อาชีพ ‘ช่างเสริมสวย’ ก็สามารถช่วยเหลือ ‘เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว’ ได้นะ
...
Summary
- ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ บังคับ หรือการพยายามควบคุมผู้อื่นในครอบครัว นอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญแล้ว ยังถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ผู้หญิงทั่วโลกต่างต้องเผชิญในแต่ละวัน องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั่วโลก เคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ทั้งทางร่างกาย และ/หรือทางเพศ
- ที่ออสเตรเลีย ก็มีการเผชิญปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในโลก จากสถิติชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกๆ 9 วัน จะมีผู้หญิงในออสเตรเลียเสียชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว 1 คน โดยความรุนแรงจากคู่รักเป็นสาเหตุการตาย ความพิการ และปัญหาสุขภาพที่สำคัญของผู้หญิงในออสเตรเลียที่มีอายุ 25-44 ปี และผู้หญิง 1 ใน 4 ก็มีประสบการณ์ความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่อายุ 15 ปี
- แต่ทั้งนี้ อาชีพ ‘ช่างเสริมสวย’ ในออสเตรเลีย สามารถช่วยเหลือ ‘เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว’ ได้ โดยผ่านการอบรมจากโครงการ HaiR-3Rs ที่ฝึกให้ช่างเสริมสวย สังเกตสัญญาณต่างๆ ของความรุนแรงในครอบครัวของลูกค้า เพื่อให้คำแนะนำ และส่งต่อความช่วยเหลือให้แก่พวกเธอ
...
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ บังคับ หรือการพยายามควบคุมผู้อื่นในครอบครัว นอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญแล้ว ยังถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ผู้หญิงทั่วโลกต่างต้องเผชิญในแต่ละวัน โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงจากผู้ชาย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงทั่วโลก เคยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทั้งทางร่างกาย และ/หรือทางเพศ โดย 27 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงอายุ 15-49 ปี เคยถูกคู่รักกระทำความรุนแรงทางร่างกาย และ/หรือทางเพศ ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว หรือองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรง ฯลฯ
แต่ที่ประเทศออสเตรเลีย ยังมีอีกอาชีพที่อาจสามารถช่วยลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว อาชีพนั้นคือ ‘ช่างเสริมสวย’
‘ช่างเสริมสวย’ ในออสเตรเลีย สามารถช่วยเหลือ ‘เหยื่อความรุนแรงในครอบครัว’ ได้
ผู้หญิงในออสเตรเลียก็เผชิญปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จากสถิติชี้ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ทุกๆ 9 วัน จะมีผู้หญิงในออสเตรเลียเสียชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว 1 คน โดยความรุนแรงจากคู่รักเป็นสาเหตุการตาย ความพิการ และปัญหาสุขภาพที่สำคัญของผู้หญิงในออสเตรเลียที่มีอายุ 25-44 ปี และผู้หญิง 1 ใน 4 ก็มีประสบการณ์ความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่อายุ 15 ปี
บ่อยครั้ง การสังเกตว่าผู้หญิงคนใดถูกกระทำรุนแรง อาจเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ มีผู้หญิงจำนวนน้อยมากที่ประสบกับความรุนแรงในครอบครัว แล้วจะแจ้งตำรวจหรือองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือ – สิ่งนี้จึงได้ผลักดันให้เกิดโครงการ HaiR-3Rs ที่ฝึกอบรมให้ ‘ช่างเสริมสวย’ สังเกตสัญญาณต่างๆ ของความรุนแรงในครอบครัวของลูกค้า เพื่อให้คำแนะนำ และส่งต่อความช่วยเหลือให้แก่พวกเธอ
HaiR-3Rs ดำเนินการภายใต้แนวคิดที่ว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะพูดคุยกับคนที่พวกเธอไว้วางใจ หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ซึ่งอาชีพช่างเสริมสวยในอุตสาหกรรมความงาม เช่น ช่างแต่งหน้าและทำผม (Hair and Makeup Artist), ช่างทำผม (Hairdresser) และนักบำบัดด้านความงาม (Beauty Therapist) ถือเป็นกลุ่มอาชีพที่ผู้หญิงผู้มาใช้บริการมักให้ความไว้วางใจ
โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกๆ 9 วัน จะมีผู้หญิงในออสเตรเลียเสียชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว 1 คน โดยความรุนแรงจากคู่รักเป็นสาเหตุการตาย ความพิการ และปัญหาสุขภาพที่สำคัญของผู้หญิงในออสเตรเลียที่มีอายุ 25-44 ปี และผู้หญิง 1 ใน 4 ก็มีประสบการณ์ความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่อายุ 15 ปี
มีการวิจัยในออสเตรเลียชี้ว่า พนักงานร้านเสริมสวยได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว แต่กลับไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยให้คำแนะนำการจัดการกับความรุนแรงในครอบครัวแก่ลูกค้า โครงการ HaiR-3Rs มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดช่องว่างนี้ และป้องกันไม่ให้เหยื่อความรุนแรงในครอบครัวต้องตกอยู่ในความเสี่ยง
HaiR-3Rs เริ่มขึ้นในปี 2016 ด้วยความช่วยเหลือของโครงการ Cut It Out Canada and Family Violence – It’s Not OK จากประเทศแคนาดา โครงการนำร่องเปิดตัวในร้านเสริมสวยในเมลเบิร์นเมื่อปี 2018 โดยมีคนทำงานร้านเสริมสวย 309 คน เข้ารับการฝึกอบรมในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งแม้เงินช่วยเหลือจากแหล่งทุนจะหมดลงไป แต่ HaiR-3Rs ยังคงฝึกอบรมคนทำงานร้านเสริมสวยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้มันถือเป็นโครงการฝึกอบรมการให้คำแนะนำเรื่องความรุนแรงในครอบครัวระดับชาติโครงการเดียว ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับความงามของออสเตรเลีย ซึ่งในปัจจุบัน มีคนทำงานร้านเสริมสวยที่ผ่านการฝึกอบรมมากกว่า 1,000 คน และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โครงการนี้มีจุดหมาย 3 ประการ คือ (1) ตระหนักถึงสัญญาณที่อาจเป็นความรุนแรงในครอบครัว (Recognize potential signs of family violence) (2) ตอบสนองต่อการเปิดเผยของลูกค้า (Respond to a client’s disclosure) และ (3) ส่งต่อไปยังบริการสังคมสงเคราะห์ที่เหมาะสม (Refer to an appropriate social service)
โดยหลักสูตรการฝึกอบรม ประกอบไปด้วย :
- การรับรู้ถึงสัญญาณของความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงสัญญาณเฉพาะจากงานด้านการเสริมสวย
- การตอบสนองต่อการเปิดเผยความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการเริ่มพูดคุยกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน เกี่ยวกับสัญญาณของการล่วงละเมิดที่อาจเกิดขึ้น
- เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงวิธีที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน
- การทำความเข้าใจเรื่องความรุนแรงในครอบครัว และความเหลื่อมล้ำทางเพศ
- ความสามารถในการท้าทายทัศนคติที่เป็นอันตรายและแบบแผนทางเพศที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อผู้หญิง
เราไม่ใช่ที่ปรึกษา ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ แต่เราสามารถเป็น ‘คนที่คุณไว้ใจได้’
เมื่อช่วงปี 2021 หลังจากปิดทำการเป็นเวลา 11 สัปดาห์เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 โซวี เอแวนส์ (Zowie Evans) เจ้าของร้านทำผมในเมลเบิร์น รอคอยที่จะได้ต้อนรับผู้คนกลับมาที่ร้านของเธอ สำหรับลูกค้าของเธอบางรายที่ประสบกับความรุนแรงในครอบครัว เธอรู้ว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงเหล่านั้นจะสามารถพูดคุยกับใครบางคน โดยไม่มีคู่รักของพวกเขาอยู่ด้วยในรอบหลายเดือน
“การทำผมมักจะเป็นบริการแบบตัวต่อตัว ซึ่งคู่รักมักจะปล่อยให้พวกเธอออกจากบ้านมาคนเดียวได้” เอแวนส์ กล่าว “เราไม่ใช่ที่ปรึกษา ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ แต่เราสามารถเป็นคนที่คุณไว้ใจได้”
ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดนั้น ออสเตรเลียถือเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้มาตรการปิดเมืองล็อกดาวน์อย่างยาวนาน ซึ่งความรุนแรงในครอบครัวก็เพิ่มขึ้นมากในช่วงนั้นด้วยเช่นกัน เอแวนส์ระบุว่า เธอมีบทสนทนาเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวมากกว่าที่เคยเป็นมา ในอาชีพการทำงาน 30 ปีของเธอ
“เมื่อผู้คนถูกล็อกดาวน์ ก็ยิ่งไม่มีทางหนีรอดไปได้” เอแวนส์กล่าว "มีความวิตกกังวลในระดับที่สูงขึ้น และเราต้องรับมือกับการสนทนาถึงเรื่องนี้ (ความรุนแรงในครอบครัว) มากกว่าที่เคยเป็นมา"
ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดนั้น ออสเตรเลียถือเป็นประเทศหนึ่งที่ใช้มาตรการปิดเมืองล็อกดาวน์อย่างยาวนาน ซึ่งความรุนแรงในครอบครัวก็เพิ่มขึ้นมากในช่วงนั้นด้วยเช่นกัน เอแวนส์ระบุว่า เธอมีบทสนทนาเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวมากกว่าที่เคยเป็นมา ในอาชีพการทำงาน 30 ปีของเธอ
เอแวนส์ยังคงถูกหลอกหลอนจากประสบการณ์ครั้งแรก ที่เธอมีต่อลูกค้าคนหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะถูกกระทำด้วยความรุนแรงจากคนในครอบครัว ลูกค้าคนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากจอดรถก่อนเวลานัดหมาย และทำท่าเก้ๆ กังๆ
“ฉันพยายามเข้าใจสถานการณ์… เธอมองฉันราวกับว่า ฉันเป็นตัวประหลาด” เอแวนส์เล่า “จากนั้น เธอก็พูดบางอย่างที่ชวนให้เกิดข้อสงสัย จนกระตุกต่อมคิดของช่างทำผม นั่นคือ ‘ได้โปรดอย่าตัดผมสั้นเกินไป เพราะคนรักของฉันไม่ชอบที่มันสั้นเกินไป’” โดยเอแวนส์ระบุต่อว่า “ฉันกลัวมาก ฉันคิดว่าเธอจะถูกทุบตีเมื่อเธอกลับบ้าน แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ฉันจึงไม่ทำอะไรเลย”
ในวันนั้นเอแวนส์รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ดังนั้น เมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับโครงการ HaiR-3Rs เธอจึงรีบคว้าโอกาสเข้าร่วม
“คุณจะต้องทึ่งกับสิ่งที่ลูกค้าคุยกับช่างเสริมสวยในประเด็นนี้” แมนดี ฮัดสัน (Mandy Hudson) หัวหน้าผู้ฝึกอบรมของ Hair 3-Rs กล่าวถึงการอบรมครึ่งวัน ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ช่างเสริมสวยสามารถเข้าแทรกแซงสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า
“ฉันคิดว่าเป็นเพราะความสบายใจเมื่อช่างเสริมสวยสัมผัสตัวคุณ” ฮัดสันอธิบายต่อ “นั่นคือเหตุผลที่ผู้หญิงแบ่งปันเรื่องราวให้กับช่างเสริมสวย เรื่องที่พวกเธออาจไม่แบ่งปันกับคนอื่นได้ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว”
นิกกิ (Nikki) หนึ่งผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการ HaiR-3Rs กล่าวว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ถ้าลูกค้าเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัว หรือต้องแบ่งจ่ายค่าบริการด้วยบัตรเครดิตหลายๆ ใบ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าพวกเธอกำลังเผชิญความรุนแรงในครอบครัวอยู่”
ช่างเสริมสวยที่ไม่ได้เข้าร่วมการอบรม มักจะตอบสนองต่อการเปิดเผยเรื่องความรุนแรงในครอบครัวด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 2 วิธีนี้ – วิธีแรกคือการเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย ส่วนวิธีต่อมาคือบอกลูกค้าว่า “คุณแค่ต้องหนีออกมา” ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ดร.ฮันนาห์ แมกแคนน์ (Dr.Hannah McCann) ผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของพนักงานร้านเสริมสวยต่อชีวิตทางอารมณ์ของผู้มาใช้บริการ กล่าวว่า “หากมีคนเปิดเผยว่า คู่รักของพวกเธอใช้ความรุนแรง และช่างเสริมสวยสนับสนุนให้พวกเธอหนีออกมา นั่นเป็นสิ่งที่อันตรายจริงๆ สำหรับใครบางคนที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ” เธอกล่าว
แม้ว่าช่างเสริมสวยอาจรับรู้โดยสัญชาตญาณว่า มีรอยฟกช้ำที่คอของลูกค้า หรือปอยผมที่หายไปจากหนังศีรษะ แต่ความรุนแรงในครอบครัวไม่ได้มีสัญญาณบ่งบอกทางกายภาพเสมอไป
บริดเจต (Bridget) ผู้รอดชีวิตจากการถูกบังคับควบคุมในความสัมพันธ์ (Coercive Control)* เปิดใจกับช่างเสริมสวยเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอ หลังจากเห็นโปสเตอร์ HaiR-3Rs บนกระจกในร้านเสริมสวย
“คนมักจะไม่เข้าใจว่า ความรุนแรงทางจิตใจและอารมณ์นั้น รุนแรงพอๆ กับความรุนแรงทางร่างกาย” เธอว่า “มันเป็นเรื่องของการควบคุม การให้ใครสักคนทำ ลงมือทำ และคิดในแบบที่พวกเขาต้องการ”
“เมื่อช่างเสริมสวยยินดีที่จะรับฟัง นั่นเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก คุณไม่ได้ขอให้พวกเขาแก้ไข คุณเพียงแค่ต้องการคนรับฟัง... มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันจะไม่เป็นอะไร” บริดเจตเผยความรู้สึก
ช่างเสริมสวยที่ไม่ได้เข้าร่วมการอบรม มักจะตอบสนองต่อการเปิดเผยเรื่องความรุนแรงในครอบครัวด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 2 วิธีนี้ – วิธีแรกคือการเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย ส่วนวิธีต่อมาคือบอกลูกค้าว่า “คุณแค่ต้องหนีออกมา” ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เจนนี ทาร์แรนต์ (Jenni Tarrant) เจ้าของร้าน Bond Hair Religion ในกรุงแคนเบอร์รา ซึ่งเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก เมื่อเธอเรียนรู้เกี่ยวกับ HaiR-3Rs เธอก็ตัดสินใจเข้าร่วมลงทะเบียนเพื่อขอรับการฝึกอบรม
“เราไม่ได้คาดหวังให้ตัวเองกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เรามีรายชื่อบุคคลสำหรับส่งต่อเพื่อไปเข้ารับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งอาจอาจพูดได้ว่า สิ่งที่เราทำ เราเพียงหวังว่า เมื่อส่งต่อใครสักคนไปยังคนทำงานสังคมสงเคราะห์ หรือที่พักพิงสำหรับผู้หญิง บริการเหล่านั้นจะช่วยเหลือพวกเธอได้จริงๆ และมั่นใจว่ามีงบประมาณสนับสนุนที่เพียงพอ”
ทีมผู้ฝึกอบรมของโครงการ HaiR-3Rs ได้เดินทางไปฝึกอบรมช่างเสริมสวยมากกว่า 1,000 คน จากช่างเสริมสวยทั้งหมดทั่วออสเตรเลีย ที่มีมากกว่า 70,000 คน ทั้งนี้ฮัดสันหวังว่าการฝึกอบรมสร้างความตระหนักรู้ถึงความรุนแรงในครอบครัว จะกลายเป็นข้อบังคับระดับชาติสำหรับอาชีพช่างเสริมสวยในออสเตรเลีย
“เราสามารถทำงานร่วมกับใครก็ได้ ในการออกแบบโครงการที่ใช้อาชีพที่พวกเขาทำอยู่เป็นฐาน เพื่อช่วยลดความรุนแรงในครอบครัวสำหรับผู้หญิงที่พวกเขาต้องพบเจอในแต่ละวัน เราสามารถทำงานร่วมกับทันตแพทย์ ตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ คนทำงานด้านสัตว์เลี้ยง เราทำงานกับอาชีพใดก็ได้” ทาร์แรนต์สรุป
* การบังคับควบคุม (Coercive Control) หมายถึงความรุนแรงในรูปแบบของพฤติกรรมที่ผู้กระทำ (Abuser) ใช้ในการควบคุม บงการชีวิต และจำกัดอิสรภาพของผู้ถูกกระทำ เช่น สอดส่อง ควบคุม จำกัดการสื่อสารกับคนรอบข้าง, ความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือครอบครัว, การใช้เงิน และอาจรวมถึงการทำร้ายร่างกายและจิตใจด้วย
อย่างไรก็ตาม การบังคับควบคุมนี้มีความซับซ้อน และยากต่อการสังเกตมากกว่าบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายร่างกาย และความรุนแรงรูปแบบนี้ มักจะเกิดในความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิด เช่น คู่รัก ผู้ปกครองกับบุตร ฯลฯ
การบังคับควบคุมส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ถูกกระทำ เช่น รู้สึกไม่มั่นคง ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ และตกอยู่ในสภาวะที่ต้องพึ่งพิงผู้กระทำในการดำรงชีวิต – ซึ่ง ศาสตราจารย์ เอแวน สตาร์ก (Evan Stark) นักสังคมสงเคราะห์และผู้เขียนหนังสือ Coercive Control เทียบว่าการถูกบังคับควบคุมเปรียบเสมือนการถูกจับเป็นตัวประกัน เขากล่าวว่า เมื่อตกอยู่ในความสัมพันธ์รุนแรงรูปแบบนี้ “เหยื่อจะกลายเป็นเชลยในโลกจำลองซึ่งสร้างขึ้นโดยผู้กระทำ ติดอยู่ในโลกแห่งความสับสน ความขัดแย้ง และความกลัว”
ที่มา : Shero Thailand
อ้างอิง :
Violence against women (WHO, 9 March 2021)
Online training available to help hairdressers deal with possible increase in family violence disclosures (Matilda Marozzi, ABC Radio Melbourne, 21 October 2021)
Hairdressers are being trained to spot family violence. These are the signs they look for (Marcus Costello, SBS, 5 April 2022)
MCM BEAUTY PARTNERS WITH HAIR-3RS TO HELP END VIOLENCE AGAINST WOMEN (MCM BEAUTY, 9 December 2022)
