Humberger Menu

‘มีหญิงสาวในบทกวี’ ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของผู้หญิงในการเมืองอิหร่านสมัยใหม่

-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

Politics & Society

Current Issues

Politics

5 ต.ค. 65

creator
อาทิตย์ ทองอินทร์
BookmarkLineCopy
-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

...

Summary
  • ขบวนการเคลื่อนไหวของสตรีอิหร่านเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1891 ผู้หญิงทั้งชนชั้นสูงและสามัญชนพร้อมใจกันเข้าร่วมขบวนมวลชนลุกฮือต่อต้านนโยบายรัฐบาลราชวงศ์กาญา ที่ให้สัมปทานยาสูบกับอังกฤษ
  • การต่อสู้ของผู้หญิงทำให้ยุคหนึ่งมีการขยายสิทธิของผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น อาทิ สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งและการลงสมัครแข่งขันการเลือกตั้ง สิทธิในการเป็นทนายความและผู้พิพากษา
  • ‘ฮิญาบ’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพราะในอิหร่านมีกฎหมายบังคับให้สวมฮิญาบ แต่ยุคหนึ่ง การสวมฮิญาบเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทั้งสองยุคเป็นการใช้กฎหมายบังคับ โดยที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิในร่างกายตนเอง

...


การชุมนุมของกลุ่มผู้หญิงชาวอิหร่านกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา และท้าทายระบอบการเมืองของอิหร่านมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม บทบาททางการเมืองของผู้หญิงอิหร่านมิใช่เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน 

เช่น ปี 1891 ผู้หญิงทั้งชนชั้นสูงและสามัญชนพร้อมใจกันเข้าร่วมขบวนมวลชนลุกฮือต่อต้านนโยบายรัฐบาลราชวงศ์กาญา (قاجار; Qajar) ที่ให้สัมปทานยาสูบกับอังกฤษ ส่งผลให้อังกฤษควบคุมกิจกรรมการค้าและการส่งออกยาสูบได้โดยเบ็ดเสร็จ เหตุการณ์นี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงอิหร่านแสดงออกทางการเมืองในพื้นที่สาธารณะอย่างชัดเจน จากเดิมที่กิจกรรมของผู้หญิงจะถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในบ้านเรือน

มีหญิงสาว…ในการปฏิวัติรัฐธรรมนูญเปอร์เซีย

เหตุการณ์ที่ถูกนับว่าเป็นเสมือนการตื่นขึ้นของผู้หญิงอิหร่านในทางการเมือง (women’s awakening) คือการปฏิวัติรัฐธรรมนูญเปอร์เซีย ปี 1905 อันเป็นการลุกฮือของขบวนการมวลชนเพื่อต่อสู้กับระบอบชาฮ์ ซึ่งเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และอำนาจครอบงำของมหาอำนาจภายนอก โดยเฉพาะรัสเซียกับอังกฤษ 

เหตุการณ์นี้จึงเป็นเสมือนการต่อสู้ต่อเนื่องมาจากกรณีการประท้วงเรื่องยาสูบในทศวรรษก่อน และสะท้อนว่า การต่อสู้ถูกขับเคลื่อนด้วยสำนึกเชิงชาตินิยม ที่ปรารถนาเห็นความเป็นอิสระของชนชาติจากอำนาจกดทับ นำมาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับ 1906 บัญญัติให้มีระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง และจำกัดพระราชอำนาจของชาฮ์ โดยการต่อสู้ยื้อยุดระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่ในห้วงเวลานี้กินระยะไปจนถึงปี 1911

มวลชนที่เข้าร่วมในขบวนการปฏิวัติรัฐธรรมนูญประกอบขึ้นจากคนหลายกลุ่ม ที่ต้องการออกแบบระเบียบทางสังคมและการเมืองของประเทศใหม่ นำโดยกลุ่มผู้นำศาสนา กลุ่มพ่อค้าวาณิชย์ และกลุ่มปฏิรูปในแนวทางสุดโต่ง

กลุ่มผู้หญิงก็ร่วมส่วนอยู่ในขบวนของมวลชนนี้ โดยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชายในพื้นที่สาธารณะเช่นกัน ขณะที่กลุ่มผู้หญิงบางส่วนเข้าร่วมกับผู้ชายในการต่อสู้แบบติดอาวุธ อีกด้านหนึ่งก็ยังมีผู้หญิงที่ขับเคลื่อนแนวทางต่อสู้ที่มีความเป็นอิสระของตนเองในลักษณะสตรีนิยม ซึ่งเรียกร้องระเบียบทางสังคมและการเมืองใหม่ รองรับสิทธิที่เท่าเทียมกับผู้ชายและการล้มเลิกการกดขี่เอาเปรียบผู้หญิง โดยได้มีการจัดตั้งเป็นองค์กรผู้หญิงขึ้นในขบวนการต่อสู้เพื่อรัฐธรรมนูญด้วย 

ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับปี 1906 รวมทั้งกดดันให้รัสเซียและอังกฤษยุติการแทรกแซงอิหร่าน ผู้หญิงก็มีบทบาทไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย ยกตัวอย่างเช่น ทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐสภามีข้อริเริ่มจัดตั้งธนาคารแห่งชาติขึ้น ผู้หญิงซึ่งเป็นตัวแสดงในกิจกรรมเศรษฐกิจระดับครัวเรือนที่สำคัญตามวัฒนธรรมการผลิตเดิมของสังคม ต่างพากันบริจาคสนับสนุนเงินทุนสำหรับธนาคารแห่งชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ที่ขายเพชรพลอยเครื่องประดับ หรือผู้หญิงในชนชั้นล่างซึ่งนำเงินเก็บออมของตนเอง ปันเข้าช่วยถือส่วนแบ่งของธนาคาร 

ในห้วงเวลาดังกล่าว ผู้หญิงอิหร่านจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมกิจกรรมบอยคอตต์สินค้าจากต่างชาติ และรณรงค์โน้มน้าวร้านรวงต่างๆ มิให้นำเข้าน้ำตาลจากต่างประเทศ 

แม้รัฐธรรมนูญที่พวกเธอปกปักรักษาอย่างสุดจิตสุดใจอยู่นี้จะเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมของพวกเธอก็ตาม แต่ในสายตาของขบวนการผู้หญิง การมีรัฐธรรมนูญดูจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ขาดหายไปไม่ได้สำหรับการได้มาซึ่งอิสรภาพของชนชาติจากการแทรกแซงของมหาอำนาจภายนอก 

ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ในปี 1911 เมื่อปรากฏข่าวลือว่ารัฐสภาอาจยินยอมลงมติตามความต้องการของรัสเซียต่อผลประโยชน์ในอิหร่าน กลุ่มผู้หญิงราว 300 คน พากันบุกรัฐสภาพร้อมอาวุธปืน เข้าไปข่มขู่ให้สมาชิกรัฐสภายืนยันเป้าหมายปกป้องเสรีภาพและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ 

หรือในปีเดียวกัน องค์กรสมาคมของผู้หญิงได้จัดประชุมสาธารณะซึ่งระดมมวลชนเข้าร่วมจำนวนมาก เพื่อวางบทบาทท่าทีของผู้หญิงในขบวนเคลื่อนไหวระดับชาติเพื่อขับไล่อังกฤษและรัสเซียออกไปจากอิหร่าน ในกิจกรรมนี้ รัสเซียได้ส่งตัวแทนมาเจรจาโน้มน้าวว่า กลุ่มผู้หญิงไม่ควรปกป้องรักษารัฐธรรมนูญที่ไม่ปกป้องสิทธิของพวกเธอ ปฏิกิริยาของกลุ่มผู้หญิงต่อผู้แทนรัสเซียคือการกล่าวว่า พวกเธอไม่พอใจต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ความยุ่งยากซับซ้อนทางการเมืองที่วางเงื่อนไขให้กับสภาวะเลวร้ายนี้ เป็นผลสำคัญมาจากการดำรงอยู่ของอำนาจจากภายนอกเช่นรัสเซีย 

ตัวอย่างเหล่านี้บ่งชี้ว่า สำหรับกลุ่มผู้หญิงอิหร่าน สาระสำคัญมิใช่ระดับของการต่อสู้ว่าเป็นปัจเจกหรือชาติ แต่คือเป้าหมายเชิงอุดมคติ คืออิสรภาพและศักดิ์ศรีของทั้งเธอเองในฐานะปัจเจก และชาติที่พวกเธอรัก การเคลื่อนไหวจึงก่อรูปเป็นระบบขึ้นในแนวทางของสตรีนิยม ชาตินิยม และรัฐธรรมนูญนิยม  

ที่สำคัญ กระบวนการต่อสู้ห้วงระยะนี้ได้ทำให้กลุ่มผู้หญิงอิหร่านมีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กรและกำหนดแนวทางของกลุ่มอย่างเป็นระบบและมีพลังมากขึ้น พูดอีกแบบคือ การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการปฏิวัติรัฐธรรมนูญเปอร์เซีย 1905 มาจนถึงปี 1911 ส่งผลให้การต่อสู้ของผู้หญิงในอิหร่านมีความเป็นสถาบันขึ้นชัดเจน และปรากฏกลุ่มองค์กรจัดตั้งขึ้นหลายองค์กรในห้วงระยะนี้ เช่น สมาคมเสรีภาพสตรี (انجمن حریت نسوان) ในปี 1907 ซึ่งมีสมาชิกคนสำคัญอย่าง ซิดดิเกะฮฺ เดาลัตออบอดี (صدیقه دولت‌آبادی) ที่ถือได้ว่าเป็นนักเคลื่อนไหวแนวสตรีนิยมคนแรกของอิหร่าน  

มีหญิงสาว…ในการเปลี่ยนผ่านอิหร่านสู่ความเป็นสมัยใหม่ของราชวงศ์ปาฮ์เลวี

บริบทสังคมของอิหร่านในยุคการปฏิวัติรัฐธรรมนูญเป็นต้นมา มีแบบแผนที่ผู้หญิงมีบทบาทในพื้นที่สาธารณะมากขึ้นกว่ายุคก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการเป็นกำลังผลิต บุคลากรทางการศึกษา และกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายลักษณะ ที่สำคัญคือ ระดับการรู้หนังสือของผู้หญิงสูงขึ้นกว่าอดีตมาก 

ยุคสมัยของ เรซา ชาฮ์ แห่งราชวงศ์ปาฮ์เลวี เป็นยุคสมัยที่อิหร่านเดินผ่านการปฏิรูปหลายเรื่องเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ตามแบบอย่างตะวันตก หนึ่งในประเด็นใหญ่ของการปฏิรูป คือสถานะของผู้หญิงในทางสังคม 

ปี 1936 เรซา ชาฮ์ ได้ประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาที่เรียกว่า ‘กัชเฟ ฮิญาบ’ (کشف حجاب) หรือกฎหมายรองรับการใช้กำลังบังคับห้ามการคลุมฮิญาบของผู้หญิง บทบัญญัติกฎหมายฉบับนี้ยังครอบคลุมไปถึงการบังคับห้ามการสวมใส่เครื่องแต่งกายหลายรูปแบบของผู้ชายตาบขนบธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติด้วย ทั้งหมดนี้คล้ายกับนโยบายรัฐนิยมของไทยในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มุ่งให้ชนชาติเปลี่ยนวิถีของการแต่งกายให้เป็นแบบตะวันตก ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการสร้างชาติสมัยใหม่ ที่หมายหลอมรวมสำนึกผู้คนเข้าเป็นหนึ่ง โดยขจัดความหลากหลายทางศาสนา ชนเผ่า และชนชั้น ผ่านเครื่องแต่งกาย 

ส่วนในยุคของ โมฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ถัดมานั้น รัฐบาลดำเนินนโยบายปฏิรูปเข้มข้นมากยิ่งกว่ายุคก่อนซึ่งถูกเรียกว่า ‘การปฏิวัติสีขาว’ (انقلاب سفید) ประกอบด้วยชุดของนโยบายปฏิรูปทั้งสิ้น 19 ประเด็น ประเด็นเกี่ยวเนื่องกับผู้หญิง คือการขยายสิทธิของผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น อาทิ สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งและการลงสมัครแข่งขันการเลือกตั้ง สิทธิในการเป็นทนายความและผู้พิพากษา การเพิ่มอายุขั้นต่ำในการสมรสแต่งงานของเด็กหญิงเป็น 15 ปี เป็นต้น 

ปฏิกิริยาของกลุ่มทางสังคมเป็นไปอย่างแตกต่างหลากหลายต่อกระบวนการปฏิรูปไปสู่ความทันสมัยภายใต้ราชวงศ์ปาฮ์เลวี แม้ว่าการปฏิวัติสีขาวจะทำให้สถานะและบทบาทของผู้หญิงในสังคมและระบบการเมืองเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ภายในกลุ่มผู้หญิงกันเองก็มีทัศนะแตกต่างกันต่อประเด็นการห้ามสวมคลุมฮิญาบ เพราะนักเคลื่อนไหวผู้หญิงจำนวนหนึ่งเห็นด้วยและสนับสนุนนโยบายดังกล่าว อีกกลุ่มที่มีจำนวนไม่น้อยไปกว่ากัน กลับต่อต้านนโยบายปฏิรูปในเรื่องนี้ของรัฐบาลชาฮ์ แม้ผู้หญิงบางส่วนในกลุ่มหลังจะเห็นด้วยกับการเลิกคลุมฮิญาบ แต่พวกเธอไม่ส่งเสริมวิธียกเลิกโดยการบังคับผ่านกฎหมาย เพราะเรื่องนี้ควรเป็นสิทธิของผู้หญิงในการเลือกอย่างอิสระด้วยตัวพวกเธอเองมากกว่า นอกจากนี้ บางส่วนในกลุ่มหลังมองว่า คำสั่งบังคับทางกฎหมายของรัฐบาลเรื่องนี้ ทำให้พวกเธอต้องเปิดเผยใบหน้าและร่างกายในที่สาธารณะ อันถือเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเธออับอายโดยไม่สมัครใจ 

ปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรงต่อทั้งเรื่องฮิญาบและการขยายสิทธิของผู้หญิงในภาพรวม ปรากฏออกมาจากกลุ่มนักการศาสนาสายอนุรักษนิยม ซึ่งมองว่านโยบายปฏิรูปไปสู่ความเป็นสมัยใหม่เหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ในสังคมมุสลิม ซึ่งวางอยู่บนเงื่อนไขพื้นฐานทางสังคมคือ สถานะและบทบาทอันเหมาะสมของผู้หญิงตามหลักการอิสลาม 

มีหญิงสาว…ในการปฏิวัติอิสลาม 

การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน 1979 เป็นผลจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มทางสังคมที่หลากหลาย กล่าวได้ว่า ตั้งแต่การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ในปี 1977 ผู้หญิงในเมืองใหญ่หลายแห่งร่วมเคลื่อนขบวนประท้วงระบอบชาฮ์โดยสวมคลุมชาโดร์ หรือผ้าคลุมที่ปิดเรือนร่างทั้งหมด เว้นไว้เพียงใบหน้า เป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เพื่อสื่อสารตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาต่อนโยบายห้ามคลุมฮิญาบที่ดำเนินมาตั้งแต่สมัย เรซา ชาฮ์ ซึ่งนอกขบวนประท้วง ผู้หญิงจำนวนมาก โดยเฉพาะคนทำงานชนชั้นกลาง ต่างพากันสมัครใจสวมใส่ชาโดร์เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านระบอบของชาฮ์ด้วยเช่นเดียวกัน 

ในรอยต่อของประวัติศาสตร์ระยะนี้เองที่ฮิญาบกลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองของอิหร่านไปอย่างสมบูรณ์ ในฐานะของสัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติ เมื่อวาระใจกลางของขบวนการปฏิวัติวางอยู่ในเรื่องการต่อสู้เพื่อคนยากจน ปกป้องขนบอันดีงามของสังคมอิหร่าน และต่อต้านอิทธิพลตะวันตก การสวมคลุมชาโดร์ของผู้หญิงจึงกลับมาเป็นที่นิยมอย่างกว้างในทุกชนชั้นในที่สุด เพราะเชื่อมต่อไปยังสัญลักษณ์ที่พวกเธอต้องการแสดงออกทางการเมืองได้หลากหลายโดยไม่จำเป็นต้องส่งเสียงด้วยคำพูด ตั้งแต่สวมใส่เพื่อประท้วงการปฏิบัติต่อผู้หญิงราวกับเป็นวัตถุทางเพศ ไปจนถึงห่มคลุมด้วยเหตุผลเชิงชาตินิยม เพื่อแสดงถึงการปฏิเสธอิทธิพลของต่างชาติ 

ภายหลังการปฏิวัติอันนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน จินตนาการใหม่แห่งชนชาติถูกรังสรรค์ขึ้นบนพื้นฐานของหลักการทางศาสนา โดย อิมามโคมัยนี ได้บัญญัติให้การคลุมฮิญาบเป็นกฎบังคับสำหรับผู้หญิงอิหร่านทุกคน 

หลังคำสั่งดังกล่าวเพียงวันเดียว คือ 8 มีนาคม 1979 ซึ่งตรงกับวันสตรีสากลพอดี กลุ่มผู้หญิงนับพันคนลงบนท้องถนนอีกครั้งเพื่อประท้วงกฎบัญญัติดังกล่าว ส่งผลให้นโยบายของระบอบใหม่ที่มีนักการศาสนาเป็นศูนย์กลางจำต้องผ่อนปรนมาเป็นการค่อยๆ บังคับใช้กับผู้หญิงทีละกลุ่ม โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อน แล้วจึงขยายบังคับใช้กับผู้หญิงตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไปตั้งแต่ปี 1983

มีหญิงสาวเสมอมา ในการเมืองอิหร่าน

ประเด็นว่าด้วยสถานะและบทบาทของผู้หญิงในสังคมการเมืองอิหร่าน ขมวดปมอยู่ที่เรื่องฮิญาบและการจัดการกับเรือนร่างของผู้หญิง จนเป็นสนามของการต่อสู้ต่อรองทางการเมืองอิหร่านเสมอมา ทั้งในระบบรัฐสภาและในชีวิตประจำวัน 

การปฏิวัติอิสลาม 1979 เป็นขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ที่ประกอบนิยามใหม่ให้กับสถานะการห่มคลุมของผู้หญิงในทางสังคมการเมือง การเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของการคลุมแบบชาโดร์และฮิญาบ ส่งผลให้การคลุมฮิญาบทาบชิดกับอัตลักษณ์ความเป็นอิสลามและความเป็นชาติของอิหร่าน และในทางกลับกัน การไม่คลุมฮิญาบจึงกุมสัญญะของความเป็นตะวันตกไปในตัวเอง 

การตอบโต้ของระบอบในปัจจุบันต่อกรณีการประท้วงของกลุ่มผู้หญิงจึงปรากฏในท่วงทำนองของการสื่อสารทฤษฎีสมคบคิดว่า ตะวันตกอยู่เบื้องหลังการปลุกปั่นนี้เพื่อหมายมุ่งโค่นล้มระบอบสาธารณรัฐอิสลาม ไปพร้อมๆ กับมุ่งทำลายอัตลักษณ์อันดีงามของชาติ ขณะที่การรายงานของสื่อตะวันตกจำนวนมากให้น้ำหนักไปกับการเชื่อมโยงการประท้วงเข้ากับแนวคิดเสรีนิยมและสตรีนิยมตามความเข้าใจแบบสากล โดยมองข้ามบริบทเฉพาะอันเกิดจากการที่แนวคิดเหล่านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังอิหร่านโดยปฏิสัมพันธ์กับความคิด การให้ความหมาย และสถานการณ์เฉพาะของผู้หญิงอิหร่านที่มีอยู่เดิม    

จากการสืบย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของอิหร่านดังได้กล่าวไปทั้งหมด จะเห็นว่า ผู้หญิงอิหร่านจำนวนมากเป็นนักต่อสู้ พวกเธอรักในศักดิ์ศรีทั้งของตัวเธอเองและชนชาติ โดยกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวประท้วงในปัจจุบันอยู่นี้ ไม่เสมอไปที่จะมุ่งหนีห่างออกจากศาสนา เพราะถ้าถกเถียงในเชิงหลักการอิสลาม ปฏิเสธมิได้ว่า การคลุมฮิญาบเป็นวิถีปฏิบัติที่อ้างอิงได้กับอัลกุรอาน และบรรดาหลักฐานเกี่ยวกับหลักความประพฤติที่มีสายรายงานถูกต้อง แต่พวกเธอหลายคนพบว่า บทบาทของรัฐในการกำหนดตัวบทลงโทษและระดับของการลงโทษต่างหาก ที่มิใช่สิ่งอันมีหลักฐานอ้างอิงในทางศาสนา หากแต่เป็นการตีความของฝ่ายนักการศาสนา ซึ่งหลายคนมองว่าเกินเลยไป เพราะมิได้มีบทบัญญัติทางศาสนาระบุให้ลงโทษเอาไว้ 

ยกตัวอย่างเช่น มาตรา 638 แห่งประมวลกฎหมายอาญาอิสลามรองรับการใช้ ‘ดุลพินิจ’ ของรัฐในการลงโทษผู้หญิงที่ไม่คลุมฮิญาบ ตั้งแต่การปรับเป็นจำนวนประมาณ 20 ดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงการจำคุก ตั้งแต่ 10 วัน ถึง 2 เดือน เป็นต้น บทลงโทษลักษณะเช่นนี้เองที่เป็นเป้าของการถูกวิพากษ์และประท้วงเพราะไม่มีตัวบททางศาสนาข้อใดปรากฏเป็นหลักฐานรองรับอ้างอิงได้ และหลายคนที่กำลังประท้วงอยู่นี้มองว่า แนวทางการตีความบทบัญญัติเพื่อแปลงไปสู่มาตรการเชิงปฏิบัติเช่นนี้เป็นอันตราย เพราะเปิดช่องว่างให้กับผู้ถือครองอำนาจรัฐระดับต่างๆ ใช้ ‘ดุลพินิจ’ ของตนเองได้อย่างกว้างขวาง ไม่เพียงต่อเรื่องการแต่งกายของผู้หญิง แต่ยังเป็นบรรทัดฐานสำหรับการคุมประพฤติของสังคมในเรื่องต่างๆ ด้วยเช่นกัน โดยอ้างอิงความชอบธรรมไว้กับการปกป้องคุณค่าอัตลักษณ์ทางศาสนาและชนชาติ

ดังเช่นแนวทางการตีความของ อยาตุลเลาะฮ์ อับดุลกอรีม มูซาวี อัรเดบิลี ที่ระบุว่า การทำให้การคลุมฮิญาบมีสถานะทางกฎหมายเป็นเรื่องจำเป็น เพราะการลงโทษปัจเจกบุคคลซึ่งกระทำบาป เป็นการปกป้องสังคมมุสลิมในภาพรวมเอาไว้ แม้ท่านยอมรับว่า มีระดับความแตกต่างกันอยู่ระหว่างกฎหมายอิสลามอันพบได้ในบทบัญญัติ กับความเหมาะสมตามแบบอย่างอิสลาม แต่เรื่องใดที่ไม่ปรากฏในหลักฐานเกี่ยวกับหลักการของอิสลาม เป็นหน้าที่ของรัฐ (อิสลาม) ที่ต้องเข้าแทรกแซงเพื่อนำทางผู้คนไปในวิถีของอิสลาม 

หรือทัศนะของ นาเซอร์ มะกอเร็ม ชีรอซี ที่มองว่า รัฐบาลอิสลามมีหน้าที่พันธะในการป้องกันมิให้เกิดบาปส่วนรวม และทัศนะของ โลตฟัลลอฮ์ ซาฟี ก็อลเพย์กานี ที่เสนอว่า ผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่มีพันธะผูกพันต้องคลุมฮิญาบ และผู้ปกครองมีอำนาจลงโทษผู้ละเมิดต่อพันธะนี้

แนวทางการตีความลักษณะดังกล่าวมานี้ส่งผลสำคัญอย่างมากต่อการเมืองของอิหร่าน ด้วยการขยับเรื่องการลงโทษผู้หญิงที่ไม่คลุมฮิญาบ ออกจากพื้นที่การเมืองซึ่งจำต้องแสวงหาฉันทามติสาธารณะเกี่ยวกับขอบเขตบทบาทของสาธารณรัฐอิสลาม มาสู่พื้นที่ทางศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์อันถกเถียงมิได้ แม้ว่าจะมีการผลักดันวาระนี้กลับเข้าสู่พื้นที่การเมือง ดังเห็นได้จากการที่เรื่องฮิญาบจะเป็นวาระในการรณรงค์หาเสียงทุกรอบการเลือกตั้งระดับชาติ กระนั้น อำนาจกำกับบรรทัดฐานสังคมผูกรวมไว้ที่ผู้นำสูงสุดและชนชั้นนำทางศาสนา 

ดังนั้น นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลาม 1979 จนถึงปัจจุบัน จึงมีผู้หญิงที่ถูกลงโทษจากการไม่คลุมฮิญาบเป็นจำนวนมาก โดยน่าสนใจว่า ขณะที่มีทัศนะของนักการศาสนาหลายท่านรองรับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐต่อเรื่องนี้ เช่น อยาตุลเลาะฮ์ ญัฟฟัร โซบฮอนี และ อยาตุลเลาะฮ์ อะฮ์หมัด อลาโมลฮูดา แต่นักการศาสนาอีกจำนวนหนึ่งก็แสดงทัศนะไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรการลงโทษ โดยเห็นว่าควรอนุญาตให้ผู้หญิงได้ตัดสินใจใคร่ครวญเรื่องนี้ด้วยตัวพวกเธอเอง แม้นักการศาสนากลุ่มนี้เห็นด้วยกับการคลุมฮิญาบเพราะเป็นหลักการอิสลามก็ตาม เช่น ยูซุฟ อัชกาฟารี อิสหาก อัลฟายัดฮ์ เป็นต้น กรณี อัชกาฟารี เมื่อแสดงทัศนะเช่นว่า ผลคือถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกับนักเคลื่อนไหวผู้หญิงเช่นกัน 

ความเป็นไปของการเมืองอิหร่านปัจจุบันจึงอยู่ในแบบแผนที่น่าจับตาใกล้ชิด เพราะหัวใจของประเด็นฮิญาบไม่ใช่เพียงวาระของผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องที่เลี่ยงไปสู่ทฤษฎีสมคบคิดว่าเป็นแผนการตะวันตกได้ ทั้งยังไม่ใช่เรื่องการทำลายหลักการและจารีตของอิสลาม หากแต่หัวใจของประเด็นนี้อยู่ที่สถานะและบทบาทของรัฐเหนือเรือนร่างและวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะในแง่แหล่งที่มาความชอบธรรม ซึ่งหลายคนที่กำลังประท้วงต้องการเห็นการปฏิรูป 

หากเราดูภาพระยะยาวจากประวัติศาสตร์สมัยใหม่ถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องตลกร้ายที่สมัยชาฮ์ รัฐบังคับให้ผู้หญิงถอดฮิญาบ ส่วนในสมัยนี้ รัฐบังคับให้ผู้หญิงคลุมฮิญาบ อำนาจใคร่ครวญด้วยปัญญาไม่เคยถูกเชื่อใจวางเอาไว้ที่พวกเธอเลย 

ผู้หญิงที่ประท้วงกันอยู่วันนี้ หลายคนคงกำลังคิดว่า “เป็นอะไรกับเรือนร่างฉันกันมากไหม” อยู่เป็นแน่   

หมายเหตุ : ชื่อ ‘มีหญิงสาวในบทกวี’ อ้างอิงมาจาก ‘ไม่มีหญิงสาวในบทกวี’ กวีนิพนธ์รางวัลซีไรต์ ปี 2553 โดย ซะการีย์ยา อมตยา

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Poll

สำรวจข้อมูลทางประชากรศาสตร์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์

รายได้ต่อเดือนของคุณ

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล



Share article
  • Line
  • link

RELATED

+

โนเบลสันติภาพ 2023 มอบให้นักสิทธิสตรีอิหร่าน นาร์เกส โมฮัมมาดี ผู้สูญเสียอิสรภาพอยู่ในเรือนจำ

อิหร่านหยุดการปฏิบัติงานของ ‘ตำรวจศีลธรรม’ ยุบทิ้ง หรือยอมถอยชั่วคราว?

“พวกกูเนี่ย ของจริง!” Gasht-e Ershad ตำรวจศีลธรรมอิหร่าน ความรุนแรงในนามความดี

ประท้วงอิหร่านอาจไม่จบแค่เผาฮิญาบ การเสียชีวิตของ มาห์ซา อามินี ลุกลามไปสู่การเรียกร้องเสรีภาพ

ไทยรัฐออนไลน์ ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

ยอมรับ
Thailand Web Stat