นที่พำนักชั่วคราวของผู้อพยพที่กำลังรอการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัยในสหราชอาณาจักร

แม้ผู้อพยพชายคนนั้นจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและยังต้องรอการพิจารณาคดีของศาล แต่ประชาชนในเมืองเอปพิงที่รู้สึกหวาดกลัวต่อ ‘ภัยคุกคาม’ ได้รวมตัวประท้วงผู้อพยพพร้อมทั้งนำเรื่องนี้ไปยื่นต่อศาลในท้องถิ่น 

ผลปรากฏว่าผู้พิพากษาได้ตัดสินให้การใช้โรงแรมเป็นที่พักพิงของผู้อพยพนั้นเข้าข่ายการใช้โรงแรม ‘ผิดวัตถุประสงค์’

คำตัดสินของศาลท้องถิ่นทำให้ผู้ชุมนุมยกระดับการเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลท้องถิ่นขับไล่ผู้อพยพออกไปจากชุมชนโดยเร็วที่สุด แต่รัฐบาลท้องถิ่นก็ยังต้องทำตามนโยบายรัฐบาลกลางชุดปัจจุบันซึ่งยืนกรานว่าสหราชอาณาจักรมีพันธกิจตามกฎหมายระหว่างประเทศในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ยื่นเรื่องขออพยพลี้ภัย และไม่อาจผลักดันกลุ่มคนเหล่านี้ออกไปได้โดยไม่มีแผนใดๆ รองรับอย่างที่เป็นอยู่ได้

ท่าทีของรัฐบาลทำให้เกิดแรงต่อต้านอย่างหนักข้อขึ้นในเมืองเอปพิงและค่อยๆ ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ ที่มีการเปิดโรงแรมให้ผู้อพยพพักพิง

ประเด็นหนึ่งที่พลเมืองอังกฤษรู้สึกว่า ‘ไม่เป็นธรรม’ คือการได้เห็นผู้อพยพลี้ภัยได้รับการคุ้มครอง มีอาหารการกินครบทุกมื้อ และได้อยู่อย่างสุขสบายในโรงแรม ขณะที่ประชาชนคนธรรมดาที่เป็นพลเมืองในประเทศกลับต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากในแต่ละวัน จึงเป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่ทำให้การชุมนุมต่อต้านผู้อพยพในกรุงลอนดอนจุดติดและกลายเป็นการชุมนุมมีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในรอบหลายปี  

Gen Z ที่เริ่มเอียงขวา

มีผลสำรวจความคิดเห็นที่บ่งชี้ว่า คน Gen Z ในสหราชอาณาจักรเป็นอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มจะหันไปสนับสนุนแนวคิดขวาจัดและขวาสุดโต่งเพิ่มขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มั่นคง และรู้สึกว่ากระบวนการในระบอบประชาธิปไตยล่าช้าและไม่ตอบโจทย์ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

ผู้จัดทำโพลสำรวจความเห็นดังกล่าวคือ Channel 4 สื่อกระแสหลักของอังกฤษ ซึ่งระบุว่าสัดส่วนของประชากร Gen Z ที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องการใช้ ‘อำนาจผู้นำ’ จัดการนโยบายต่างๆ อย่างเด็ดขาดมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยคนกลุ่มนี้ให้เหตุผลว่าการต้องทำตามพันธกิจหรือนโยบายสาธารณะต่างๆ ที่ส่วนรวมต้องร่วมแบกรับเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล

ที่สำคัญ คน Gen Z เกือบครึ่ง หรือ 47 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม มองว่าสภาพการเมืองและสถาบันหลักต่างๆ ในสหราชอาณาจักรสมควรถูกปฏิรูปใหม่หมดจากฐานราก ในขณะที่อีก 52 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าสหราชอาณาจักรจะดีกว่าเดิมถ้ามีผู้นำที่เข้มแข็งเด็ดขาดซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเลือกตั้งหรือระบบรัฐสภาก็ได้ และอีก 33 เปอร์เซ็นต์มองว่าการให้กองทัพเข้ามาบริหารประเทศจะดีกว่าการปกครองโดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ทว่าผลสำรวจความเห็นของ Channel 4 ก็ถูกโต้แย้งจากนักวิเคราะห์การเมืองบางรายที่รายงานผ่านสื่อที่มีแนวคิดฝ่ายซ้ายของอังกฤษ 

ทั้งนี้ The Guardian ระบุว่าสัดส่วนประชากรกลุ่ม Gen Z ที่สนับสนุนแนวคิดขวาจัดหรือมีความโน้มเอียงไปทางระบอบเผด็จการที่ปรากฏในโพลดังกล่าวอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนหน้า แต่ถ้านำไปเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดแล้วจะคิดเป็น 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับสัดส่วนของแนวร่วมกลุ่มขวาจัดในประชากรกลุ่มอื่นๆ ที่มีอายุเฉลี่ยมากกว่า Gen Z 

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ