Humberger Menu

ตัวชี้วัดทุจริตแบบ พล.อ.ประยุทธ์ “ตั้งแต่ปี 57 ไม่มี รมต. ติดคุก” แล้ว รมต. ชุดนี้โดนอะไรกันบ้าง

-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

Politics & Society

Thai Politics

Politics

21 ก.พ. 66

creator
กองบรรณาธิการ
BookmarkLineCopy
-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

...

Summary
  • การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 152 ที่ผ่านมา ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องการคอร์รัปชัน โดยยกว่า ในรัฐบาลของตัวเองไม่มีรัฐมนตรีคนใดติดคุกเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
  • ไทยรัฐพลัสยกตัวอย่าง 3 รัฐมนตรี ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเรื่องนั้นยังคงอยู่ในกระบวนการของ ป.ป.ช.
  • จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ กรณี ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตซื้อขายถุงมือยาง สร้างความเสียหายแก่รัฐ 2,000 ล้านบาท
  • เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จากพรรครวมพลัง กรณีใช้งบกลาง 2,000 ล้าน แบบไม่โปร่งใส
  • ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย กรณีปกปิดทรัพย์สินในส่วนที่เป็น หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยใช้ลูกจ้างเป็นนอมินีในการซื้อขาย

...

“ที่พูดถึงเรื่องคอร์รัปชันต่างๆ ผมก็ไม่อยากย้อนกลับไป หลายท่านก็ยังกล้าพูดออกมา อดีตรัฐมนตรีหลายคนก็มีปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน ติดคุกหลายคน ไปต่างประเทศก็มี ตั้งแต่รัฐบาลปี 57 ของผมนั้น ยังไม่มีรัฐมนตรีท่านไหนติดคุกสักรายเลย นี่คือข้อเท็จจริง” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 

จากประโยคข้างต้น พลเอกประยุทธ์ได้ยกตัวชี้วัดการคอร์รัปชันว่า คือการ ‘ติดคุก’ หรือ ‘ไปต่างประเทศ’ 

เมื่อเทียบกับมาตรวัดของชาวโลก องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (International Transparency) รายงานผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI) ประจำปี 2022 ไทยอยู่อันดับที่ 101 จาก 180 ประเทศ โดนได้คะแนนเพียง 36 เต็ม 100

และหากย้อนไปดู CPI ก่อนรัฐประหาร คือปี 2013 หรือ พ.ศ. 2556 อันดับโลกของไทยอยู่ที่ 102 ได้คะแนน 35 เต็ม 100 

เมื่อใช้ตัวชี้วัดแบบสากล ที่ไม่ใช่ ‘ติดคุก’ หรือ ‘ไปต่างประเทศ’ ก็จะพบว่า ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชันของไทยในปัจจุบัน สมัยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับรัฐบาลก่อนหน้า แทบไม่ได้มีอะไรต่างกันมากนัก

แล้วตัวชี้วัดแบบพลเอกประยุทธ์บอกอะไรเราได้บ้าง?

จริงอยู่ที่ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่มีใครติดคุก หรือหนีไปต่างประเทศ แต่ความโปร่งใสไร้คอร์รัปชันควรวัดจากสิ่งเหล่านี้หรือไม่ อาจไม่เสมอไป แต่หากพิจารณาที่ความน่าสงสัยจากประชาชน การถูกตั้งคำถาม อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา หรือถึงขั้นใกล้ชี้มูลความผิด เกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ทุจริต ใช้อำนาจมิชอบ ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็นับว่ามีไม่น้อยเลย

ไทยรัฐพลัสชวนผู้อ่านสำรวจตัวชี้วัดแบบพลเอกประยุทธ์ กับรัฐมนตรีในยุคของรัฐบาลชุดนี้ว่า มีใครถูกฝ่ายค้านอภิปรายชวนสงสัยว่าเข้าข่ายทุจริตเรื่องใดบ้าง ที่สำคัญคือ ความไม่ชอบมาพากลนี้หลายเรื่องอยู่ในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียบร้อยแล้ว 

ส่วนเรื่องจะไปถึงไหนนั้น… 


ทุจริตถุงมือยาง ชาติเสียหาย 2,000 ล้าน  

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อครหาในช่วงการระบาดโควิด-19 ทำให้ฝ่ายค้านต้องหยิบยกขึ้นมาอภิปรายถึง 2 ครั้ง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อปี 2564 และ 2565 นั่นคือ เรื่องถุงมือยาง ที่เกิดในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 

จุรินทร์ และพลเอกประยุทธ์ ถูกกล่าวหาว่า ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตทำสัญญาลวงซื้อขายถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) มูลค่า 112,500 ล้านบาท สร้างความเสียหายแก่รัฐ 2,000 ล้านบาท 

ประเสริฐ จันทรรวงทอง

 

ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงเส้นทางการฟอกเงิน ของ บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด และ ธณรัสย์ หัดศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท ที่เชื่อมโยงกับ พันตำรวจเอกรุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง อสค. ที่สุดท้ายพลเอกประยุทธ์ สั่งย้ายให้มาประจำอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม 

ประเสริฐ ยังกล่าวถึง อีกคนที่มีความเชื่อมโยงคือ สุชาติ เตชจักรเสมา ประธานกรรมการ อคส. ที่เคยเป็นอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2561 และยังเป็นผู้ช่วย ส.ส. ของ บัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกทั้งสุชาติและ จุรินทร์เคยเข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงในปี 2558-2559 แสดงถึงความสัมพันธ์ที่มีระยะเวลายาวนาน และจุรินทร์ทราบว่าสุชาติ ถูก ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา แต่กลับปล่อยให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ไปจนครบวาระในวันที่ 17 ธันวาคม 2564 โดยที่ไม่ได้ให้สุชาติทำบันทึกชี้แจงกรณีดังกล่าว หรือเสนอตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์


ทั้งนี้ ฝ่ายค้านได้ยื่น ป.ป.ช. กรณีจัดซื้อถุงมือยางของ อคส. เพื่อเอาผิด เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 กล่าวหา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ อคส. ในข้อกล่าวหาปล่อยปละละเลยไม่ติดตามดำเนินการอายัดเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท กรณีการจัดซื้อถุงมือยางของ อคส. แต่เพิกเฉย ไม่ได้สั่งการใดๆ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความคืบหน้าของคดีถุงมือยางนั้น คณะกรรมการพิจารณารับความผิดทางละเมิด ได้พิจารณาความรับผิดทางละเมิดของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาทเสร็จสิ้นว่า ชี้มูล พันตำรวจเอกรุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส., เกียรติขจร แซ่ไต่ และ มูรธาธร คำบุศย์ มีความผิดทางวินัยร้ายแรง โดยมีบทลงโทษคือ การไล่ออกทั้ง 3 คน 

ทั้งนี้ เกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส. ที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้อำนวยการ อคส. คนใหม่ รายงานว่า การทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง เกิดขึ้นในช่วงที่ พันตำรวจเอกรุ่งโรจน์ เป็นรักษาการผู้อำนวยการ อคส. เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ได้ทำสัญญากับการ์เดียนโกลฟส์ ผู้ผลิต และผู้ซื้อถุงมือยางจาก อคส. เพื่อไปขายต่ออีก 7 ราย และได้นำเงินของ อคส. 2,000 ล้านบาทจ่ายให้ การ์เดียนโกลฟส์ เป็นค่ามัดจำสินค้า โดยไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด อคส. ถือว่าผิดกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นการกระทำโดยมิชอบ ส่งผลให้บอร์ด อคส. มีมติให้ ทำหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ ป.ป.ช. พิจารณาความผิด และส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อายัดเงิน 2,000 ล้านบาท รวมถึงให้ระงับการดำเนินการตามสัญญาทั้งหมด 

ป.ป.ช. เปิดเผยเมื่อเดือนมกราคม 2564 ว่า ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการสรุปสำนวน เพื่อเสนอที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่ โดยในปี 2565 ที่ผ่านมายังไม่มีความคืบหน้าของคดีว่าสรุปแล้วทาง ป.ป.ช. ชุดใหญ่เห็นเป็นอย่างไร 

 

อนุมัติงบกลางไม่ตรงวัตถุประสงค์

เอนก เหล่าธรรมทัศน์


เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จากพรรครวมพลัง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายกรณีการใช้งบกลางไม่โปร่งใสของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อนุมัติงบกลาง 2,051 ล้านบาท ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ดำเนินการภายใต้โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านเกษตรกรรมและสมุนไพร โดยไม่สนใจข้อทักท้วงของสำนักงบประมาณว่า มีความซ้ำซ้อนกับงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ประเสริฐ เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวกระจายไปยังมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ได้แก่ 1. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 717 ล้านบาท 2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 368 ล้านบาท 3. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 560 ล้านบาท 4. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 408 ล้านบาท โดยทุกอย่างทำเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ 

เสกสกล อัตถาวงศ์ 


ประเสริฐ กล่าวว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องทุจริต 4 กลุ่มคือ 1. พลเอกประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรีที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในการอนุมัติงบ 2,051 ล้านบาท ในวันเดียวให้ตกอยู่ในมือคนทุจริต มีเงินทอน 1,600 ล้านบาท และผิดมติคณะรัฐมนตรี 17 กุมภาพันธ์ 2552 เพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน 2. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ 3. เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประสานงานโครงการ แล้วมักไปปรากฏตัวในการอบรมโครงการต่างๆ 4. ผู้บริหารมหาวิทยาลัย 4 คน  

ฝ่ายค้าน นำโดยประเสริฐ ยื่น ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 เพื่อเอาผิดกรณีอนุมัติงบกลางและเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินผิดวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ โดยกล่าวหาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 7 คน ประกอบด้วย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 3 คน และนักการเมืองอีก 2 คน ในข้อกล่าวหาว่าอาจมีการทุจริตไม่ชอบมาพากลในการอนุมัติงบกลาง 2,054 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์และไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ใช้งบประมาณซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นและมิใช่เรื่องเร่งด่วน การใช้งบประมาณดังกล่าวมิได้เป็นไปตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในทีโออาร์ 

เช่น เรื่องระยะเวลาการอบรม 2 วัน มีค่าใช้จ่ายพักค้างคืน และค่าอาหาร 4 มื้อ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าอบรมเพียงครึ่งวัน และได้อาหารแค่ 1 มื้อ เป็นต้น 

ปัจจุบัน ป.ป.ช. ยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น หากข้อกล่าวหามีมูล จะส่งเรื่องให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนต่อไป


ซุกหุ้นผ่านนอมินี

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ 


ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 มีผู้อภิปรายศักดิ์สยามหลายคนในหลายประเด็น แต่หนึ่งในผู้ที่อภิปราย คือ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการปกปิดทรัพย์สินในส่วนที่เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่ใช้ลูกจ้างเป็นนอมินี จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ 

ปกรณ์วุฒิ เล่าว่า หจก.บุรีเจริญ ก่อตั้งปี 2539 มีตระกูลชิดชอบถือหุ้น 80 เปอร์เซ็นต์ ตั้งสำนักงานที่บ้าน ศักดิ์สยามขณะนั้น เมื่อมีตำแหน่งการเมือง ก็ออกจากผู้ถือหุ้น หจก. ย้ายสำนักงานไปที่อื่น พอมายุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ศักดิ์สยามก็กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นอีกครั้งเกือบทั้งหมด โดยย้ายที่ตั้งสำนักงานมาที่บ้านหลังใหม่ของตัวเอง ต่อมาปี 2561 เมื่อมีข่าวการเลือกตั้ง ศักดิ์สยามได้โอนหุ้นทั้งหมดไปให้นอมินีที่ชื่อ นายเอ ทันที และย้ายที่ตั้งสำนักงาน หจก.บุรีเจริญออกจากบ้าน ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรี 23 วัน 

ปกรณ์วุฒิยังตั้งคำถามถึงการซื้อขายหุ้นว่า แค่เปลี่ยนชื่อคนถือหุ้นให้เป็นชื่อนอมินี หรือ มีการซื้อขายหุ้นจริง เพราะไม่พบหลักฐานชำระเงิน อีกทั้ง หจก. นี้มีทุนจัดตั้ง 120 ล้านบาท ไม่ว่าซื้อขายต่ำกว่าหรือสูงกว่าวงเงินจัดตั้ง แต่ศักดิ์สยามไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินนี้ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตอนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ในปี 2562 โดยขณะรับตำแหน่ง ศักดิ์สยามยื่นทรัพย์สินว่ามี 115 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน มีเงินสดบวกเงินฝากอยู่ประมาณ 76 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นเกือบทั้งหมดระบุว่า ได้มาก่อนปี 2561 เงิน 120 ล้านบาท ไปไหน 

ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล


ปกรณ์วุฒิจึงตั้งคำถามว่า ทุนจัดตั้งของ หจก. บุรีเจริญ 120 ล้านบาทหายไปไหน

ปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า ศักดิ์สยาม ยังนำ หจก. บุรีเจริญ มาเป็นคู่สัญญากับรัฐ รับงานในกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรี มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหลายงานมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นราคาชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยไม่ถึง 0.3 เปอร์เซ็นต์ และมีคู่เทียบรายเดียว ซึ่งเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในปี 2562 

ปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า การที่ ศักดิ์สยาม เอาธุรกิจของตัวเองเข้ามารับงานกระทรวงที่ได้เป็นรัฐมนตรีก็ว่าผิดแล้ว ยังมีพฤติกรรมฮั้วประมูลชัดเจน เพราะ นายเอ นอมินี ผู้ถือหุ้นบริษัทร้อยล้าน แต่มีรายได้เดือนละ 9,000 บาท นายเอแจ้งข้อมูลรายได้น้อยมากจนน่าสงสัย จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นายเอคนนี้เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในธุรกิจ 4 แห่ง แต่มีสถานะทิ้งร้างไป 3 แห่ง อีกแห่งที่เหลือไม่มีรายได้เลยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และข้อมูลจากประกันสังคมและกรมสรรพากรช่วงปี 2558-2563 ยังพบว่าแสดงรายได้เพียงปีละประมาณ 100,000 บาท หรือเดือนละ 9,000 บาทเท่านั้น เป็นเงินเดือนที่ได้รับจากบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ ธุรกิจครอบครัวของตระกูลชิดชอบ มาตั้งแต่ปี 2558 ไล่เลี่ยกับช่วงที่ศักดิ์สยามเป็นกรรมการบริษัทศิลาชัย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 พรรคร่วมฝ่ายค้าน เข้ายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวน ศักดิ์สยาม รวม 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ขอให้ไต่สวน และดำเนินการด้านจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีการยึดครองที่ดินเขากระโดง โดยให้ป.ป.ช. ไต่สวนและส่งเรื่องให้ศาลฎีกา กรณีการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ เพื่อประโยชน์ของธุรกิจตนเองและเครือญาติ 2. ขอให้ไต่สวนและดำเนินคดี กับ ศักดิ์สยาม ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 3. ขอให้ตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินของศักดิ์สยาม ที่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งในหลายประเด็น ซึ่งมีการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จ 

นอกจากการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. แล้ว เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ฝ่ายค้านยื่นคำร้องถึง ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งคำร้องไปยังประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีและสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ส.ส.สิ้นสุดลง และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 

ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การยื่นคำร้องดังกล่าว เนื่องจากศักดิ์สยามกระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ว่าด้วยวิธีการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งนี้ การทำคำร้องดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อกล่าวหาเกี่ยวข้องหลายประการ ในการทำหน้าที่รัฐมนตรีของศักดิ์สยาม โดยคำร้องของฝ่ายค้านยื่นมีเอกสารหลักฐานประกอบทั้งหมด 14 เรื่อง

ด้านศักดิ์สยามได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีต่างๆ รวมทั้งโชว์หลักฐานเรื่องการโอนหุ้นด้วย และได้ทำหนังสือถึงชวน เพื่อคัดค้านกรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องผ่านประธานสภาฯ ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 

ศุภชัย ใจสมุทร 


ขณะที่ ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ก็ได้กล่าวว่า แม้ตามรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ประธานสภาฯ ต้องดำเนินการส่งเรื่อง แต่ควรพิจารณาว่าเป็นเรื่องที่ควรส่งต่อหรือไม่ และประธานสภาฯ ไม่ควรเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์เท่านั้น ข้อกล่าวหา ศักดิ์สยามเป็นเพียงข้อสงสัยในมูลเหตุเดียวกันกับที่ ป.ป.ช. ดำเนินการสอบสวนอยู่ และปัจจุบัน ป.ป.ช. ไม่ดำเนินการใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ศักดิ์สยามเป็นผู้กระทำผิด


ป.ป.ช. องค์กรอิสระปราบคอร์รัปชัน

เรื่องของรัฐมนตรี ทั้ง 3 คนนั้น เรื่องยังคงค้างอยู่ใน ป.ป.ช. ที่แม้จะมีการยื่นเรื่องไปเป็นปีแล้ว ก็ยังคงอยู่ในขั้นสืบหาข้อเท็จจริง ซึ่งยังไม่มีการสรุปหรือชี้มูลออกมา ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นว่า เป็นการประวิงเวลาหรือไม่ เพื่อให้รัฐบาลชุดนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยที่ไม่มีใครโดยข้อหาอะไร รวมถึงตัวพลเอกประยุทธ์เองที่มักถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในทุกเรื่อง เพราะเป็นหัวเรือใหญ่ที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตขึ้น 

คงต้องรอดูอีกไม่นาน ก่อนรัฐบาลชุดนี้หมดวาระ จะมีบทสรุปในเรื่องต่างๆ หรือไม่ หรือจะเป็นการเก็บเรื่องไว้ให้หมดรัฐบาลไปก่อน แล้วค่อยไปว่ากันใหม่ หรือไม่ช่วงการหาเสียงก็อาจมีคนใช้ประเด็นข้อกล่าวหาเหล่านี้มาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงน้ำจิ้ม เรื่องของรัฐมนตรีที่ยังคงค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. มีอีกเพียบ ไม่ว่าจะเรื่องของ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กรณีเงินเยียวยาชาวไร่ยาสูบ จังหวัดเพชรบูรณ์ หาย 50 ล้านบาท, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กรณีขอให้รื้อฟื้นคดีนาฬิกาหรูใหม่ หรือ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีออกมติคณะรัฐมนตรีที่ขัดต่อกฎหมายโดยเอื้อประโยชน์ให้เกิดการทุจริตสต๊อกยางพารา เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องรอดูการทำงานของ ป.ป.ช. ที่เป็นองค์กรอิสระและปราบคอร์รัปชัน ว่ามีความเป็นอิสระจริงหรือไม่ 

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Poll

สำรวจข้อมูลทางประชากรศาสตร์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์

รายได้ต่อเดือนของคุณ

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล



Share article
  • Line
  • link

RELATED

+

4 ปีการกลับมาของมาตรา 112 จากกฎหมายปราบม็อบ 2563 สู่ปัจจัยตั้งรัฐบาลและยุบพรรค

บทเรียนที่ไม่น่าเลียนแบบ จาก สว.แต่งตั้ง ถึง สว.ชุดใหม่

10 ปีที่เลยผ่าน รัฐประหารทิ้งอะไรไว้ให้กับเรา

ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กับความแตกต่างเงื่อนไขการยกโทษ การยุติความขัดแย้ง 20 ปี จะจบหรือไม่?

โครงการแลนด์บริดจ์ รัฐบาลสานต่องานพลเอกประยุทธ์ ทำเพื่อประชาชน หรือเอื้อประโยชน์นายทุน?

ไทยรัฐออนไลน์ ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

ยอมรับ
Thailand Web Stat