Humberger Menu

ครม. เศรษฐา 1 เพื่อไทยเสียกระทรวงสำคัญให้พรรคร่วม จะพลิกเกมอย่างไร

-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

Politics & Society

Thai Politics

Politics

3 ก.ย. 66

creator
บูรพา เล็กล้วนงาม
BookmarkLineCopy
-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

...

Summary
  • รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน 1 พรรคเพื่อไทยเสียหลายกระทรวงที่มีความหมายไปให้พรรคร่วมรัฐบาลหลายกระทรวงที่มีความหมายไป รวมถึงกระทรวงเศรษฐกิจที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องไปให้พรรคร่วมรัฐบาล
  • พรรคเพื่อไทย แม้เป็นแกนนำ แต่มี สส. 141 คน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ มี สส. รวมกันถึง 173 คน ซึ่งมากกว่า สส.พรรคเพื่อไทย ฉะนั้น อำนาจต่อรองของพรรคเพื่อไทยจึงมีไม่มาก และต้องแบ่งกระทรวงก่อนวันโหวตนายกฯ
  • แต่สิ่งที่เพื่อไทยได้คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้จะแพ้เลือกตั้งต่อพรรคก้าวไกล ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับบ้าน และพรรคเพื่อไทยน่าจะบริหารงานได้ราบรื่นขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ได้รับความยุติธรรมสองมาตรฐานอีก อาทิ การถูกยุบพรรค เพราะข้ามขั้วไปจับมือกับอนุรักษนิยมแล้ว

...


รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน 1 ถือกำเนิดอย่างเป็นทางแล้ว เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา หลังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเสียหลายกระทรวงที่มีความหมายไปให้พรรคร่วมรัฐบาลหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน 

แต่เมื่อความต้องการตรงกันคือ พรรคเพื่อไทยต้องการเป็นรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยากกลับบ้าน ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องการรักษาอำนาจต่อไป และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เสื่อมความนิยมลงไปมาก การตั้งรัฐบาลข้ามขั้วจึงเกิดขึ้น และความบาดหมางจึงถูกวางลงก่อน

คณะรัฐมนตรีชุดนี้มีรัฐมนตรี 33 คน เหลือตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอีก 2 คน เหมือนพรรคเพื่อไทยรอปรับคณะรัฐมนตรีในไม่ช้า หรือรอ สส.ประชาธิปัตย์เข้ามาเสียบ

การเสียกระทรวงที่มีความหมายไป สะท้อนภาพเหตุการณ์จัดตั้งรัฐบาลเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา นั่นคือ ท่าทีไม่จริงใจที่พรรคเพื่อไทยมีต่อพรรคก้าวไกล เหมือนไม่ใช่ผู้ที่ต้องการร่วมงานกัน เมื่อครั้งยังอยู่ในฐานะ 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาล เป็นอย่างไร มาบัดนี้พรรคเพื่อไทยได้รับสิ่งเหล่านั้นกลับคืนมาหมดจากพรรคฝั่งรัฐบาลเดิมที่ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ 314 เสียง โดยพรรคร่วมรัฐบาลทำราวกับว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแค่เรือจ้าง 

แม้พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และ สส. มากกว่าใครในซีกรัฐบาล แต่สิ่งนี้แทบไม่มีความหมาย และไม่มีความเกรงอกเกรงใจกัน เพราะพรรคแกนนำต้องเสียกระทรวงสำคัญ รวมถึงกระทรวงเศรษฐกิจที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องไปให้พรรคร่วมรัฐบาล จึงน่าสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และพรรคเพื่อไทยจะพลิกสถานการณ์สูญเสียอำนาจต่อรอง และมีความนิยมติดลบจากการตระบัดสัตย์ ได้ด้วยวิธีไหน

แม้พรรคสีแดงจะต้องเสียคำพูด เสียความนิยม และเสียเก้าอี้สำคัญ ไปแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยก็ได้สิ่งที่ปรารถนาเช่นกัน นั่นคือ 

  • ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้จะแพ้เลือกตั้งต่อพรรคก้าวไกล
  • ทักษิณ ชินวัตร บิดา แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้กลับประเทศไทยมารับโทษจากคดีความ 3 คดี รวมโทษจำคุก 8 ปี แต่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 มีการพระราชทานอภัยลดโทษให้ทักษิณ เหลือโทษจำคุกแค่ 1 ปี และอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ต้องอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เพราะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 
  • พรรคเพื่อไทยน่าจะบริหารงานได้ราบรื่นขึ้นกว่าเดิม โดยไม่ได้รับความยุติธรรมสองมาตรฐานอีก อาทิ การถูกยุบพรรค เพราะขณะนี้พรรคสีแดงได้รวมตัวกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมแล้ว 

ถ้ามองมุมนี้อาจจะถือว่าพรรคสีแดงได้กำไรไปแล้วถึงสามต่อ


ถ้ารัฐบาลไม่ประคองแรงต้านที่จะตามมาไว้ให้ดี การได้กลับบ้านของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 อาจเป็นทุกขลาภ และแปรเปลี่ยนเป็นความสูญเสียได้ในภายหลัง ทั้งของพรรคเพื่อไทย และของประชาชน 

share


สำหรับรัฐบาลเศรษฐา 1 จริงอยู่ การเสียกระทรวงสำคัญเป็นเรื่องเสียหายต่อการทำงานของพรรคเพื่อไทย แต่มองอีกมุม การจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐา 1 ก็มาจากข้อจำกัดหลายประการ 

  • ข้อจำกัดแรกเกิดจากตัวพรรคแกนนำเองที่มี สส. 141 คน แต่พรรคร่วมรัฐบาลมี สส. รวมกันถึง 173 คน ซึ่งมากกว่า สส.พรรคเพื่อไทย ฉะนั้น อำนาจต่อรองของพรรคเพื่อไทยจึงมีไม่มาก อีกทั้งเงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทยวางเอาไว้ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรีคือ ให้ทุกพรรคโหวตให้เศรษฐาไปก่อนแล้วค่อยมาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีในภายหลังถูกตีแตก โดยพรรคเพื่อไทยต้องยอมแถลงข่าวกับพรรคร่วมรัฐบาลก่อนวันโหวตหนึ่งวันว่าจะแบ่งโควตาให้แต่ละพรรค พรรคละกี่เก้าอี้ 
  • ข้อจำกัดประการต่อมาคือ พรรคอันดับสองสูญเสียความนิยมและภาพลักษณ์ที่ดีไปเกือบหมดสิ้นในการเสียสัจจะทิ้งก้าวไกลเพื่อมาจับมือกับพรรคฝั่งรัฐบาลเดิมที่อยู่คนละขั้วกันมาก่อน ฉะนั้น กระทรวงที่มีความหมายจึงต้องถูกนำแลกไปเพื่อให้พรรคอื่นมายกมือสนับสนุน

แต่ข้อจำกัดทั้งสองประการ พรรคเพื่อไทยที่อยู่ในสนามการเมืองมายาวนาน น่าจะคาดเดาสถานการณ์ได้ แต่ก็ยังฝืนมาตั้งรัฐบาลเอง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง


เดินหน้าประเทศ หรือเป็นแค่ข้ออ้าง

ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคมปีนี้ เมื่อครั้งที่มีข้อเสนอให้รอ 10 เดือนเพื่อให้ สว. หมดวาระ แล้วค่อยเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นับเฉพาะเสียงของ สส. เท่านั้น พรรคเพื่อไทยกลับไม่เห็นด้วย เพราะกลัวโรคแทรกซ้อน ต้องการให้ประเทศเดินหน้า มีการกล่าวอ้างถึงปัญหาเศรษฐกิจ และต้องการให้มีรัฐบาลชุดใหม่มาเริ่มต้นกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

อีกทั้งขณะพรรคอันดับสองประกาศแยกทางจากพรรคอันดับหนึ่ง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยบอกว่า ต้องการหาทางออกให้ประเทศ และจะเร่งแก้วิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชน 

มีการมองว่า พรรคเพื่อไทยเล่นใหญ่เกินเบอร์ เพราะพรรคเพื่อไทยมีแค่ 141 เสียง ไม่สามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่สามารถสร้างผลงานได้เช่นในอดีต เมื่อเศรษฐาได้เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ กลับกลายเป็นหนังคนละม้วนจริงๆ  

เหตุผลที่พรรคเพื่อไทยใช้ตีจากพรรคก้าวไกลเพื่อจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว โดยเฉพาะเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทยกลับไม่จริงจัง และยอมปล่อยกระทรวงเศรษฐกิจไปให้พรรคร่วมรัฐบาลหลายกระทรวง ซึ่งน่าจะทำให้การทำงานด้านเศรษฐกิจมีรอยต่อ 


หากพรรคเพื่อไทยจริงจังต่อการแก้ไขปัญหาปากท้อง พรรคเพื่อไทยก็ควรควบรวมกระทรวงเศรษฐกิจเอาไว้ที่ตนเอง แล้วปล่อยกระทรวงด้านอื่นไปให้พรรคร่วมรัฐบาลดูแล

share


เมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ สิ่งที่จะได้เห็นต่อไป คือ หน้าที่หลักในการทำงาน การชี้แจง และผลักดันนโยบายต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จ จะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ส่วนรัฐมนตรีและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอื่น คงจะเน้นผลักดันแต่วาระของตัวเอง

สังเกตได้จากเหตุการณ์สภาผู้แทนราษฎรล่ม เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพราะมี สส. แสดงตนเข้าร่วมประชุมสภาฯ แค่ 98 คน จาก 498 คน หน้าที่ในการชี้แจงและตอบโต้ตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว พรรคร่วมรัฐบาลอื่นไม่ได้มาช่วยอธิบายด้วย ทั้งที่การทำหน้าที่ให้สภาครบองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ตามที่พรรคเพื่อไทยได้อธิบายเมื่อสมัยเป็นฝ่ายค้านในการประชุมสภาชุดที่แล้ว ระหว่างปี 2562-2566

กรณีหากการบริหารงานมีปัญหาหรือเกิดเรื่องอื้อฉาว พรรคเพื่อไทยน่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด ในฐานะเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นพรรคเดียวในฝั่งรัฐบาลที่ประชาชนยังอาจฝากความหวังเอาไว้ได้ 

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นน่าจะลอยตัวเหนือปัญหาได้อีกครั้ง เหมือนที่พวกเขาปฏิบัติมาตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมาที่เป็นรัฐบาล อาทิ รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยที่มีปัญหาการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และการบริหารกระทรวงคมนาคมถูกร้องเรียนจนต้องถูกสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ หรือนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถทำตามนโยบายช่วงหาเสียงได้ เช่น ค่าแรง 425 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 20,000 บาท และลดภาษีประเภทต่างๆ 

เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนจะฝากความหวังอะไรจากรัฐบาลผสมได้อีก และการที่พรรคอันดับสองบอกว่าจะเดินหน้าประเทศ คงต้องถามว่าจะเดินไปทางไหน 

ตัวอย่างเช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ต้องนำงบประมาณส่วนหนึ่งมาจาก การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท หรือการตัดงบประมาณจากกระทรวงต่างๆ มาโปะโครงการเงิน 10,000 บาท พรรคเพื่อไทยจะไปตัดงบประมาณมาจากกระทรวงไหน และพรรคร่วมรัฐบาลจะยอมให้ตัดงบประมาณในกระทรวงที่พรรคร่วมรัฐบาลรับผิดชอบหรือไม่ หรือพรรคเพื่อไทยจะต้องตัดงบประมาณเฉพาะจากกระทรวงที่ตนเองดูแล หรือสุดท้ายต้องกู้เงินมาแจกชาวบ้าน 


การเป็นรัฐบาลโดยไม่มีความพร้อมเต็มที่ แต่ให้ความหวังกับประชาชนเต็มเปี่ยม ถือเป็นการลงทุนจะมีความเสี่ยงมาก เพราะเป็นลงทุนหลักหมื่น แต่ได้โอกาสทำงานแค่หลักร้อยหลักพัน หรือความรับผิดชอบทั้งหมดเป็นราคาที่พรรคเพื่อไทย และประชาชนต้องจ่าย 

share


ความไม่ชัดเจนในการทำตามนโยบายเริ่มแสดงออกให้เห็นแล้ว เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา เศรษฐา กล่าวถึงค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายว่า “ต้องขอไปพิจารณาก่อน แม้จะบอกว่าเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย แต่เราไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว เรามีพรรคร่วมรัฐบาลอีก 10 พรรค ฉะนั้นจึงต้องไปพิจารณานโยบายโดยรวมก่อน”


เพื่อไทยจะพลิกสถานการณ์อย่างไร

การได้เป็นรัฐบาลย่อมมีโอกาสร้างผลงานได้มากกว่าเป็นฝ่ายค้าน จึงมีเหตุผลอันสมควรที่พรรคเพื่อไทยพยายามจะเป็นรัฐบาลให้ได้ พร้อมดันให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน เพราะต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง และต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะร่วมหัวจมท้ายกับพรรคก้าวไกลโดยเป็นแค่รัฐบาลร่วมกัน โอกาสในการเลือกตั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า ย่อมเป็นของพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคแกนนำมากกว่าพรรคเพื่อไทย 

เพราะฉะนั้น จึงไม่ผิดที่พรรคเพื่อไทยจะใช้โอกาสที่พรรคก้าวไกลส่งไม้ให้ ดันแคนดิเดตของพรรคขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ เพื่อเป็นพรรคแกนนำ โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะจะไม่เสียจุดยืนที่ให้ไว้กับประชาชน และจะมีโอกาสให้พรรคเพื่อไทยพลิกกลับมาชนะเลือกตั้งในปี 2570 

แต่พรรคเพื่อไทยเลือกทำเกินงาม ด้วยการถีบพรรคก้าวไกลออกไปเป็นฝ่ายค้าน แล้วไปร่วมรัฐบาลกับพรรครัฐบาลเดิม โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ที่พรรคสีแดงประกาศว่าจะไม่จับมือด้วย พร้อมอ้างว่าต้องการ ‘สลายขั้ว’ ขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน ทำให้พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะได้ครองเก้าอี้ผู้นำประเทศ แต่กลับติดลบด้านความนิยมตั้งแต่เศรษฐายังไม่ขนของเข้าทำเนียบรัฐบาล

แต่ถ้าพรรคอันดับสองสามารถแก้ไขปัญหาปากท้องได้อย่างเห็นผล และสามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน พรรคเพื่อไทยก็ยังจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์เนื่องจากจะเกิดกระแสสนับสนุนจากประชาชนและสังคม ซึ่งจะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความเกรงใจ โดยสิ่งที่พรรคสีแดงควรทำให้สำเร็จคือ ทำเรื่องที่ประกาศเอาไว้เอง ได้แก่ 

  • ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเริ่มจากมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมครั้งแรก ให้มีการทำประชามติ และจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ให้ เมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ รัฐบาลจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งใหม่
  • ผลักดันเรื่องกฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายสุราก้าวหน้า การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ ฯลฯ ผลักดันการกระจายอำนาจ ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม 

แต่ถ้าพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์ของ เศรษฐา ทวีสิน และแกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ออกลูกประนีประนอมแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าพรรคเพื่อไทยจะทำภารกิจสำคัญได้หรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชน ปฏิรูปกองทัพ และยกเลิกเกณฑ์ทหาร 

ในเรื่องปฏิรูปกองทัพที่เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทย เศรษฐาตอบว่า พรรคเพื่อไทยจะพัฒนาไปร่วมกันกับกองทัพ โดยจะต้องดูกันตามความเหมาะสม และต้องพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพทั้งหมด 

เมื่อคืนวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา เศรษฐาเผยแพร่ภาพถ่ายร่วมกันนักธุรกิจระดับเจ้าสัวที่มาแสดงความยินดี ณ ห้องอาหารแห่งหนึ่ง โดยเขียนข้อความว่ามารับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ  

ประเด็นนี้เป็นดาบสองคมขึ้นมาทันที เพราะนอกจากการพบปะนักธุรกิจเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสามารถทำได้แล้ว ยังทำให้คนส่วนหนึ่งเกิดความระแวงว่า จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์หรือไม่ ซึ่งแม้วันต่อมานายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธ แต่ก็ต้องเผชิญกับคำถามที่ตอบยาก เช่น ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพที่ออกมาขัดกับนโยบายพรรคเพื่อไทยที่จะลดการผูกขาดของกลุ่มทุนหรือไม่ เศรษฐากล่าวว่า “ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ เพราะมันไม่เป็นธรรมกับผมและบุคคลในภาพสักเท่าไร”

เมื่อเศรษฐาตอบเช่นนี้ จึงสร้างข้อสงสัยว่า นโยบายทลายทุนผูกขาดและส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมของพรรคเพื่อไทย จะได้รับการปฏิบัติจริงหรือไม่ ด้วยวิธีไหน


ถ้าพรรคเพื่อไทยจะตีคะแนนคืน ก็ต้องทำนโยบายปากท้องให้เห็นผลเต็มที่ 

share

 

แต่ก็มีหลายนโยบายที่ไม่สามารถทำได้โดยง่าย อาทิ กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ยังไม่ชัดเจนหลายเรื่อง เช่น เงินที่จะตัดจากงบประมาณมาโปะ มาจากกระทรวงไหน นโยบายค่ารถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย จะทำได้จริงเมื่อไหร่ และนโยบายลดราคาน้ำมัน ไฟฟ้า แก๊ส ทันที จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าราคาลดลงแล้วได้อย่างไร ในสภาวะที่ค่าพลังงานพุ่งขึ้นรายวันเช่นนี้ อีกทั้งเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานก็ตกเป็นของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติไปแล้ว 

ทุกอย่างจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขนาดมองถึงการทำงานของรัฐบาลตามปกติก็แทบเข็นไม่ขึ้นแล้ว ยังไม่นับปัญหาแทรกซ้อนที่คาดไม่ถึง อย่างภัยธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจ ความขัดแย้งของประชาชน สถานการณ์ต่างประเทศ ฯลฯ


หลายความเสี่ยงถาโถมรัฐบาลเศรษฐา

การพลิกสถานการณ์ด้วยการสร้างผลงานเสมือนเหรียญสองด้าน เพราะถ้าทำได้ก็จะได้รับคะแนนนิยมไปเต็มที่และเสริมสร้างความมั่นคงให้รัฐบาลเพื่อไทยได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ ก็จะส่งผลในทางตรงข้ามทันที เมื่อบวกกับต้นทุนติดลบเดิมพรรคเพื่อไทยต้องจ่ายเพื่อให้ได้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว จุดจบของรัฐบาลเศรษฐาอาจจะมาเร็วกว่าที่คาดคิดก็เป็นได้ 

อดีตผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย บก.ลายจุด สมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรม คาดการณ์ว่า โหวตเตอร์ของพรรคเพื่อไทยสูญเสียไป ร้อยละ 30-50 จากสถานการณ์ที่ผ่านมา 

ถ้าสิ่งที่ บก.ลายจุดคาดคะเนใกล้เคียงความจริง และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังไม่ฟื้นจากวิกฤติศรัทธา มีโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้ สส. ลดลงเกินกว่าครึ่ง และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจะไหลไปอยู่กับพรรคก้าวไกลเป็นส่วนใหญ่ อาจทำให้โอกาสแลนด์สไลด์ตกเป็นของพรรคสีส้ม 

ส่วนพรรคสีแดงทำงานเต็มที่ ก็จะไม่เจ็บตัว เพราะถ้าคิดว่า แก้ปัญหาปากท้องให้มีผลงาน แล้วหวังว่าประชาชนจะกลับมาเลือกอีกก็เป็นไปได้ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะขนาดการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเปิดนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ประชาชนยังไม่เลือกเข้าเป้า แต่เทใจให้พรรคก้าวไกลเป็นอันดับหนึ่ง

ปัจจัยความเสี่ยงที่รัฐบาลเศรษฐามองข้ามไม่ได้คือ แม้พรรคการเมืองต่างขั้วจะมาประสานผลประโยชน์ลงเรือลำเดียวกันแล้ว แต่ประชาชนที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองและไม่พอใจ ‘ระบอบทักษิณ’ ในอดีตยังมีอยู่ คนเหล่านี้ได้ปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อแสดงออกเพื่อตรวจสอบและต่อต้านทักษิณ อาทิ เรื่องการปฏิบัติต่อทักษิณให้มีมาตรฐานเดียวกับผู้ต้องขังคนอื่นที่ต้องอยู่ในเรือนจำ และการเร่งรัดให้ดำเนินคดี มาตรา 112 ค้างเก่า ช่วงนี้อาจดูว่ามีประชาชนจำนวนไม่มากที่ออกมาต่อต้าน อีกทั้งโทษจำคุกของทักษิณก็เหลือแค่ 1 ปี แต่ถ้าปล่อยให้มีความสงสัยเรื่องการใช้อภิสิทธิ์เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เป็นไปได้ว่า สักวันอาจเกิดความขัดแย้งรุนแรง 

“ผู้ปกครองเหมือนกับเรือ ประชาชนเหมือนกับน้ำ น้ำทำให้เรือลอยได้ แต่น้ำก็ทำให้เรือจมได้เช่นกัน” ประโยคอมตะของ ถังไท่จง แห่งราชวงศ์ถัง

เศรษฐา ทวีสิน ควรรับรู้สัจธรรมข้างต้นให้จงเหมาะว่า ความอดทนของประชาชนมีขีดจำกัด และพรรคร่วมรัฐบาลไม่อาจเป็นมิตรที่ไว้ได้ วันใดที่ประชาชนออกมาต่อต้านจำนวนมาก หรือรัฐบาลทำผิดพลาดร้ายแรง ถ้าไปไม่ไหวอย่าฝืนไปต่อ มีทางออกอยู่แล้ว 2 ประการ คือ ยุบสภา หรือไม่ก็ ลาออก 



Share article
  • Line
  • link

RELATED

+

นโยบาลรัฐบาล vs. นโยบายหาเสียง ไม่ตรงปก …ก็อาจไม่แปลก

ทิศทางการเมืองไทยหลังทักษิณได้รับอภัยลดโทษ ปิดฉากความขัดแย้ง 20 ปี?

กระทรวงปากท้อง รัฐบาลเพื่อไทย 'เพราะปัญหาปากท้องประชาชนรอไม่ได้'

ชะตาสี่นายกฯ บรรจบกัน เพราะรัฐบาลเสียสัตย์

ไทยรัฐออนไลน์ ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

ยอมรับ
Thailand Web Stat