
การกวาดล้างองค์กรอาชญากรรมใน ‘ฟาเวลา’ (favela) หรือสลัม 2 แห่งในบราซิล ได้แก่ อาเลมาว (Complexo do Alemão) และเปญญา (Complexo da Penha) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 โดยมีตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยจู่โจมพิเศษเข้าร่วมมากถึง 2,500 นาย หลังจาก เคลาดิโอ กัสโตร ผู้ว่าการรัฐ รีโอ เด จาเนโร คนปัจจุบัน อนุมัติแผนกวาดล้างยาเสพติดภายในรัฐอย่างเป็นทางการก่อนหน้านั้นไม่นาน
ปฏิบัติการครั้งนี้กลายเป็นเหตุนองเลือดซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 132 คน และเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงสุดเมื่อเทียบกับปฏิบัติการแบบเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาของบราซิล โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตยังรวมถึงตำรวจ 4 นาย ที่เหลือคือผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกของแก๊ง Red Command หรือ Comando Vermelho (CV) องค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ซึ่งเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ ของบราซิล
ผู้ว่าการรัฐรีโอฯ ประกาศว่าปฏิบัติการครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี พร้อมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่มีส่วนร่วม และได้รับเสียงชื่นชมกล่าวขวัญจากประชาชนบราซิลจำนวนมากที่สนับสนุนมาตรการกวาดล้างขั้นเด็ดขาดเพื่อรักษาความปลอดภัยในนครรีโอฯ ก่อนที่บราซิลจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติด้านสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 หรือ COP30 ระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2025
อย่างไรก็ดี ประชาชนนับพันคนได้รวมตัวประท้วงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ท่ามกลางร่างผู้เสียชีวิตนับร้อยซึ่งถูกปล่อยวางเรียงรายบนถนนกลางชุมชนที่เกิดเหตุ
ผู้ชุมนุมประณามว่าปฏิบัติการครั้งนี้คือการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เปรียบได้กับ ‘การสังหารหมู่’ ที่ไร้ความเป็นธรรม และไม่ใช่การทำสงครามยาเสพติด (war on drug) เช่นที่ผู้ว่าฯ กัสโตร ได้กล่าวอ้าง เพราะนี่คือการทำสงครามกวาดล้าง ‘คนจน’ มากกว่า
Powered by Froala Editor
ที่จริงแล้วการทำสงครามยาเสพติดไม่ใช่นโยบายใหม่ในบราซิล แต่เป็นหนึ่งในนโยบายหลักซึ่งอยู่คู่กับรัฐบาลบราซิลหลายสมัยมายาวนานเกือบ 50 ปี แต่นโยบายนี้ถูกวิจารณ์และถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลของรัฐบาลสหราชอาณาจักรซึ่งสำรวจเรื่ององค์กรอาชญากรรมในบราซิลระบุว่า แก๊งเถื่อนในบราซิลมีจำนวนมากกว่า 80 แก๊งในปี 2024 และเครือข่ายอิทธิพลนอกกฎหมายเหล่านี้มีส่วนคุกคามความเป็นอยู่ของประชาชนบราซิลจนต้องทำเรื่องขอลี้ภัยในต่างแดน ทำให้สหราชอาณาจักรพยายามกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการพิจารณามอบสถานะหรือช่วยเหลือผู้ที่ต้องการขอลี้ภัยในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องร้อนๆ ภายในประเทศหนึ่งไม่ได้เป็นแค่ ‘กิจการภายใน’ แต่ยังเกี่ยวพันกับประเทศอื่นในประชาคมโลกด้วย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยาเสพติดและความรุนแรงยังเป็นปัญหาเรื้อรังในบราซิลแม้จะมีการใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามกลุ่มก่อเหตุอย่างรุนแรงหลายครั้ง ไม่ได้เป็นผลจากอิทธิพลขององค์กรอาชญากรรมเพียงอย่างเดียว
องค์กรสำรวจข้อมูลอาชญากรรม Insight Crime รายงานว่า การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งรู้เห็นเป็นใจและรับส่วยรับสินบนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมผิดกฎหมายเหล่านั้นเสียเอง นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ การเลือกปฏิบัติ และละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหลักสากล
ปฏิบัติการกวาดล้างชุมชนอาเลมาวและเปญญาในนครรีโอเดจาเนโรครั้งล่าสุดก็ถูกวิจารณ์เรื่องความชอบธรรม เพราะผู้เสียชีวิตจำนวนมากถูกวิสามัญฆาตกรรมทันที แม้ผู้ว่าการรัฐและโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งรัฐรีโอฯ จะยืนยันว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดคือสมาชิกของแก๊งเรดคอมมานด์ (CV) และผู้ขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผู้ประท้วงหลายรายโต้แย้งว่าประชาชนมือเปล่าปราศจากอาวุธก็ตกเป็นเป้าโจมตีของตำรวจเช่นกัน และคนเหล่านี้ไม่มีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ยังมีเสียงคัดค้านจากเครือข่ายนักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชนในบราซิลที่ระบุว่าการทำสงครามยาเสพติดและปฏิบัติการกวาดล้างชุมชนผู้มีรายได้น้อยในรัฐรีโอฯ คือการตอกย้ำวัฒนธรรมการใช้กำลังเกินกว่าเหตุที่หยั่งรากลึกในองค์กรตำรวจของบราซิล สะท้อนอคติและการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพราะผู้ถูกวิสามัญฆาตกรรมเกือบทั้งหมดคือกลุ่มชายหนุ่มผิวดำซึ่งเป็นกลุ่มประชากรยากจนที่เข้าไม่ถึงหรือไม่ได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมมาโดยตลอด
Powered by Froala Editor

ในปี 2024 องค์กรสำรวจข้อมูลอาชญากรรม Insight Crime ได้เผยแพร่รายงานเชิงสถิติที่เกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมในบราซิล ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในปี 2012-2022 พบว่าองค์กรอาชญากรรมในบราซิลขัดแย้งกันเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ เพราะมีการแย่งชิงอำนาจนำในการเป็นผู้ค้าและการลำเลียงยาเสพติดประเภทโคเคนไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปอเมริกา ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศปลายทางสำคัญ รวมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
ความขัดแย้งระหว่างแก๊งที่รุนแรงและส่งผลต่อประชาชนบราซิลมากที่สุดคือการปะทะแย่งชิงการนำของแก๊งเรดคอมมานด์ หรือ CV ซึ่งมีฐานที่มั่นในนคร รีโอ เด จาเนโร กับแก๊งเฟิร์สต์แคปปิทัลคอมมานด์ (First Capital Command) หรือ PCC (Primeiro Comando da Capital) ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในรัฐเซาเปาลู ซึ่งส่งผลให้สถิติคดีฆาตกรรมและการใช้อาวุธก่อความรุนแรงในบราซิลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของคดีเหล่านี้มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15-50 เปอร์เซ็นต์ในหลายพื้นที่ทั่วรัฐรีโอฯ และเซาเปาลู

รายงานของ Insight Crime ระบุด้วยว่า สองแก๊งเถื่อนผู้ทรงอิทธิพลอย่าง CV และ PCC ต่างมีแก๊งขนาดเล็กย่อยๆ ที่เป็นแนวร่วมอยู่ในพื้นที่ภายใต้เขตอิทธิพลของคู่ตรงข้าม ทำให้มีการต่อสู้ปะทะแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนส่งผลกระทบต่อประชาชน
ผู้ได้รับผลกระทบจากการปะทะระหว่างแก๊งมากที่สุด คือกลุ่มประชากรยากจนที่อาศัยอยู่ในสลัมต่างๆ ที่แก๊งเถื่อนเหล่านี้ใช้เป็นแหล่งกบดานก่อเหตุ ซึ่งการที่เครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นผลจากเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงตำรวจ ไม่ได้ดำเนินการปราบปรามอย่างตรงไปตรงมา
นอกเหนือจากปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็นกับเครือข่ายอาชญากรรม องค์กรผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนในลาตินอเมริกา หรือ LJR ยังรายงานด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับยาเสพติดในช่วงเปลี่ยนผ่าน ‘ผู้นำประเทศ’

ช่วงปี 2022 บราซิลจัดการเลือกตั้งใหญ่ที่นำไปสู่การเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีที่มีแนวคิดขวาจัดอย่าง ฌาอีร์ โบลโซนารู เข้าสู่ยุคของ ลุยส์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองรุ่นเก๋าซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การแย่งชิงการนำระหว่างแก๊ง PCC และ CV ยิ่งดุเดือดขึ้นกว่าเดิมด้วย
รายงานของ LJR ระบุว่าประธานาธิบดีลูลา ซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำบราซิลอีกครั้งตั้งแต่ปี 2023 จนถึงปัจจุบัน สนับสนุนการปรับแก้กฎหมายเพื่อลดหย่อนโทษแก่ผู้ใช้ยาเสพติดและเสนอให้มีบทลงโทษรุนแรงเฉพาะผู้ค้ายาเสพติดเท่านั้น แต่ในยุคของประธานาธิบดีโบลโซนารูซึ่งปกครองประเทศช่วงปี 2019-2023 กลับเน้นการยกระดับสงครามยาเสพติดเพื่อลงโทษทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด
ในอดีต รัฐบาลโบลโซนารูมอบอำนาจอย่างเต็มที่ให้ตำรวจ ‘ใช้วิจารณญาณ’ ตัดสินว่าจะวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยคนใดก็ได้โดยไม่ต้องรอกระบวนการไต่สวนตามกฎหมาย ทำให้เกิดเสียงประณามอย่างหนักจากนักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชน แต่ประชาชนฝั่งที่สนับสนุนโบลโซนารูมองว่านี่คือการใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชน
ส่วนปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในนครรีโอฯ ครั้งล่าสุดปลายเดือนตุลาคม 2025 ส่งผลให้เกิดการประท้วงใหญ่จากคนในชุมชนและครอบครัวผู้เสียชีวิต โฆษกรัฐบาลชุดปัจจุบันจึงออกมาแถลงแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด และกล่าวด้วยว่า ประธานาธิบดีลูลาไม่ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการครั้งนี้มาก่อน เพราะนี่คือการใช้อำนาจโดยตรงของผู้ว่าการรัฐที่มีแนวคิดฝ่ายขวาอย่าง เคลาดิโอ กัสโตร
อย่างไรก็ดี การแถลงปฏิเสธความเกี่ยวข้องทำให้รัฐบาลยุค ลูลา ดา ซิลวา กลับถูกโจมตีว่า ‘อ่อนแอ’ และ ‘ไม่มีจุดยืนชัดเจน’ ในการปกป้องความปลอดภัยของประชาชน
Powered by Froala Editor
นโยบายสงครามยาเสพติดของบราซิลเริ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1980 แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับเงื่อนไขเรื่องการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่และการปรับแก้บทลงโทษผู้ใช้ยาเสพติดกับผู้ค้ายาเสพติดให้มีความรุนแรงแตกต่างกัน เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูมากขึ้นว่าการใช้กำลังอาวุธแก้ปัญหายาเสพติดไม่ช่วยให้ปัญหานี้หมดไปจากสังคมแต่อย่างใด
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้นโยบายสงครามยาเสพติดในหลายๆ รัฐบาลของบราซิลถูกโจมตีมาจากการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เอง โดยอ้างอิงจากรายงานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าผู้ตกเป็นเป้าในการวิสามัญฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการกวาดล้างเครือข่ายค้ายาเสพติดมักเป็นกลุ่มคนยากจนในสลัม ทั้งยังเกี่ยวพันกับอคติและการเหยียดเชื้อชาติ เพราะประชากรวัยหนุ่มที่เป็นคนผิวดำและมีรายได้น้อยมักถูกสุ่มตรวจค้น จับกุม และวิสามัญฆาตกรรมมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มประชากรที่เป็นคนผิวขาวหรือกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูง
นอกจากนี้ยังมีหลายกรณีที่เป็นตัวอย่างชัดเจนเรื่องการเลือกปฏิบัติและความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในคดียาเสพติด เช่น คดีนักบินที่เข้าร่วมในภารกิจส่งอดีตประธานาธิบดีโบลโซนารูไปเข้าร่วมการประชุมนานาชาติที่สเปนในปี 2019 ถูกทางการสเปนจับได้ว่าลักลอบขนโคเคน 39 กิโลกรัมเข้าประเทศ
ในปี 2023 นักบินคนดังกล่าวถูกตัดสินลงโทษจำคุก 14 ปี ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวพันแก๊งค้ายาเสพติดจำนวนมากถูกเจ้าหน้าที่ในยุคโบลโซนารู ‘สังหารทันที’ ในช่วงที่มีการนำกำลังบุกตรวจค้นภายใต้นโยบาย ‘สงครามยาเสพติด’

แม้กระทั่งในยุคของประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ซึ่งได้รับการยกย่องจากผู้สนับสนุนว่ามีความเข้าอกเข้าใจประชาชนคนรากหญ้ามากกว่าผู้นำที่มีพื้นเพจากตระกูลมหาเศรษฐีอย่างโบลโซนารู เสียงวิจารณ์เรื่องการเลือกปฏิบัติโดยเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชาชนกลุ่มด้อยโอกาสก็ยังเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
บทวิเคราะห์ของ The Global Post และ SUR ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและการส่งเสริมประชาธิปไตย ระบุว่าการบริหารและจัดการภายในองค์กรตำรวจบราซิลเต็มไปด้วยความแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายไม่แพ้ขั้วการเมือง ทั้งยังมีปัญหาเครือข่ายอิทธิพลแทรกซึมคนในเครื่องแบบเหล่านี้เป็นจำนวนมาก
สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์สมมติฐานดังกล่าวได้ก็คือ คดีที่ทนายความและอัยการอย่างน้อย 4 รายซึ่งพยายามจะดำเนินคดีกับกลุ่มนายตำรวจผู้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับแก๊งเถื่อนทั่วประเทศ ‘ถูกลอบสังหาร’ ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา และตำรวจบราซิลก็ไม่สามารถหาตัวผู้บงการตัวจริงมารับโทษได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าแก๊ง PCC และ CV ได้ผันตัวเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองอีกหลายพรรคผ่านการบริจาคเงินในนามของบริษัทนอมินีหรือกิจการสีเทาทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับการฟอกเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น การทำเหมืองเถื่อน การค้าประเวณี รวมถึงการใช้แรงงานเด็ก แต่การสืบสวนคดีเหล่านี้มักจะถูกดำเนินการอย่างล่าช้า และอีกหลายคดีถูกยกฟ้องเพราะหลักฐานไม่พอ
อีกประเด็นที่สำคัญคือแก๊งเถื่อนแทบทั้งหมดในบราซิล โดยเฉพาะ PCC และ CV ล้วนเริ่มก่อตั้งจากใน ‘เรือนจำของรัฐ’ ด้วยกันทั้งหมด เนื่องจากบุคคลสำคัญของแก๊งเหล่านี้มักจะถูกจับกุมและส่งตัวเข้าไปรอการพิจารณาคดีมากกว่าจะถูก ‘จับตาย’ เหมือนสมาชิกแก๊งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร และการดำเนินคดีผู้ต้องหาที่ทรงอิทธิพลส่วนใหญ่มักจะลากยาวเป็นเวลานานหลายปี และการปฏิบัติต่อนักโทษเหล่านี้ในเรือนจำมีความแตกต่างจากนักโทษทั่วไป
สื่อหลายสำนักทั้งในบราซิลและต่างประเทศ รายงานเกี่ยวกับเหตุจลาจลและการแหกคุกของผู้ต้องหาในเรือนจำบราซิลช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีการระบุตรงกันว่าปัญหาเหล่านี้มีต้นตอจาก ‘คนในเครื่องแบบ’ รู้เห็นเป็นใจกับแก๊งเถื่อนเหล่านี้ อาจเพราะถูกข่มขู่หรือได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนจึงปล่อยให้มีการซ่องสุมกำลังหรือการปะทะแย่งชิงอำนาจของแก๊งอิทธิพลภายในเรือนจำเอง
จะเห็นได้ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบราซิลอาจซ้อนทับได้กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ประกาศสงครามยาเสพติดกันมาแล้วหลายรอบ แต่กลับไม่สามารถลดทอนอำนาจของผู้ทรงอิทธิพลรายใหญ่ในเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ได้จริงๆ เพราะผู้ถูกจับกุมและผู้ที่ถูก ‘ฆ่าตัดตอน’ ส่วนใหญ่ก็คือสมาชิกระดับที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรในเครือข่ายผิดกฎหมายเหล่านี้
Powered by Froala Editor
อ้างอิง:
Aljazeera, Brookings, CNN, DW, Global Post, GOV.UK, The Guardian, Human Rights Watch, Insight Crime, LJR, NPR, Open Democracy, Quillet, Rio On Watch, Sur
Powered by Froala Editor