Humberger Menu

ถ้อยคำจากกลุ่มต่อต้านรัฐประหารพม่า ถึงความฝันสหพันธรัฐที่ยังเดินทางไปไม่ถึง

-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

Politics & Society

World

Global Affairs

18 เม.ย. 66

creator
บูรพา เล็กล้วนงาม
BookmarkLineCopy
-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

...

Summary
  • นับตั้งแต่รัฐประหารพม่า 1 กุมภาพันธ์ 2564 สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (AAPP) คือหน่วยงานหลักที่ให้ความช่วยเหลือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารที่ถูกจับกุม ซึ่งคนในองค์กรส่วนหนึ่งคือนักศึกษาประชาชนที่ร่วมต่อต้านรัฐบาลพม่าในการลุกฮือ 8888
  • บางครั้งเจ้าหน้าที่ของไทยจะดักตรวจค้นผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้อพยพ และผู้ย้ายถิ่นจากสงคราม ที่เดินทางมาโรงพยาบาลที่จังหวัดตาก เพื่อจับและปรับในข้อหาไม่มีเอกสารเข้าเมือง
  • โฆษกรัฐบาลเอกภาพ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นบอกว่า NUG ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยสืบทอดอำนาจรัฐประหาร โดยไม่ได้เป็นรัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง

...


สองปีรัฐประหารพม่านักโทษการเมืองเพิ่มต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยไม่ลดลง คนป่วยทะลักเข้าฝั่งไทย ‘รัฐบาลพลัดถิ่น’ ปัดความสัมพันธ์รัฐบาลไทย พร้อมกางแผนตั้งสหพันธรัฐ ‘กะเหรี่ยง KNU’ และประกาศว่า การสู้รบจะยุติเมื่อนานาชาติไม่รับรอง มิน อ่อง หล่าย ‘ส่วนกองกำลังพิทักษ์ประชาชน’ วอนคนไทยเข้าใจหลบหนีเข้ามาเพราะต้องการปฏิวัติพม่า

เพื่อสร้างความเข้าใจต่อพม่า หรือเมียนมา ให้มากกว่าสถานการณ์ความขัดแย้งรายวัน เมื่อเดือนมีนาคม 2566 คณะสื่อมวลชนจากกรุงเทพฯ ลงพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-พม่า (ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่) ตามโปรแกรมของมูลนิธิศักยภาพชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในโอกาสครบ 2 ปีรัฐประหารในพม่า โดยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กองทัพพม่าต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกฎหมายที่นำมาใช้ก่อรัฐประหารโดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ และเลื่อนการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ออกไป จนกว่าจะสามารถควบคุมดินแดนของประเทศได้มากเพียงพอ

ด้วยความอ่อนไหวของสถานการณ์ และความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูล ทำให้การเอ่ยถึงชื่อบุคคล สถานที่ และการบันทึกภาพ มีข้อจำกัด


เอาการปกครองตนเองของเราคืนมา

การสู้รบระหว่างกองทัพพม่ากับกองทัพกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อย ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐประหาร 1 กุมภาพันธ์ 2564 โดยกลุ่มชาติพันธุ์หวาดระแวงกองทัพพม่าที่รวบอำนาจ จึงสนับสนุนกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐประหาร เพราะเชื่อว่าจะพูดคุยกันได้ง่ายกว่า

รัฐธรรมนูญ ปี 2551 ทำให้พม่าเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการสู่ระบอบประชาธิปไตย เริ่มมีการเลือกตั้งในปี 2553 และในการเลือกตั้งปี 2558 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) นำโดยอ่องซาน ซูจี ลงแข่งขัน และชนะพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ซึ่งเป็นพรรคของกองทัพ นำโดย นายพล เต็ง เส่ง พรรค NLD จึงได้เป็นรัฐบาล โดยทำข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ และเจรจาสันติภาพกับชนกลุ่มน้อย ต่อมาการเลือกตั้งปี 2563 พรรค NLD ชนะอีกครั้ง แต่กองทัพนำโดย พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก็ทำการยึดอำนาจ


หญิงหลาว นานโหว 

 

หญิงหลาว นานโหว ชาวไทใหญ่ กรรมการบริหาร สถาบันสาละวินเพื่อนโยบายสาธารณะ (The Salween Institute for Public Policy) อธิบายความเป็นมาของความขัดแย้งอย่างย่นย่อว่า แต่เดิมกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพม่ามีอธิปไตยเป็นของตนเอง มีการปกครองตนเอง และมีสำนึกในชาติตนเอง พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2491 โดยรัฐธรรมนูญปี 2490 กำหนดให้ชนกลุ่มน้อยอยู่รวมกับพม่าเป็นเวลา 10 ปีในรูปแบบสหภาพ จากนั้นถ้ารัฐไหนไม่พอใจก็มีสิทธิถอนตัวได้ แต่มีเพียงรัฐฉานกับรัฐกะยาเท่านั้นที่มีสิทธิถอนตัว ขณะที่รัฐกะเหรี่ยงกับรัฐกะฉิ่นปฏิเสธการเข้าร่วมตั้งแต่แรก การสู้รบจึงเริ่มเกิดขึ้นในปี 2491

หญิงหลาวเล่าอีกว่า เมื่อครบ 10 ปี รัฐบาลพม่าปฏิเสธการถอนตัว รัฐฉานจึงสู้รบกับพม่า ต่อมา ปี 2505 นายพล เน วิน ทำรัฐประหาร แล้วปกครองด้วยระบอบเผด็จการ โดยกองทัพพม่ามีอำนาจต่อเนื่องหลายทศวรรษ  


AAPP ผู้บันทึกเรื่องราวนักโทษการเมือง

“นับตั้งแต่รัฐประหาร เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564 และการเกิดขึ้นของการปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ (กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร) ประชาชนทั้งหมด 3,185 คน รวมทั้งนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและพลเรือน ถูกสังหารจากการปราบปรามของทหาร มีผู้ถูกคุมขังทั้งสิ้น 17,067 คน อยู่ระหว่างรับโทษ 5,264 คน และได้รับการปล่อยตัว 3,843 คน”

ที่กล่าวมาคือ ข้อมูลเมื่อ 30 มีนาคม 2566 ที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (พม่า) หรือ The Assistance Association for Political Prisoners (AAPP) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2543 เพื่อสนับสนุนนักโทษการเมืองในพม่า โดยข้อมูลดังกล่าวถูกปรับปรุงรายวัน


ป้ายเตือนใจที่สำนักงานสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (พม่า) ความว่า "จะไม่มีการปรองดองในชาติในพม่า ตราบใดที่ยังมีนักโทษการเมืองอยู่"

 

เราได้ล้อมวงคุยกับทีมงาน AAPP ซึ่งส่วนหนึ่งคือนักศึกษาประชาชนที่ร่วมต่อต้านรัฐบาลพม่าในการลุกฮือ 8888 เมื่อปี 2531 (Uprising 8888 หรือ 8 สิงหาคม 1988) หลายคนติดคุกมาแล้วหลายครั้ง พวกเขาเล่าว่า หน้าที่ของ AAPP คือบันทึกข้อมูลของนักโทษการเมืองเพื่อแสดงว่าพวกเขายังมีตัวตน และหวังว่าพวกเขาจะได้รับความชอบธรรม เมื่อวันหนึ่งมีการพิจารณาคดีใหม่ตามขั้นตอนปกติ

ทหารพม่าใช้กฎอัยการศึกดำเนินคดีกับผู้ต่อต้าน เมื่อผู้ต่อต้านถูกจับกุมก็จะถูกส่งไปดำเนินคดีในศาลทหารโดยปราศจากทนายความ ผู้ถูกจับกุมจะรอศาลอ่านคำพิพากษาโดยไม่มีการไต่สวน ส่วนญาติจะถูกห้ามเข้าเยี่ยม

วิธีเสาะหาข้อมูลนักโทษการเมือง ทีมงาน AAPP บอกว่า ได้รับมาจากทนายความ ญาติพี่น้องของนักโทษ และอดีตนักโทษ ในทางกลับกัน AAPP ได้ส่งทนายความ เงิน และสิ่งของไปช่วยเหลือนักโทษการเมืองในพม่า โดยเลือกให้นักโทษที่ต่อต้านรัฐบาลอย่างชัดเจนก่อน    

“ตราบใดที่ทหารมีอำนาจ คนจะไม่มีงาน เขาจึงข้ามมาฝั่งไทย อีกสาเหตุที่ข้ามมาคือ เพื่อรักษาชีวิตเนื่องจากทหารจะจับตัวผู้ต่อต้านรัฐบาล และผู้สนับสนุน NUG” (National Unity Government หรือ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น) นี่คือคำอธิบายถึงจำนวนผู้ลี้ภัยสงครามที่เพิ่มขึ้นหลังเกิดรัฐประหารเมื่อ 2 ปีก่อน

เจ้าหน้าที่ AAPP ให้ข้อมูลอีกว่า ผู้ลี้ภัยเข้ามาฝั่งไทยมักจะถูกเจ้าหน้าที่ดักจับกุมแล้วตั้งข้อหาไม่มีเอกสารเข้าเมือง ส่วนการทำเอกสารต้องเสียค่าใช้จ่ายนอกระบบคนละนับหมื่นบาท


แผนที่เรือนจำทั่วประเทศพม่า ทั้งหมด 47 แห่งที่มีนักโทษการเมืองกระจายอยู่

 

ยอดคนเจ็บเพิ่มหลังรัฐประหาร

ณ ฝั่งไทย แม่ตาวคลินิกคือ สถานที่ทำงานของ ซินเธีย หม่อง แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยง ผู้ได้รับรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2565 จากมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึกของเกาหลีใต้ แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย หลังยื่นคำร้องไปแล้ว 3 ครั้ง เธอก่อตั้งแม่ตาวคลินิก ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เมื่อ 34 ปีก่อน หลังลี้ภัยสงครามกลางเมือง จากการลุกฮือ 8888 เมื่อปี 2531


พญ.ซินเธีย หม่อง ผู้ก่อตั้งแม่ตาวคลินิก เพื่อรักษาคนชายแดนผู้มีรายได้น้อย

 

ตามปกติโรงพยาบาลแห่งนี้มีไว้เพื่อรักษาคนไข้ผู้มีรายได้น้อยตามแนวชายแดนไทยพม่า ครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ฝั่งไทย และอีกครึ่งเป็นผู้ที่เดินทางข้ามมาจากรัฐกะเหรี่ยงฝั่งพม่า 

พญ.ซินเธียบอกว่า หลังรัฐประหารได้เห็นผู้อพยพ และผู้ย้ายถิ่นจากสงคราม โรงพยาบาลต้องดูแลผู้ป่วยมากขึ้นหลังพื้นที่ชนกลุ่มน้อยถูกทหารพม่าโจมตีทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าไทย 

“เมื่อเทียบปี 2564 กับปี 2565 คนไข้นอกเพิ่มขึ้น 30-35 เปอร์เซ็นต์ คนไข้ในเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ คนไม่มีเอกสารเพิ่มขึ้น มีคนไข้หนักเพิ่มขึ้น” พญ.ซินเธีย กล่าวทิ้งท้าย

มีข้อมูลว่า ในบางครั้งเจ้าหน้าที่จะดักตรวจค้นผู้ป่วยที่เดินทางมาโรงพยาบาล เพื่อจับและปรับในข้อหาไม่มีเอกสารเข้าเมือง


ศูนย์แพทย์ฉุกเฉินและดูแลสุขภาพอูมินท่า 

 

อีกฟากหนึ่งของพรมแดน เราเดินทางไปยังศูนย์แพทย์ฉุกเฉินและดูแลสุขภาพอูมินท่า (U Mi Hta) ลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว สภาพใหม่ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน ฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ในวันที่เดินทางไปถึงแพทย์สนามกำลังผ่าตัดชายซึ่งถูกยิงที่เท้าซ้าย ทำให้เราได้ยินเสียงโอดโอยของคนไข้ลอยมา เรารู้ภายหลังว่า เป็นการผ่าตัดสดโดยไม่ได้วางยาสลบ 

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้เกิดจากระดมทุนจากชาวกะเหรี่ยงทั่วโลก เปิดให้บริการมาครบ 1 ปี มีคนไข้เข้ารับการรักษาแล้ว 1,700 - 1,800 คน ส่วนผู้ป่วยหนักจะถูกส่งต่อไปรักษาฝั่งไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่


ทวีวิทย์ ดิบือแฮ

 

ทวีวิทย์ ดิบือแฮ กรรมการสมาคมกะเหรี่ยงไทย และผู้ประสานความช่วยเหลือฉุกเฉิน มูลนิธิสุวรรณนิมิต เล่าว่า โรงพยาบาลนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงสามารถเดินทางมารักษาโดยสะดวกด้วยการขึ้นล่องลำน้ำสาละวิน การรักษาผู้ป่วยที่นี่ยังแบ่งเบาภาระการส่งตัวไปโรงพยาบาลฝั่งไทย โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ยังขาดแคลนอุปกรณ์จำเป็น อาทิ เครื่องเอกซเรย์ เครื่องมือผ่าตัด ยาฉุกเฉิน อาทิ ยาสลบ ยาชา และเครื่องเติมออกซิเจน ฯลฯ


รัฐบาลพลัดถิ่นกับภารกิจสร้างสาธารณรัฐ

“ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมเราถึงไม่ถูกตำรวจจับกุมตัว ทั้งที่รัฐบาลก็รู้ว่าเราอยู่ที่นี่ หรืออาจเป็นเพราะเราทำตัวไม่เป็นข่าว” 

โฆษกรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) ที่มาพร้อมกับปลัดกระทรวง ตอบคำถามเรา เมื่อได้เจอกัน ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง 

NUG คือรัฐบาลพลัดถิ่นพม่า ก่อตั้งเมื่อ 16 เมษายน 2564 โดยคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw: CRPH) ที่มาจาก ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2563 (ถูกรัฐประหารเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564) พวกเขายังถือว่าตนเองมีความชอบธรรมและยึดโยงกับปวงชนชาวพม่า อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากนานาชาติ อาทิ รัฐสภายุโรป และมีสำนักงานในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ฯลฯ แต่ไม่มีสำนักงานในอาเซียน 

โฆษก NUG เผยว่า พวกเขาสามารถครอบครองพื้นที่กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของประเทศรวมถึงพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ มีคนในชนบทพร้อมออกมาต่อต้านรัฐบาลทหารด้วย แต่พวกเขายังไม่ได้ประกาศตัว เพราะเกรงว่าจะถูกปราบปราม 

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่าง NUG กับไทย เธอตอบว่า 

NUG ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลไทยสืบทอดอำนาจรัฐประหาร โดยไม่ได้เป็นรัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง

share

ตัวแทนรัฐบาลพลัดถิ่นพม่า กล่าวถึงการทำงานต่อว่า สภาที่ปรึกษาเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Consultative Council: NUCC) กำลังดำเนินการตามโรดแมปของกฎบัตรสหพันธรัฐประชาธิปไตย (Federal Democratic Charter) ด้วยการเปิดเวทีถกเถียงแลกเปลี่ยนกับคนกลุ่มต่างๆ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เรื่องรูปแบบการปกครองของรัฐ (state) และ เขตแดน (region) เป็นต้น ซึ่งเมื่อได้ข้อสรุปก็จะเปิดสมัชชาประชาชนเพื่อจัดทำรัฐธรรมใหม่แทนรัฐธรรมนูญพม่าปี 2551 ของกองทัพพม่า (Tatmadaw) ส่วนการเข้าตีพม่าครั้งใหญ่ยังไม่ยืนยัน ณ เวลานี้

หญิงหลาว นานโหว ผู้ทำงานใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญของสภาที่ปรึกษาเอกภาพแห่งชาติ เผยว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะเป็นโอกาสที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จะสามารถได้สิทธิปกครองตนเองตามแนวทางสหพันธรัฐเป็นครั้งแรก เนื่องจากแม้รัฐธรรมนูญ ปี 2551 จะบัญญัติเปิดโอกาสให้ชนกลุ่มน้อยปกครองตนเองได้ แต่ว่าวางเงื่อนไขไว้ยากเกินกว่าจะปฏิบัติได้จริง

หญิงหลาวมองว่า 

ชัยชนะของการต่อสู้กับรัฐบาลพม่าคือ สันติภาพสำหรับทุกคน สันติภาพต้องไม่กินความหมายเอาแค่กองทัพพม่าออกจากการเมือง ไม่ใช่แค่ ออง ซาน ซูจี หรือพรรค NLD กลับมามีอำนาจ แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในระบอบของสหพันธรัฐ รัฐต่างๆ ที่อยู่ในสหพันธรัฐของพม่าต้องมีสิทธิ์ปกครองบ้านเมืองของตน

share

เท่าที่ได้พูดคุยกับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม หญิงหลาวบอกว่า ชนกลุ่มน้อยคิดเหมือนกันว่าต้องมีสิทธิปกครองตนเอง ส่วนแต่ละกลุ่มจะไปออกแบบการปกครองอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา

“การสู้รบต้องจบที่การเจรจา ฉะนั้นการสู้รบที่พม่าต้องจบด้วยการเจรจา แต่ใครจะจัด จัดเมื่อไหร่ ในสถานการณ์แบบไหนเท่านั้น” นักกิจกรรมชาวไทใหญ่กล่าว และย้ำว่า ก่อนจะเริ่มเจรจากับกองทัพพม่าทุกฝ่ายต้องตกลงกันให้ได้ อาทิ ชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มน้อยกับ NUG ไม่เช่นนั้นหลังเจรจาแล้วเรื่องก็จะยังไม่จบ


ประชาคมโลกคือผู้จบปัญหาพม่าตัวจริง

คณะสื่อมวลชนข้ามพรมแดนไปยัง ‘กอทูเล’ รัฐกะเหรี่ยง ดินแดนในการปกครองของสหภาพแห่งชาติกะเกรี่ยง หรือ (Karen National Union: KNU) ที่ต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2491 โดยมีกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army: KNLA) กองพลน้อยที่ 7 เป็นผู้ดูแลพื้นที่

“เดินหน้าสู่สหพันธรัฐ”

คือเป้าหมายที่ โซ ซา บุ๋ย (Saw Hser Bweh) และ โซ ล่า ทอน (Saw Hla Tun) เลขานุการร่วมคนที่ 1 และเลขานุการร่วมคนที่ 2 (joint-general Secretary) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง เปิดเผยและว่า ต้องการให้สหพันธรัฐถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และต้องการให้กองทัพออกจากการเมือง


โซ ซา บุ๋ย

 

เลขานุการร่วม KNU ระบุว่า สถานการณ์จะไม่จบด้วยการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์กับกองทัพพม่า แต่จะจบเมื่อประชาคมโลกไม่รับรองรัฐบาล มิน อ่อง หล่าย เพราะสิ่งที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย กระทำคือ การก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ 


โซ ล่า ทอน

 

“KNU มีนโยบายมาตลอด เรื่องแก้ปัญหาการเมืองด้วยความหมายทางการเมือง แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าข้อตกลงสันติภาพ ริเริ่มด้วยความจริงใจหรือแท้จริงเพียงใดของพวกเขา” เลขานุการ KNU ตอบคำถามถึงโอกาสเจรจาในอนาคต และกล่าวว่า KNU และ NUG ยังมีความร่วมมือกันอยู่

กฤษณะ โชติสุทธิ์ อาจารย์สาขาวิชาภาษาพม่า มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า กองกำลังชนกลุ่มน้อยจำนวนมากและกองกำลังพิทักษ์ประชาชน มีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่า แต่ปัญหาคือจะใช้วิธีการอะไรในการต่อสู้ จะให้ NUG อยู่บน หรือกองกำลังติดอาวุธอยู่ล่าง ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน 


กฤษณะ โชติสุทธิ์ 

 

ในทางตรงข้ามวิธีการของกองทัพพม่าคือทำให้กลุ่มชาติพันธุ์แตกแยกกันเองด้วยการให้ผลประโยชน์บางอย่าง อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวรเปิดเผยว่า กลุ่มชาติพันธุ์หลายแห่งเข้าไปคุยกับ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ซึ่งอาจเพราะมีสงครามยืดเยื้อ ทำให้เหนื่อยล้า และพวกเขาอยากได้รับสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ของตัวเองก็พอ  


วอนคนไทยเข้าใจสถานการณ์รัฐประหาร

เย็นวันหนึ่ง เราได้สนทนากับกลุ่มบุคคลที่ลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งประกอบด้วยคนสองกลุ่ม ได้แก่ ขบวนการอารยะขัดขืน (Civil Disobedience Movement: CDM) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (The People’s Defense Froce: PDF) ที่จัดตั้งโดยรัฐบาลพลัดถิ่น พวกเขามีอายุ 20-25 ปี ทั้งผู้ที่ข้ามมาปักหลักอยู่อาศัยฝั่งไทยโดยเช่าบ้านอยู่รวมกัน และผู้ที่ข้ามไปกลับ พวกเขาดูมีพลังเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป แต่แววตาบ่งบอกว่าเก็บซ่อนบางสิ่งเอาไว้

ทั้งนี้ ผู้ลี้ภัยสงครามเข้ามาฝั่งไทยล้วนไม่มีเอกสารสิทธิ หลายคนมีงานทำแต่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก โดยพวกเขามีค่าครองชีพมากกว่าคนทั่วไป

เมื่อใครคนหนึ่งทำผิดกฎจราจร เขาต้องเสียค่าปรับเต็มเพดานของกฎหมาย หรือ มากกว่าคนปกติ 10 เท่า พวกต้องเสียค่าคุ้มครองรายหัวเพื่อให้อาศัยอยู่ในไทยได้ เมื่อก่อนพวกเขาจะได้รับ police card เพื่อแสดงสถานะ แต่ตอนนี้เปลี่ยนระบบใหม่ให้มีผู้คุ้มครองแทน โดยหากผู้ใดถูกจับกุม ก็ให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปสอบถามกับผู้คุ้มครอง ซึ่งระบบใหม่นี้จะทำให้ไม่มีหลักฐานเช่น police card

PDF คนหนึ่งมีสารที่ต้องการสื่อว่า 

“ฉันอยากจะขอบคุณคนไทยและรัฐบาลไทยที่ให้เราอยู่ที่นี่ แม้ว่าเราจะอยู่อย่างผิดกฎหมาย ชาวพม่ามาที่ประเทศไทยด้วยสถานการณ์ที่แตกต่างกัน พวกเรามาที่นี่เพราะการปฏิวัติของเรา (การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ) ทำให้เราอยู่ที่พม่าไม่ได้”

ชาวพม่ากำลังนำความเป็นสหพันธรัฐและประชาธิปไตยกลับคืนมา วันหนึ่งเราจะกลับบ้านของเรา แต่ระหว่างปีนี้ ระหว่างสถานการณ์นี้ โปรดเข้าใจเรา

share


Share article
  • Line
  • link

RELATED

+

BIMSTEC คืออะไร ทำไมใครๆ ไม่อยากให้ มิน อ่อง หลาย ผู้นำพม่าเข้าร่วม?

แผ่นดินไหวพม่าอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของวิกฤติสงครามกลางเมือง

ประชากรเกาหลีใต้อาจเหลือครึ่งเดียวในอีก 60 ปี? เกาหลีใต้วางแผนรับผู้อพยพพม่า เพื่อแก้ปัญหาประชากรลด

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ในพม่า ของขวัญเล็กๆ จากมหามิตรรัสเซีย ที่อาจสั่นสะเทือนแผนพลังงานทั้งภูมิภาค

จากเล่าก์ก่ายถึง ชเว โก๊กโก่ แผนจัดระเบียบชายแดนพม่า ‘สันติภาพที่จัดการได้’ ตามแบบฉบับจีน

ไทยรัฐออนไลน์ ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

ยอมรับ
Thailand Web Stat