ในงานออสการ์ประจำปี 2025 มีเซอร์ไพรส์หลากหลายเหตุการณ์ให้ผู้ชมได้จับตา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเพื่อเป็นเกียรติให้กับภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์, การกล่าวถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับปาเลสไตน์, การคว้ารางวัลและสรรเสริญภาพยนตร์ของ ฌอน เบเกอร์, ไปจนถึงการพลิกโผรางวัลนักแสดงนำหญิง
งานประกาศรางวัลออสการ์ประจำปี 2025 ปีนี้ประกอบไปด้วยดราม่าก่อนเริ่มงานเช่นเคย โดยเฉพาะกระแสของหนัง Emilia Pérez ที่ถูกวิจารณ์หลายข้อครหา ทั้งยังเจอการขุดทวีตนักแสดงเหยียดเชื้อชาติคนอื่น ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าพวกเขาจะพลาดรางวัลสำคัญอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีชื่อเข้าชิงถึง 13 สาขา เทียบเท่ากับภาพยนตร์เรื่อง Oppenheimer เมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในงานก็มีเซอร์ไพรส์หลากหลายเหตุการณ์ให้ผู้ชมได้จับตา ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเพื่อเป็นเกียรติให้กับภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์, การกล่าวถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับปาเลสไตน์, การคว้ารางวัลและสรรเสริญภาพยนตร์ของ ฌอน เบเกอร์, ไปจนถึงการพลิกโผรางวัลนักแสดงนำหญิงที่หลายคนร่วมลุ้น
คีแรน คัลลิน นักแสดงจากเรื่อง A Real Pain กล่าวว่า เมื่อปี 2024 เขาเคยคุยกับภรรยาว่า ถ้าได้รางวัล Emmy Awards จะมีลูกคนที่ 3 แล้วเขาก็คว้ารางวัลนักแสดงนำชายจากซีรีส์ Succession ต่อมา เขาได้คุยกับภรรยาว่าถ้าได้รางวัลออสการ์ เขาจะมีลูกเพิ่มเป็นคนที่ 4 ปรากฏว่าเขาก็ได้รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทชายผู้มีบาดแผลทางครอบครัวในเรื่อง A Real Pain จริงๆ
“อย่ากดดันผมเลย ผมรักคุณนะ ผมขอโทษจริงๆ ที่ทำแบบนี้อีกแล้ว มาจัดการกับเด็กๆ กันเถอะ”
เขากล่าวกับภรรยาเป็นการปิดท้ายการรับรางวัล
แม้จะเป็นออสการ์ที่เบาเรื่องการเมือง เรากลับพบเห็นการส่งเสียงต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามที่กาซา
เราเห็นการเรียกร้องนี้ตั้งแต่บนพรมแดงในเสื้อผ้าของ กาย เพียร์ซ นอร์มินีสาขานักแสดงสมทบชายจาก The Brutalist เขาสวมเข็มกลัดรูปนก เขียนว่า ‘Free Palestine’ หรือ ‘ปล่อยให้ปาเลสไตน์เป็นอิสระ’ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่เพียงเรียกร้องให้เกิดการหยุดยิงเท่านั้น
และเมื่อสารคดีเกี่ยวกับสถานการณ์ปาเลสไตน์เรื่อง No Other Land ได้รับรางวัลสารคดียอดเยี่ยม คู่หูผู้กำกับชาวปาเลสไตน์ บาเซิล อาดรา และชาวอิสราเอล ยูวาล อับราฮัม ก็ใช้เวลาพูดสุนทรพจน์ในการพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเขาทั้งคู่สามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมีอิสระได้
อาดราเล่าถึงสถานการณ์ของปเลสไตน์อย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดความรุนแรงจากผู้รุกรานและการถูกบังคับย้ายถิ่นฐาน แล้วบอกว่า No Other Land เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ผู้นำโลกหันมองปัญหานี้อย่างจริงจัง “เมื่อสองเดือนก่อน ผมเพิ่งกลายเป็นพ่อคน ผมมีความหวังว่าลูกสาวของผมจะไม่ต้องใช้ชีวิตแบบที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบัน” เขาพูด
“เรา ผู้เป็นชาวปาเลสไตน์และอิสราเอล ทำหนังเรื่องนี้ด้วยกัน เพราะเมื่อเสียงของเรารวมกัน มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น” อับราฮัมกล่าว แล้วเรียกอาดราว่าเป็นพี่น้องของเขา แต่สถานการณ์นี้ทำให้ทั้งคู่ไม่เท่ากัน คนหนึ่งอยู่ใต้การกดขี่ที่เขาไม่อาจควบคุม แต่อีกคนอยู่อย่างเสรี
นอกจากนั้น อับราฮัมยังเรียกร้องไปยังสหรัฐอเมริกาอีกด้วย “มีเส้นทางอื่นที่เราเดินไปได้ เป็นทางออกทางการเมืองที่ไม่มีชนชาติใดใหญ่กว่าใคร ทางที่เรามีสิทธิในชาติของเราทั้งคู่ และในที่ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ นโยบายระหว่างประเทศของประเทศนี้ กำลังขัดขวางเส้นทางนั้นๆ อยู่ ทำไมกัน?”
Anora เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลเยอะที่สุดในค่ำคืนนี้ที่ 5 รางวัล นั่นคือตัดต่อยอดเยี่ยม บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นั่นทำให้ผู้กำกับชอน เบเกอร์เป็นชายผู้ได้ขึ้นพูดบนเวทีมากที่สุด (หากไม่นับโคแนนที่เป็นพิธีกร)
สุนทรพจน์ของเบเกอร์มีหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ทั้งการขอบคุณทีมงาน นักแสดง ผู้จัดจำหน่ายหนังอย่าง Neon แถมยังมีความตลกเมื่อเขาขึ้นรับรางวัลตัดต่อยอดเยี่ยม ที่เขาพูดว่า “คุณรู้ไหม ว่าผมปั๊มหัวใจให้หนังเรื่องนี้ตอนที่ผมตัดต่อ ผู้กำกับเรื่องนี้ไม่ควรทำงานกำกับอีกเลย” โดยที่ตัวเขาเองนั่นแหละเป็นผู้ที่ทั้งกำกับและตัดต่อ
แต่ที่สำคัญคือเขาใช้เวลาเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวมากมาย เช่น การรักษากิจการโรงหนังที่กำลังหดหายไปในสหรัฐอเมริกาด้วยการที่คนดูหนังต้องช่วยเหลือกันในการดูหนังในโรงให้มาก และผู้ผลิตภาพยนตร์ต้องนึกถึงจอหนังเป็นอย่างแรก ไม่ใช่จอมือถือ รวมถึงร้องขอให้เหล่านักทำหนังอิสระสร้างหนังฟอร์มเล็กออกมาอีก เนื่องจากหนังเล็กๆ เรื่องนี้ก็ได้มาแรงแซงโค้งหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆ ทุกเรื่องได้
ตามธรรมเนียมระหว่างการประกาศรางวัลออสการ์ จะประกอบไปด้วยการแสดงเพลงที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ในวาระต่างๆ ปีนี้ก็มีการโชว์พลังเสียงอันน่าจดจำมาจากสองการแสดงสำคัญ
โชว์แรกคือ การเปิดเวทีออสการ์ด้วยเพลงที่เป็นเกียรติให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Wizard of Oz ด้วย Over The Rainbow ร้องโดย อาริอานา กรานเด ต่อด้วย ซินเทีย เอริโว สรรเสริญให้กับภาพยนตร์ผ่านเพลง Home จากเรื่อง The Wiz ปิดท้ายโชว์ด้วยทั้งคู่ร่วมประสานเสียงทรงพลังในเพลง Defying Gravity จากเรื่อง Wicked
โชว์ที่สองเป็นการแสดงเพื่อเป็นเกียรติให้กับภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ด้วยการแสดงเพลงประกอบภาพยนตร์ 3 เพลง คือ Live and Let Die, Diamonds Are Forever และ Skyfall แสดงโดยลิซ่า โดจา แคต และเรย์
การแสดงสำหรับเจมส์ บอนด์มีขึ้นหลังจาก บาร์บาร่า บร็อคโคลี และ ไมเคิล จี. วิลสัน ผู้สร้างเจมส์ บอนด์ ได้รับรางวัล Irving G. Thalberg Memorial Award รางวัลกิตติมศักดิ์ที่ออสการ์มอบให้ครีเอทีฟโปรดิวเซอร์ในวงการภาพยนตร์
และการแสดงนี้ยังเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวการเจรจาระหว่าง Amazon และ บร็อคโคลี กรณีการถือลิขสิทธิผลิตภาพยนตร์ดังกล่าว หลังจากเกิดข้อขัดแย้งว่าจะมีการผลิตซีรีส์ออกมา แต่ทางบร็อคโคลีอยากให้เจมส์ บอนด์อยู่ในฐานะภาพยนตร์ต่อไป
เมื่อการประกาศรางวัลดำเนินไปได้ถึงครึ่งทาง พิธีกรและนักแสดงตลก โคแนน โอไบรอัน ก็มีโชว์มิวสิคัลพิเศษของตัวเองชื่อว่า ‘I Won’t Waste Time’ ซึ่งแม้จะเป็นพิธีกรที่ยอดเยี่ยมตลอดคืน แต่สิ่งที่ขโมยซีนที่สุดของโชว์นี้กลับไม่ใช่เขา แต่คือหนึ่งในนักดนตรีของวงออเคสตรา นั่นคือ ‘หนอนทรายจาก Dune’ ที่ทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีฮาร์ปและเปียโน
แม้แฟนๆ จะผิดหวังว่าภาพยนตร์ที่โดดเด่นอย่าง Dune Part 2 จะไม่ได้รับรางวัลมากมายเท่าที่ควร อย่างน้อยหนอนยักษ์ตัวนี้ก็เป็นเจ้าของหนึ่งในซีนที่ตลกที่สุดตลอดทั้งงาน แถมยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังได้รางวัล Visual Effects ยอดเยี่ยม และ Sound Design ยอดเยี่ยมอีกด้วย
หลังจากออสการ์ประกาศชื่อผู้เข้าชิงสุดท้ายในสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม นักวิจารณ์ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ชมต่างก็ทายผลกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะชื่อของ เดมี มัวร์ ซึ่งคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงครั้งแรกในอาชีพการแสดงบนเวที Golden Globe เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นั่นทำให้สื่อดังหลายแห่ง ทั้ง บีบีซี, Variety และ IndieWire ต่างเชื่อว่า เดมี มัวร์จะคว้ารางวัลนี้ไปครอง และจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเธอ รวมทั้งเวทีออสการ์ที่เปิดพื้นที่ให้กับหนังทริลเลอร์บ้างแล้ว บางสำนักอย่าง The New York Times เก็งชื่อ เฟอร์นันดา ตอร์เรส นักแสดงจากเรื่อง I’m Still Here
แต่แล้วเมื่อ เอ็มมา สโตน ประกาศรางวัลออกมาเป็นชื่อ ไมกี เมดิสัน ก็สร้างเสียงฮือฮาในอินเทอร์เน็ตทันที เวสลีย์ มอร์ริส นักวิจารณ์ด้านศิลปะและวัฒนธรรมของ The New York Times กล่าวว่า “โอเค ผมยังคงประหลาดใจกับชัยชนะของ ไมกี เมดิสัน เช่นกัน เพื่อนสนิทของผมบางคนตื่นเต้นกับเธอมาก แต่สำหรับผม การแสดงนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมากนักจนกระทั่งฉากสุดท้ายของเธอในรถ ฉากนั้นมีชีวิตชีวามาก ดังนั้น ผมก็จะเข้าใจในแง่นี้”
ส่วน อลิสสา วิลกินสัน นักวิจารณ์ภาพยนตร์ของ The New York Times กล่าวว่า “ฉันยังคงคิดว่าเฟอร์นันดา ตอร์เรสเก่งมาก แต่สิ่งนี้คงช่วยตอกย้ำอะไรบางอย่างของเมดิสันอย่างแน่นอน”
ภาพยนตร์เม็กซิโกว่าด้วยพ่อค้ายาเสพติดต้องการลบอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการแปลงเพศอย่าง Emilia Pérez มีชื่อเข้าชิงออสการ์มากที่สุด 13 สาขา (เทียบเท่า Oppenheimer)
แต่หลังจากฝ่าฟันกระแสวิจารณ์อย่างหนักหน่วงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งกรณีที่คนเม็กซิโกไม่พอใจมุมมองของผู้กำกับต่อประเทศเม็กซิโก ไปจนถึงหนังถูกวิจารณ์ว่าเล่าเรื่องทรานส์เจนเดอร์ได้ล้าหลัง ไม่มีมิติอื่นๆ (อ่านดราม่าทั้งหมดได้ที่: ออสการ์ปีนี้มีดราม่าอะไร ทำไม Emilia Pérez หนังเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ถึงถูกวิจารณ์อย่างหนัก)
รวมทั้งกระแสข่าวหนักหน่วงที่สุด คือนักแสดง การ์ลา โซฟิอา กัสกอน ถูกขุดพบทวีตข้อความเหยียดคนทุกเชื้อชาติและสีผิว ซึ่งขัดกับคุณค่าที่ออสการ์พยายามจะสร้างในช่วงหลังมานี้ ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ถึงฝั่งฝัน
เมื่อถึงวันงาน หลายสายตายังจับจ้องไปยังการ์ลาที่มาร่วมงานด้วยในฐานะผู้มีชื่อเข้าชิงในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (นับว่าเป็นทรานส์เจนเดอร์คนแรกที่ได้เสนอชื่อเข้าชิง) ทำให้โคแนน โอไบรอัน พิธีกรของงานปีนี้เล่นมุกบนเวทีว่า “ภาพยนตร์ Anora มีคำหยาบ (F-word) ประมาณ 479 ครั้ง ซึ่งมากกว่าการประชาสัมพันธ์ที่การ์ลาทำไว้สามเท่า”
จากกระแสทั้งหมดนี้ ท้ายที่สุด Emilia Pérez ก็คว้ารางวัลไป 2 สาขา ได้แก่ นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม คือ โซอี้ ซัลดานา และเพลงออริจินัลยอดเยี่ยม
โมเมนต์สำคัญอีกโมเมนต์ในออสการ์ปีนี้ คือเมื่อ พอล เทซเวลล์ ขึ้นรับรางวัลออกแบบชุดยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์มิวสิคัล Wicked เนื่องจากเขาคือชายผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัลสาขานี้ ซึ่งเหมาะเจาะกับหนังที่เล่าเรื่องอคติที่เกิดขึ้นกับคนที่ถูกมองเป็นอื่น