ฟอนต์คนเร่ร่อน และมันฝรั่งทอด CALBEE : 2 เรื่องราวของโอกาสที่ส่งต่อความยั่งยืน
...
LATEST
Summary
- ในการทำตลาดยุคนี้ความรู้สึกที่ว่า “พูดง่าย แต่คิดและทำได้ยาก” ต้องยกให้กับเรื่องการสื่อสารแบรนด์ ที่ว่าด้วยเรื่องความยั่งยืน (Sustainable)
- จากเรื่องราวของลายมือของคนเร่ร่อน Homeless Fonts ได้กลายเป็นกรณีศึกษา ที่แบรนด์ชั้นนำมาเกี่ยวพันกัน เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างน่าสนใจ
- การสร้างความยั่งยืนด้วยการให้โอกาส จึงกำลังเป็นแนวโน้มใหม่ในการทำการตลาด ที่แบรนด์ใส่ความคิดสร้างสรรค์ได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ขนมขบเคี้ยวอย่าง CALBEE ที่ญี่ปุ่นก็สำเร็จมาแล้ว
...
แนวคิดเรื่องความยั่งยืน (Sustainable) กำลังเป็นเรื่องสำคัญของการทำงานด้านการสื่อสารแบรนด์ และกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ เป็นหนึ่งเรื่องที่เข้าข่ายว่า พูดง่าย แต่คิดและทำได้ยาก เพราะการจะทำอะไรให้ยั่งยืน นั่นหมายรวมไปถึงการยืนระยะ ทำให้เป้าหมายนั้นเกิดผลแห่งความสำเร็จในระยะยาว ตัวอย่างเช่น ในเรื่องของการช่วยเหลือคนเร่รอน คนยากจนในสังคม
หลายๆ คน คงเกิดคำถามในใจว่า จะทำอย่างไรให้การช่วยเหลือสังคม เป็นมากกว่าแค่การบริจาคเงิน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้จบ จะทำอย่างไรที่เราจะสร้างสรรค์การให้ ให้กลายเป็นมากกว่าแค่การช่วยเหลือ แต่สร้างสรรค์ให้เกิดอาชีพ ทำให้ผู้รับเกิดความมั่นคงทางจิตใจ และมีพลังในการต่อสู้ชีวิตต่อไป
มีไอเดียที่น่าสนใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศสเปน เป็นเรื่องราวของ มูลนิธิอาร์เรลส์ (Arrels Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนเร่ร่อน ในเมืองบาร์เซโลนา เล็งเห็นว่า การช่วยเหลือคนเร่ร่อนด้วยการให้ที่พักพิงชั่วคราว และการบริจาคเงิน บริจาคอาหารเป็นครั้งๆ ไปนั้น มันไม่ใช่การแก้ไขปัญหาในระยะยาว ไม่ใช่การทำงานที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน
บรรดาอาสาสมัครของมูลนิธิจึงช่วยกันระดมสมอง ลองค้นหาไอเดียสดใหม่เพื่อช่วยเหลือคนเร่ร่อนในรูปแบบที่ยั่งยืนกว่าเดิม
จนวันหนึ่งทีมงานก็ไปสะดุดตากับตัวอักษรซึ่งบรรดาคนเร่ร่อน ใช้เขียนข้อความเพื่อขอความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอเงิน ขอบริจาคอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
ทีมงานพบว่า เจ้าตัวอักษรเหล่านั้นมันช่างมีความแปลก โดดเด่น สวยงาม มีเอกลักษณ์ และทรงพลังอย่างน่าประหลาด ลายมือของบรรดาคนเร่ร่อนหลายคนนั้น มันช่างดึงดูดใจ มีความงดงามในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
โครงการ Homeless Fonts ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือธรรมดาๆ แต่ทว่าเป็นการสร้างอาชีพ นำความภาคภูมิใจกลับมาให้กับบรรดาคนเร่ร่อน ทำให้พวกเขาได้กลับมามีอาชีพ มีรายได้ และที่ยืนในสังคม ซึ่งนับเป็นการแก้ปัญหาคนเร่ร่อนได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
จากจุดกำเนิดของไอเดียนี้ ทางมูลนิธิจึงได้ลองเชิญนักออกแบบฟอนต์มืออาชีพ ให้เข้ามาร่วมกันสร้างสรรค์สุดยอดโครงการ ด้วยการสร้างสรรค์ฟอนต์ (Font) จากลายมือของคนเร่ร่อน เพื่อนำไปจำหน่าย และนำเงินมาพลิกชีวิต เพื่อสร้างงานให้กับคนเร่ร่อนเหล่านั้น
ด้วยหลักการง่ายๆ มูลนิธิจะร่วมกับนักประดิษฐ์ตัวอักษร มาช่วยกันสร้างสรรค์ฟอนต์ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ขึ้นมา โดยใช้ภาพต้นแบบจากลายมือของคนเร่ร่อน พัฒนาเป็นชุดตัวอักษรที่ชื่อว่า Homeless Fonts ที่จะถูกนำไปขายให้กับแบรนด์ชั้นนำ และผู้ที่สนใจผ่าน HomelessFonts.org เพื่อนำไปใช้สร้างสรรค์เป็นงานบรรจุภัณฑ์ งานโฆษณา โปสเตอร์ แผ่นพับ สิ่งพิมพ์ รวมทั้งสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งแบรนด์ดังที่มาร่วมจ่ายเงินอุดหนุนฟอนต์เหล่านี้ก็เท่ากับว่า แบรนด์ได้ร่วมเป็นหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม นับเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
เรียกว่าได้ช่วยเหลือคนไร้บ้าน พร้อมกับได้ฟอนต์สวยๆ ไปใช้ด้วยในเวลาเดียวกัน
ที่น่าสนใจที่สุด โครงการนี้มันไม่ใช่แค่การช่วยเหลือธรรมดาๆ แต่ทว่าเป็นการสร้างอาชีพ นำความภาคภูมิใจกลับมาให้กับบรรดาคนเร่ร่อน ทำให้พวกเขาได้กลับมามีอาชีพ มีรายได้ และที่ยืนในสังคม ซึ่งนับเป็นการแก้ปัญหาคนเร่ร่อนได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า เรื่องราวของการสร้างโอกาสนั้น มันกำลังเป็นแนวโน้มใหม่ในการทำการตลาด รวมทั้งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภค เกิดความประทับใจให้กับแบรนด์และองค์กรเพิ่มมากขึ้น
การให้การสนับสนุน การช่วยเหลือ การสร้างภูมิความรู้ เพื่อต่อยอดภูมิปัญญาของคนตัวเล็ก ภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นนั้น นับเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลัง ซึ่งเกิดขึ้นมากมายในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่น ด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของพื้นที่ อย่างเช่นในประเทศญี่ปุ่น
หากพื้นที่ใดมีความโดดเด่นเรื่องผลผลิตทางการเกษตร หรือมีจุดขายทางทรัพยากรธรรมชาติ บรรดาแบรนด์ต่างๆ ก็มักจะเข้าไปทำงานร่วมมือกับชุมชน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ช่วยขับเน้นให้ของดีที่เป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่นั้นๆ เกิดความโดดเด่นขึ้นมา
ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ช็อกโกแลต KitKat ที่สร้างสรรค์รสชาติออกมามากมาย เพื่อวางขายในแต่ละภูมิภาค ในรูปแบบที่เป็นรสชาติของดีเฉพาะถิ่น
หรือจะเป็นเรื่องราวแบรนด์มันฝรั่งทอด CALBEE ที่ได้จัดให้มีแคมเปญ Love Japan ขึ้น โดยได้สร้างสรรค์รสชาติของมันฝรั่งทอดกรอบ ออกมาตามจุดเด่นของแต่ละจังหวัด เรียกได้ว่าเมื่ออยู่ในภูมิภาคที่มีความโดดเด่นในเรื่องใด CALBEE ก็จะผลิตมันฝรั่งทอดรสชาตินั้นๆ ออกมาให้ลูกค้าได้ลองลิ้มรสกัน
ลูกค้าที่มีประสบการณ์การเดินทางในญี่ปุ่น เวลาเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายสินค้าในท้องถิ่นนั้นๆ ก็จะพบกับรสชาติสุดพิเศษของมันฝรั่งทอด CALBEE รสแปลกๆ ที่สะท้อนจุดเด่นของแต่ละภูมิภาค ที่หาซื้อไม่ได้จากที่อื่น และมีจำนวนจำกัด แต่จะมีให้ได้ลองลิ้มอย่างเป็นเอกลักษณ์ไปทั่วทั้งเกาะ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี
ไอเดียนี้ เกิดขึ้นเพราะแบรนด์ CALBEE มีความต้องการที่จะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ กิจกรรมส่งเสริมของดีจาก 47 จังหวัดทั่วญี่ปุ่น เพื่อให้ชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยว ได้ลิ้มลองรสชาติเด็ดอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เป็นการช่วยพัฒนาวัฒนธรรมอาหารของท้องถิ่น พร้อมกับได้โปรโมตของดีประจำจังหวัดให้แต่ละภูมิภาค ส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมีชื่อเสียงมากขึ้น ผ่านรสชาติของขนม
แคมเปญนี้ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเทศบาลท้องถิ่นที่จะส่งไอเดียเข้ามา พร้อมกับการร่วมทำเวิร์กชอป และทดสอบรสชาติของแต่ละจังหวัด เพื่อตัดสินใจเลือกรส ตลอดจนดีไซน์รูปแบบห่อขนม และแพ็กเกจต่างๆ เพื่อขับเน้นเอกลักษณ์ของดีประจำจังหวัด ให้กระจายออกไปในวงกว้าง
ตัวอย่างสินค้าขายดี เช่น มันฝรั่งทอดรสสเต๊กเนื้อวัว ของจังหวัดชิกะ, รสบิสกิตข้าวฟ่าง จากจังหวัดโคชิ, รสโชยุ-วาซาบิภูเขา ของเมืองฮอกไกโด
ดังนั้น ลูกค้าที่มีประสบการณ์การเดินทางในญี่ปุ่น เวลาเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายสินค้าในท้องถิ่นนั้นๆ ก็จะพบกับรสชาติสุดพิเศษของมันฝรั่งทอด CALBEE รสแปลกๆ ที่สะท้อนจุดเด่นของแต่ละภูมิภาค ที่หาซื้อไม่ได้จากที่อื่น และมีจำนวนจำกัด แต่จะมีให้ได้ลองลิ้มอย่างเป็นเอกลักษณ์ไปทั่วทั้งเกาะ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี
ลองยกตัวอย่างเรื่องเล่าของรสชาติที่น่าสนใจ ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา เช่น มันฝรั่งทอด รสราเมงเผ็ด ของจังหวัดมิยาซากิ
แนวคิดนี้ ตั้งต้นจากเมนูพิเศษของเมืองโนเบโอกะ จังหวัดมิยาซากิซึ่งเป็นเมืองที่มีร้านขายราเมงเผ็ดอยู่มากมายจนเป็นเอกลักษณ์สำคัญ โดยการจำลองรสชาติราเมงเผ็ดมาอยู่บนชิ้นมันฝรั่งทอดกรอบ เพื่อสร้างความอร่อย และถ่ายทอดความประทับใจให้กับลูกค้า
แถมบนถุงแพ็กเกจของมันฝรั่งทอด จะปรากฏภาพศาลเจ้าอาโอชิม่า และหินยักษ์โอนิโนะเซ็นตะคุอิตะ เพื่อประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดไว้อีกด้วย
ตัวอย่างเรื่องเล่าของอีกรสชาติ คือมันฝรั่งทอด รสปลาไหลย่างแบบคาบายากิ ของจังหวัดไซตามะ ที่เมืองอูราวะ มีกรรมวิธีการย่างปลาไหลแบบคาบายากิ นับเป็นเมนูในตำนานที่สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ เป็นการนำเนื้อปลาไหลไปเสียบไม้ แล้วจุ่มลงไปในซอสที่มีส่วนผสมของซีอิ๊วโชยุ เหล้าหวานมิริน และน้ำตาล แล้วจึงนำเอาปลาไหลไปย่างไฟให้สุกจนหอม จนทำให้รสชาตินี้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนเพื่อจำหน่ายในจังหวัดไซตามะ
แนวคิดทั้งหมดนี้ สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้ภูมิปัญญา ผสานความเข้าใจในวัฒนธรรมอาหารและของดีจากชุมชนต่างๆ มาประกอบกันเข้ากับความสามารถของผู้เชี่ยวชาญ โดยมีแบรนด์ที่เห็นคุณค่ามาช่วยสนับสนุน มาเติมเต็มความต้องการให้กับแผนงาน จนสามารถสร้างความโดดเด่นขึ้นมาได้
แนวคิดทั้งหมดนี้ สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้ภูมิปัญญา ผสานความเข้าใจในวัฒนธรรมอาหารและของดีจากชุมชนต่างๆ มาประกอบกันเข้ากับความสามารถของผู้เชี่ยวชาญ โดยมีแบรนด์ที่เห็นคุณค่ามาช่วยสนับสนุน มาเติมเต็มความต้องการให้กับแผนงาน จนสามารถสร้างความโดดเด่นขึ้นมาได้
เมื่อแบรนด์ใหญ่ๆ เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นพลังบวก ช่วยให้สามารถสื่อสารเรื่องราวออกไปในวงกว้าง กระจายข่าวสารของดีประจำจังหวัดออกไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม
CALBEE สามารถช่วยประชาสัมพันธ์ผลผลิตที่มีคุณค่าของชุมชน ไปพร้อมๆ กับการสร้างฐานลูกค้าใหม่ รวมทั้งสร้างความรักในแบรนด์ให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้บริโภค
เรียกได้ว่า ได้รับทั้งยอดขาย ได้รับทั้งความรักและชื่อเสียงรวมทั้งการยอมรับจากคนในชุมชน และชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง ซึ่งทุกฝ่ายต่างก็เกิดความภาคภูมิใจ ที่ถูกสะท้อนกลับมาเป็นเสียงชื่นชม และกลายเป็นไอเดียตั้งต้นของการสร้างความยั่งยืน ให้เกิดขึ้นกับชุมชน สังคม และแบรนด์ไปได้พร้อมๆ กัน
เป็นอีกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความยั่งยืน สามารถเกิดขึ้นได้จากความคิดสร้างสรรค์ ที่มาประกอบเข้ากับการลงพื้นที่ ลงมือทำอย่างแท้จริง
