Tyrian Purple เม็ดสีหายากยุคโรมัน ที่มีมูลค่ามากกว่าทองคำ
...
LATEST
Summary
- Tyrian Purple หรือสีม่วงไทเรียน เป็นสีที่สกัดมาจากหอยทากทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ นิยมใช้ในหมู่ชนชั้นสูง และมีคำสั่งห้ามสามัญชนใช้เด็ดขาด
- ปัจจุบัน การขุดค้นพบสีม่วงไทเรียนนับว่าเป็นเรื่องยาก ทำให้สีโทนนี้มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เคยมีราคาแพงกว่าทองคำ และไม่นานนี้ มีการขุดพบสีม่วงไทเรียนในสหราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก
...
แม้โลกจะวิวัฒนาการมายาวไกลด้วยเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์อะไรก็ได้บนโลก แต่สีที่มีค่ามากที่สุด และหายากมากที่สุด ซึ่งเทคโนโลยีก็ยังสร้างสรรค์ทดแทนไม่ได้ คือ สีม่วงไทเรียนจากยุคโรมันเมื่อพันปีที่แล้ว
มันเป็นสีย้อมที่ไม่ได้มาจากอัญมณีสวยงามแต่อย่างใด แต่มาจากหอยทากทะเลในแถบเมดิเตอร์เรเนียน หรือ murex โดยมี 3 สายพันธุ์ ซึ่งจะให้สีสันแตกต่างกัน คือ หนึ่ง–Hexaplex trunculus ให้สีม่วงอมฟ้า สอง–Bolinus brandaris ให้สีม่วงแดง สาม–Stramonita haemastoma ให้สีแดง
ผู้ค้นพบสีมีค่านี้คือ ชาวฟินิเชียน ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทร์แถบเมดิเตอร์เรเนียน (ปัจจุบันคือประเทศเลบานอน) พวกเขาพัฒนากระบวนการสกัดสีมาจากการรีดเอาของเหลวจากต่อมน้ำเมือกของหอยทากทะเล นักเขียนชาวโรมันเคยบันทึกไว้ว่า การกรีดเอาของเหลวนี้ “จะไหลออกมาเหมือนน้ำตา” จากนั้นนำไปตากแดดจนของเหลวเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วง ซึ่งหากจะได้เม็ดสีราว 1.5-2 กรัม ต้องฆ่าหอยทากทะเล 12,000 ตัว มีรายงานว่า ในบริเวณนี้ยังพบเปลือกหอยทะเลที่ถูกทิ้งจำนวนหลายพันล้านใบ
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนและสูตรการสกัดสีเหล่านี้ยังมีเคล็ดลับเฉพาะตัว และหลายคนก็เก็บไว้เป็นความลับ ไม่ได้เปิดเผยให้คนรู้มากนัก มีเพียงนักเขียนในยุคโรมันบางคนที่บันทึกเอาไว้ เช่น ผู้เฒ่าพลิโนที่บันทึกขั้นตอนการสกัดสีเอาไว้ ซึ่งนักโบราณคดีที่ได้ศึกษารายละเอียดเหล่านี้ มองว่าการผลิตสีของชาวฟินิเชียนนับเป็นอุตสาหกรรมเคมีประเภทแรกของโลก
“มันไม่ง่ายเลยในการสกัดสีนี้ออกมา” อิออนนิส คาราปานาจิโอติส ศาสตราจารย์ด้านเคมีอนุรักษ์ จากมหาวิทยาลัยอริสโตเติลแห่งเทสซาโลนิกิ กล่าว “สีม่วงไทเรียนแตกต่างจากสีย้อมอื่นๆ ที่มาจากใบไม้ ซึ่งมีเม็ดสีอยู่แล้ว ในขณะที่เมือกหอยทากมีสารเคมีที่สามารถเปลี่ยนสีได้ในตัวเอง ทำให้ต้องอยู่ในสภาวะเหมาะสมเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนสีได้” เขาอธิบาย “มันถึงน่าทึ่งมาก”
ด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อน และความยากในการนำหอยทากมาสกัดสี สิ่งเหล่านี้ทำให้สีม่วงไทเรียนมีมูลค่ามากกว่าทองคำ และปัจจุบันยังมีค่ามากที่สุดในโลก การค้นพบสีม่วงไทเรียนจึงเป็นความสำเร็จของชาวฟินิเชียนอย่างมาก ทำให้ผู้คนขนานนามพวกเขาในฐานะ ‘คนแห่งเมืองสีม่วง’ อีกด้วย
ลองนึกภาพว่าในยุคโบราณที่การค้นหาเม็ดสีแต่งแต้มสิ่งต่างๆ นั้นล้วนได้แม่สีเป็นส่วนใหญ่ การมีอยู่ของสีม่วงจึงเป็นสีพิเศษ และถูกนำมาใช้ในเครื่องอาภรณ์ของชนชั้นสูง ช่วงคริสต์ศักราช 301 มีคำสั่งห้ามให้สามัญชนใช้สีม่วงไทเรียน หากใครละเมิดจะต้องถูกประหารชีวิต
คุณสมบัติข้อหนึ่งที่ทำให้คนโบราณนิยมชมชอบสีม่วงไทเรียนอย่างมาก เพราะมันคงทน ไม่ซีดจางง่ายๆ ในที่สุดพวกเขาจึงใช้มันเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง อำนาจ และเงินทอง มันจึงปรากฏอยู่บนเสื้อคลุมไปจนถึงใบเรือ ภาพวาดฝาผนัง เฟอร์นิเจอร์ ปูนปลาสเตอร์ เครื่องเพชรพลอย และผ้าห่อศพ ทั้งยังได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปใต้ แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก
ความนิยมสีม่วงไทเรียนเฉียดใกล้ขั้นบ้าคลั่ง เพราะมันนำมาซึ่งการลอบสังหารกษัตริย์แห่งมอริเตเนีย (สาธารณรัฐอิสลาม) เมื่อปีคริสต์ศักราช 40 เนื่องจากเขาสวมใส่เสื้อคลุมสีม่วงเข้าไปชมการแข่งขันกลาดิอาเตอร์ หรือการรำดาบ ทำให้เกิดความอิจฉาริษยา และผู้สั่งประหารนี้คือจักรพรรดิโรมัน
ปี 2002 นักโบราณคดีค้นพบสีม่วงไทเรียนครั้งแรกที่ทะเลทรายแถวซีเรีย ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพระราชวังบนชายฝั่งทะเลที่สาบสูญ เดิมทีมันเป็นเพียงคราบสีดำๆ ที่หล่นตามพื้น แต่เมื่อนำเข้าสู่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว โคลนและฝุ่นก็ถูกลบออกจนเผยให้เห็นสีม่วงไทเรียนในที่สุด
แต่การพบสีไทเรียนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ส่วนใหญ่มักเจอในพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อคนสำคัญของผู้ปกครองในอดีตเท่านั้น ครั้งล่าสุดนี้ มีการขุดเจอสีม่วงไทเรียนขึ้นที่โรงอาบน้ำในคาร์ไลล์ สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเจอสีหายากนี้ในพื้นที่ยุโรปเหนือ
โรงอาบน้ำคาร์ไลล์ อยู่ในช่วงการครองราชย์ของจักรพรรดิแซ็ปติมิอุส แซเวรุส แห่งจักรวรรดิโรมันของราชวงศ์เซเวอรัน ในศตวรรษที่ 3 ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลพบมันในท่อบำบัดน้ำเสีย แล้วนำมาวิเคราะห์เม็ดสี พบว่ามีโบรมีน ซึ่งเป็นสารในเมือกหอยทากทะเล และขี้ผึ้งจำนวนหนึ่งจึงมีความมั่นใจว่าเป็นสีม่วงไทเรียนอย่างแน่นอน
ความสำคัญของการพบสีม่วงไทเรียน ไม่ได้เป็นเพียงคุณค่าของสีหายากของโลกเท่านั้น แต่เป็นการตอกย้ำว่า พื้นที่พบเจอสีม่วงไทเรียนคือสถานที่สำคัญของชนชั้นสูง และเคยมีการเยี่ยมเยียนของสมาชิกแห่งราชสำนักจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่มาแล้ว ซึ่งจะทำให้นักโบราณคดีได้ต่อจุดข้อมูลในอดีตให้คนในปัจจุบันได้เข้าใจประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของมนุษย์ต่อไป
อ้างอิง: news.artnet.com, bbc.com
