Humberger Menu

โทนี แบลร์ กับบทบาทในกาซา

Content

Powered by Froala Editor

แผนสันติภาพของ โดนัลด์ ทรัมป์

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ก่อนจะเกิดเหตุขบวนเรือ GSF ถูกสกัดได้มีการพูดถึงแนวทางยุติสงครามกาซาโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล

เบนจามิน เนทันยาฮู และ โดนัลด์ ทรัมป์

ผู้นำทั้งสองได้พบปะและหารือกันที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ ปลายเดือนกันยายน 2025 หลังจากนั้นก็ร่วมกันแถลงข่าวว่าทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงที่จะร่วมผลักดัน ‘กระบวนการสันติภาพกาซา’ เพื่อยุติสงครามโดยเร็วที่สุด พร้อมเปิดเผยร่างแผนสันติภาพกาซาต่อสาธารณชนและสื่อกระแสหลัก แต่ขณะเดียวกันก็แถลงขู่ว่า ถ้ากลุ่มติดอาวุธฮามาสไม่ยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ในแผนสันติภาพ สหรัฐฯ กับอิสราเอลก็ไม่ลังเลที่จะ ‘จบเกม’ ด้วยการใช้กำลังอาวุธกวาดล้างฮามาสให้หมดไปจากกาซา 

แผนสันติภาพกาซาที่รัฐบาลทรัมป์กับเนทันยาฮูประกาศจะผลักดันร่วมกันมีเงื่อนไขทั้งหมด 20 ข้อ จึงถูกเรียกว่า ‘20-Point Gaza Peace Plan’ และมีเงื่อนไขหนึ่งที่ระบุว่าผู้กำกับดูแลแผนสันติภาพในระยะเปลี่ยนผ่านก็คือ ‘คณะกรรมการสันติภาพกาซา’ หรือ Gaza Peace Board ซึ่งทรัมป์จะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการด้วยตนเอง 

นอกเหนือจากทรัมป์ที่นั่งเก้าอี้ประธาน ผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการสันติภาพกาซารายอื่นๆ ก็คือผู้นำประเทศหรือผู้นำทางการเมืองซึ่งได้รับการยอมรับในทางสากล และบุคคลที่ถูกระบุชื่อโดยตรงเพียงรายเดียวในแผนสันติภาพครั้งนี้คือ โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งเคยนำพาประเทศเข้าร่วมในสงครามอิรักสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำรงตำแหน่งผู้นำอเมริกันหลังเหตุวินาศกรรม 911

โทนี แบลร์

ชื่อของแบลร์ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาทันที แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าแบลร์คือผู้ที่เหมาะสมแล้วในการเป็นคณะกรรมการสันติภาพกาซา ทั้งยังมีแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อระบุว่าแบลร์ถูกวางตัวให้เป็น ‘ผู้นำรัฐบาลรักษาการณ์ของกาซา’ หลังอิสราเอลและฮามาสยอมรับข้อตกลงสันติภาพร่วมกันได้ ซึ่งข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาอีกหลายประเด็นในสื่อกระแสหลักว่าแบลร์คือผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจริงหรือไม่ 

Powered by Froala Editor

ย้อนรอย ‘โทนี แบลร์’ จาก ‘ผู้ยุติความขัดแย้ง’ สู่ ‘ผู้กระหายสงคราม’

โทนี แบลร์ เป็นอดีตผู้นำพรรคแรงงานที่คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 1997 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้รับชัยชนะเหนือพรรคอนุรักษนิยมฝ่ายขวา และเขายังนั่งเก้าอี้นายกฯ ติดต่อกันยาวนานนับสิบปีก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2007


สมัยแรกที่แบลร์ดำรงตำแหน่งนายกฯ เขามีผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ลดการควบคุมกิจการต่างๆ โดยภาครัฐและปรับบทบาทของสหภาพแรงงานให้ยึดแนวทางสายกลางเพื่อกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมากขึ้น รวมถึงการขยายขอบเขตการบริการภาคสาธารณะให้ครอบคลุมกว่าเดิม โดยเฉพาะการทำงานของสาธารณสุข

ส่วนผลงานด้านการยุติความขัดแย้งที่สำคัญของแบลร์คือการผลักดันกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ จนนำไปสู่การบรรลุข้อตกลง Good Friday ซึ่งทำให้การปะทะถึงขั้นนองเลือดระหว่างกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งต้องการให้ไอร์แลนด์เหนือเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไอร์แลนด์ กับกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ซึ่งมองว่าไอร์แลนด์เหนือคือส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นความขัดแย้งยืดเยื้อยาวนานกว่า 30 ปี สามารถยุติลงได้ในที่สุด

ภาพลักษณ์ของแบลร์ในการดำรงตำแหน่งนายกฯ สมัยแรกจึงผูกโยงกับการเป็นผู้ผลักดันสันติภาพและเป็นนักสันติวิธี แต่ในวาระการดำรงตำแหน่งสมัยถัดมา เขากลับกลายเป็นผู้นำสุดอื้อฉาวที่นำพาประเทศเข้าร่วมสงครามอิรักกับสหรัฐฯ ยุคประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งประกาศทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายทั่วโลกหลังเกิดเหตุวินาศกรรม 911

โทนี แบลร์ และ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

หนึ่งในเหตุผลที่บุชส่งทหารอเมริกันและประเทศพันธมิตรเข้าร่วมสู้รบในอิรักก็คือการกำจัด ‘อาวุธทำลายล้างสูง’ (Weapon of Mass Destruction: WMD) ที่รายงานจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ยุคนั้นอ้างว่าผู้นำเผด็จการอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน พยายามพัฒนาและครอบครองอย่างผิดกฎหมาย

สงครามอิรักกินเวลานาน 10 ปี มีผู้เกี่ยวข้องเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งที่เป็นทหารอเมริกันและพลเรือนจากประเทศพันธมิตรสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงผู้คนจากสหราชอาณาจักรด้วย แต่สุดท้ายแล้วรัฐบาลสหรัฐฯ กลับไม่อาจหาหลักฐานใดๆ ที่พิสูจน์ได้ว่าอาวุธทำลายล้างสูงของ ซัดดัม ฮุสเซน นั้นมีอยู่จริง 

จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

ชื่อเสียงในฐานะผู้ผลักดันสันติภาพของแบลร์จึงด่างพร้อย และกลายสภาพเป็นผู้นำกระหายสงคราม ส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคแรงงานตกต่ำลงด้วย ถึงแม้พรรคจะยังชนะเลือกตั้งในปี 2005 แต่จำนวนที่นั่งในสภาซึ่งลดลงไปไม่น้อยก็ทำให้แบลร์ต้องก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2007 เพื่อคลายความตึงเครียดทางการเมือง

นอกจากนี้ รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีการต่างประเทศในสมัยรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐฯ ยังออกมาแถลงยอมรับภายหลังว่าการบุกอิรักด้วยเหตุผลเรื่องอาวุธทำลายล้างสูงคือ ‘ความผิดพลาดทางการข่าว’ แบลร์จึงเป็นอีกคนที่ถูกกระแสสังคมกดดันให้ออกมาแถลงขออภัยหลังจากคณะกรรมาธิการรัฐสภาของรัฐบาลอังกฤษยุคต่อมาได้ดำเนินการไต่สวนและสรุปว่าการเข้าร่วมสงครามอิรักไม่ส่งผลดีต่อประเทศชาติแต่อย่างใด

การนำสหราชอาณาจักรเข้าร่วมในสงครามอิรักซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้แบลร์ถูกมองเป็น ‘ผู้ร้าย’ ในสายตาชาวอาหรับอีกเป็นจำนวนมาก แต่แบลร์ก็พยายามจะแก้ไขสถานการณ์หลังลาออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยเขายอมรับตำแหน่ง ‘ทูตพิเศษตะวันออกกลาง’ Special Envoy of the Quartet on the Middle East ซึ่งได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหภาพยุโรป (EU) รัสเซีย และสหประชาชาติ (UN) ช่วงปี 2007 ถึงปี 2015 

สงครามอิรัก

ด้วยเหตุนี้ พลเมืองในประเทศอาหรับจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงคนชาวปาเลสไตน์ทั้งในฝั่งกาซาและเวสต์แบงก์ จึงมองว่าแบลร์ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการผลักดันกระบวนการสันติภาพกาซา แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังมองว่าแบลร์คือผู้มีประสบการณ์ในด้านนี้มากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้นำกลุ่มประเทศทรงอิทธิพลคนอื่นๆ รวมถึงมองว่าแบลร์คือผู้นำที่รู้จักประนีประนอมมากกว่าทรัมป์และเนทันยาฮูแน่นอน 

เรื่องที่นักวิเคราะห์กังวลจึงไม่ใช่ความสามารถในการเป็นผู้นำการเจรจาไกล่เกลี่ยของแบลร์ แต่เป็นเรื่องที่เขามีภาพลักษณ์ ‘พันธมิตรที่ดีของสหรัฐฯ’ มาโดยตลอด ถึงขั้นที่เคยถูกมองเป็นลูกไล่ของอดีตรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู. บุช 

เมื่อต้องมารับตำแหน่งที่ต้องคำนึงถึงผู้ขัดแย้งทุกฝ่าย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่แบลร์จะถูกตั้งคำถามว่าพร้อมเป็นปากเสียงให้กับชาวปาเลสไตน์ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะจุดยืนของแบลร์นั้นอิงแอบกับสหรัฐฯ และอิสราเอลอย่างแนบแน่น

ประเด็นที่ต้องจับตามองต่อจากนี้จึงไม่ได้มีแค่แถลงการณ์ของผู้นำประเทศต่างๆ ที่ออกมาสนับสนุนแผนสันติภาพของทรัมป์ แต่ยังรวมไปถึงท่าทีของกลุ่มฮามาสว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธเงื่อนไขสันติภาพ 20 ข้อ 

นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาอีกว่าบทบาท ‘ว่าที่ผู้นำรัฐบาลรักษาการณ์’ ของแบลร์ภายใต้การควบคุมของทรัมป์จะสร้างความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายได้หรือไม่ เพราะในกรณีที่ฮามาสปฏิเสธแผนสันติภาพก็อาจจะนำไปสู่การยกระดับปฏิบัติการทางทหารจากฝั่งอิสราเอล ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชนปาเลสไตน์แต่อย่างใด ทั้งยังจะซ้ำเติมชะตากรรมของผู้คนในกาซาให้ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่

Powered by Froala Editor

เมื่ออังกฤษคือ ‘รากเหง้าความขัดแย้ง’ อิสราเอล-ปาเลสไตน์

ท่ามกลางเสียงคัดค้านการเสนอชื่อ โทนี แบลร์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสันติภาพกาซา มีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายรายที่มองว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักร และอดีตผู้นำอย่างแบลร์ควรเข้าไปรับผิดชอบแผนสันติภาพกาซามากที่สุด เพราะอาณานิคมอังกฤษในอดีตคือหนึ่งในรากเหง้าปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์

ย้อนไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิอังกฤษได้ยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ และดินแดนอาณานิคมอังกฤษส่วนนี้ได้กลายเป็นรัฐอิสราเอลและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน แต่กระบวนการรับรองสถานะรัฐของกลุ่มคนสองเชื้อชาติที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในอิสราเอล-ปาเลสไตน์กลับไม่ดำเนินไปตามแผนการที่จักรวรรดิอังกฤษเคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้

ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 กลุ่มชาวยิวในตะวันตกซึ่งรวมตัวในนามขบวนการ ‘ไซออนนิสต์’ (Zionist) เรียกร้องให้อังกฤษสนับสนุนการย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในดินแดนแห่งพันธสัญญา โดยอ้างอิงจากพระคำภีร์ ซึ่งก็คือดินแดนปาเลสไตน์ในอาณัติของจักรวรรดิอังกฤษช่วงนั้น และคำขอของไซออนนิสต์ได้รับการเห็นชอบจากรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ จนนำไปสู่โครงการจัดตั้ง ‘บ้านแห่งชาติของชาวยิว’ (Jewish National Home) ในปาเลสไตน์

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ตัวแทนเจ้าอาณานิคมอังกฤษก็ให้คำมั่นสัญญากับกลุ่มผู้นำชนชาติอาหรับเช่นกันว่าจะสนับสนุนเอกราชอาหรับ (รวมถึงชาวปาเลสไตน์) เพื่อตอบแทนที่กลุ่มชนชาติอาหรับในตะวันออกกลางร่วมมือกับอังกฤษในการต่อสู้กับจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเรืองอำนาจในดินแดนแถบนี้มานาน

อย่างไรก็ดี ก่อนที่อาณาจักรออตโตมันจะล่มสลาย อังกฤษได้อนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้าสู่ปาเลสไตน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงนาซีเยอรมนีขึ้นสู่อำนาจและก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวไปจำนวนมาก ทำให้ประชากรเชื้อสายยิวในดินแดนปาเลสไตน์ในอาณัติของอังกฤษเพิ่มจากไม่กี่หมื่นคนตอนต้นศตวรรษที่ 20 กลายเป็นกว่า 600,000 คนภายในปี 1947 ซึ่งเป็นช่วงที่อังกฤษเตรียมถอนตัวจากตะวันออกกลาง

ชาวอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์รู้สึกถูกคุกคามทั้งเรื่องที่ดินที่ถูกเบียดบังไปให้ชาวยิวที่เพิ่งอพยพเข้ามาก่อตั้งถิ่นฐาน ทั้งยังมีประเด็นความแตกต่างทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ จนเกิดการลุกฮือต่อต้านทั้งอังกฤษและชาวยิวหลายต่อหลายครั้ง 

อังกฤษไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอาหรับ-ยิวในดินแดนปาเลสไตน์ได้ จึงส่งเรื่องไปให้สหประชาชาติ (UN) ช่วยพิจารณาหาแนวทางยุติความขัดแย้งแทน ซึ่งที่ประชุมประเทศภาคีในปี 1947 เสนอแผนแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ในอาณัติของอังกฤษให้เป็นรัฐยิวและรัฐอาหรับ แต่กลุ่มตัวแทนชนชาติอาหรับไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เรื่องราวจึงยังคาราคาซังหาข้อยุติไม่ได้

แต่อังกฤษไม่รอให้ความขัดแย้งยุติลงก็ประกาศถอนตัวจากดินแดนปาเลสไตน์ ทิ้งภาระให้ชนชาติยิวและอาหรับหาทางแก้ปัญหากันเอาเอง 

สิ่งที่ตามมาหลังอังกฤษถอนตัวคือชนชาติยิวประกาศก่อตั้ง ‘รัฐอิสราเอล’ และประกาศเอกราชในปี 1948 โดยได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลอังกฤษ แต่ชนชาติอาหรับที่ไม่พอใจลุกฮือขึ้นต่อต้านจนกลายเป็นสงครามอาหรับ–อิสราเอลครั้งที่ 1

หลังจากสงครามครั้งนั้น อิสราเอลและชนชาติอาหรับได้ทำสงครามและปะทะกันทางอาวุธอีกหลายครั้ง นำไปสู่การสูญเสียดินแดนหลายส่วนของปาเลสไตน์ให้กับอิสราเอล แม้ UN จะพยายามผลักดัน ‘แนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐ’ ด้วยการรองรับทั้งสถานะรัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะหลายประเทศไม่ยอมรองรับสถานะของรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ  

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายประเทศลังเลที่จะรับรองสถานะรัฐปาเลสไตน์ถูกวิเคราะห์ว่ามาจากท่าทีของรัฐบาลประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร ซึ่งหนุนหลังอิสราเอลมากกว่า ทำให้ประเทศอาหรับหันไปสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่ต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราชปาเลสไตน์ โดยหลายกลุ่มยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน 

ฮามาสเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มติดอาวุธที่มีทั้งฝ่ายนักรบและฝ่ายการเมือง ทั้งยังเป็นคู่ขัดแย้งหลักกับอิสราเอลในขณะนี้ โดยฮามาสแตกหักกับกลุ่มฟาตาห์ซึ่งเคยเป็นแกนนำการต่อสู้เรียกร้องเอกราชปาเลสไตน์ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 โดยฝ่ายทหารของฮามาสได้นำกำลังเข้ายึดครองดินแดนฝั่งปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาในปี 2008 และในปฏิบัติการหลายครั้งก็ใช้วิธีก่อวินาศกรรมตอบโต้อิสราเอลซึ่งสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ และการก่อเหตุเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ก็เป็นชนวนเหตุของสงครามกาซาในปัจจุบัน 

Powered by Froala Editor

สหรัฐฯ จะได้อะไรจากแผนสันติภาพกาซา 20 ข้อ

แผนสันติภาพกาซา 20 ข้อที่ริเริ่มโดยรัฐบาลสหรัฐฯ และอิสราเอลซึ่งเผยแพร่ผ่านสื่อบ่งชี้ว่าเงื่อนไขสำคัญคือดินแดนกาซาจะต้องปลอดพ้นจากการกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งหมายถึงฝ่ายการทหารของฮามาส ส่วนอิสราเอลต้องถอนทหารและผู้คนออกจากดินแดนฝั่งปาเลสไตน์

แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากที่สุดคือเงื่อนไขเกี่ยวกับการฟื้นฟูสาธารณูปโภคและเศรษฐกิจในกาซา

นอกจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการสันติภาพกาซาโดยอัตโนมัติแล้ว ในแผนสันติภาพ 20 ข้อยังระบุด้วยว่า คณะกรรมการสันติภาพนี้จะเป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการระบอบการเมืองและเขตเศรษฐกิจพิเศษในดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งก็ยังคลุมเครือว่าหมายถึงแค่กาซาหรือรวมถึงเขตเวสต์แบงก์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐบาลปาเลสไตน์ชุดปัจจุบันด้วย

นักวิเคราะห์ในสื่อตะวันตกมองว่า สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเข้าไปจัดการกับสัมปทานในกาซาหรืออาจจะเป็นดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมดเหมือนกับที่เคยเข้าไปจัดการทรัพยากรและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ให้อิรักหลังจากที่กองทัพอเมริกันและพันธมิตรขับไล่ ซัดดัม ฮุสเซน จนพ้นไปจากตำแหน่ง และตัดสินลงโทษเขาในฐานะอาชญากรสงครามในเวลาต่อมา

นักวิเคราะห์อ้างอิงรายงานการไต่สวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาอเมริกันหลังยุคสงครามอิรักที่ระบุชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากสงครามอิรักมากที่สุดคือบริษัทเอกชนสัญชาติอเมริกันที่ได้รับสัมปทานด้านความมั่นคง พลังงาน และการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขึ้นใหม่ในอิรัก 

บริษัทเอกชนเหล่านั้นมากกว่าครึ่งมีเครือข่ายโยงใยกับคนในอดีตรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และมีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการหลายรายในข้อหาทุจริต ติดสินบน และใช้ตำแหน่งเส้นทางทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว 

เมื่อมีการกล่าวถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษในกาซา แต่รัฐบาลสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร เป็นผู้มีสิทธิ์จัดการร่วมกับตัวแทนชาวปาเลสไตน์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักวิเคราะห์จะตั้งข้อสงสัยว่านี่อาจเป็นการปูทางให้ธุรกิจเอกชนของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนและทำกำไรเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอิรัก โดยเฉพาะบริษัทในเครือของ จาเรด คุชเนอร์ ลูกเขยของทรัมป์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านตะวันออกกลางของประธานาธิบดีผู้เป็นพ่อตามาก่อน

ประเด็นเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคลุมเครือไม่แน่นอนในแผนสันติภาพ 20 ข้อที่ไม่รู้ว่าจะทำให้กาซาสงบลงหรือว่าจะสร้างความปั่นป่วนจนเกิดแรงต่อต้านยิ่งกว่าเดิม

Powered by Froala Editor

Share
สร้างสรรค์โดย
creator
ตติกานต์ เดชชพงศ