Humberger Menu

เมื่อไม่มีคนจ้างก็ไม่มีศิลปะ และเคล็ดลับของการอยู่รอดคือ ‘ฟังนายจ้าง’

Auto Play

Playing

เมื่อไม่มีคนจ้างก็ไม่มีศิลปะ และเคล็ดลับของการอยู่รอดคือ ‘ฟังนายจ้าง’

เมื่อไม่มีคนจ้างก็ไม่มีศิลปะ และเคล็ดลับของการอยู่รอดคือ ‘ฟังนายจ้าง’

ว่าด้วย 6 ตุลา 19 และ มาตรา 112 พลังหนุ่มสาวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง คุยกับ ‘ปริญญา เทวานฤมิตรกุล’

ว่าด้วย 6 ตุลา 19 และ มาตรา 112 พลังหนุ่มสาวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง คุยกับ ‘ปริญญา เทวานฤมิตรกุล’

สิ่งที่เทคโนโลยีไม่มีคือจิตวิญญาณ ‘คนฉายหนัง’ อาชีพที่ไม่มีคนเห็น

สิ่งที่เทคโนโลยีไม่มีคือจิตวิญญาณ ‘คนฉายหนัง’ อาชีพที่ไม่มีคนเห็น

Politics & Society

16 สิงหาคม 2565 13:10 น.

40  ปี คือจำนวนอายุงานของ สมชาย กองศรี ในฐานะมือวาดป้ายคัตเอาต์ประจำโรงหนังซุ่นเฮง 25  ปี คืออายุเริ่มต้นที่เขาเข้ามาทำงานในอาชีพนี้ และเขายืนยันว่า เขาเริ่มงานด้านนี้ช้าไป 9 จุด คือ จำนวนป้ายคัตเอาต์หนังที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ใน จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันเหลือเพียงจุดเดียว

เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า เพราะเป็นศิลปินจึงมีคนจ้าง หรือเพราะมีคนจ้างจึงได้เป็นศิลปิน เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้จึงชวนมาชมสารคดีสั้นเกี่ยวกับศิลปิน  1 ใน 2 คนสุดท้ายของประเทศที่ยังทำอาชีพ 'ช่างวาดป้ายคัตเอาต์หนัง'

เมื่ออุตสาหกรรมโฆษณาภาพยนตร์เปลี่ยนไปเพราะเทคโนโลยีป้ายไวนิลและการเข้าถึงสื่อหลากหลายช่องทางของผู้ชม ทำให้เจ้าของโรงภาพยนตร์ไม่จำต้องใช้นักวาดภาพป้ายคัตเอาต์อีกต่อไป

แล้วกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองในวงการภาพยนตร์นี้ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง

สมชาย กองศรี คือ 1 ใน 2 ศิลปินคนสุดท้าย ไม่ใช่เพราะยังเหลือเพียงสองคนที่ยังวาดป้ายคัตเอาต์ได้ แต่เหลือเพียงสองคนที่ยังมีเจ้าของโรงภาพยนตร์จ้างให้วาดคัตเอาต์ตัวอย่างหนัง

เขาต้องปรับตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่คนทำงานศิลปะด้วยมือกำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี  และเห็นด้วยกับเขาหรือไม่ว่า "หากไม่มีคนจ้างก็ไม่มีศิลปิน"


จุดเริ่มต้นสู่วงการศิลปินวาดป้ายคัตเอาต์

ที่ต้องมาทำอาชีพที่เกี่ยวกับสี เพราะนามสกุลกองศรี ที่พ้องเสียงกับคำว่า ‘กองสี’ หรือเปล่า เขาหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าทันที  “ไม่เกี่ยวครับ” สมชายตอบกลับมา พร้อมเล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ท่ามกลางบรรยากาศสายฝนที่กำลังโปรยปราย และได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบกับหลังคาบ้าน

สมชายไม่ได้เป็นนักเรียนศิลปะ ไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนช่างศิลป์ แต่ทักษะและความสามารถในการวาดรูปมาจาก ‘ครูพักลักจำ’ ตั้งแต่สมัยบวชเณรอยู่ที่วัด แล้วเห็นเณรที่พรรษามากกว่ากำลังวาดรูปกำแพงและรูปตามฝาผนังโบสถ์ในช่วงที่สมชายสึกออกมานั้น ถือว่าเป็นช่วง ‘บูม’ ของโรงภาพยนตร์แบบสแตนด์อโลนทั่วภาคอีสาน

เขาจึงใช้ทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่เป็นเณรมาทำอาชีพนี้อย่างจริงจัง “อุบลฯ บุรีรัมย์ ขอนแก่น อุดรธานี เรียกว่าช่วงนั้นผมไปทั่วภาคอีสานเลยครับ” แล้วไม่ได้จำกัดที่ภาคอีสานเท่านั้น แต่ตัวเขาเองยังเคยไปรับงานวาดป้ายคัตเอาต์ในภาคใต้อีกด้วยทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เป็นต้น ดังนั้นคำสัมภาษณ์นี้ของเขาจึงสะท้อนถึงความนิยมของคนที่มีต่อการดูหนังในยุคตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมา ในช่วงที่เขาเริ่มเข้าสู่อาชีพนี้

บทบาทความสำคัญของป้ายคัตเอาต์หนังในวันที่ยังไม่มีสื่อออนไลน์

จรัญ หาบุญมี ผู้จัดการคนแรกและคนปัจจุบันของโรงหนังซุ่นเฮง จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ในยุคเดียวกับ สมชาย กองศรี ที่โลกยังไม่รู้จักคำว่า สื่อออนไลน์ และมือถือก็ยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนทั่วไป

ใบปิด โปสเตอร์และป้ายคัตเอาต์มันทำหน้าที่เหมือน ‘หนังตัวอย่าง’ ที่เราเห็นในโรงภาพยนตร์ก่อนหนังจริงจะฉาย จากคลิปวิดีโอ สื่อออนไลน์ต่างๆ ดังนั้น ตัวละคร ฉากหลัง สีที่ใช้ ภาพบรรยากาศ ทั้งหมดจะต้องบอกเล่าเรื่องราว หรืออย่างน้อยต้องบอกได้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังประเภทอะไร แอ็กชั่น ดราม่า ใครแสดงนำ เรื่องราวเกิดขึ้นที่ไหน นี่คือคำบอกเล่าจากทั้งสองที่เริ่มต้นให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของบทบาทความสำคัญของป้ายคัตเอาต์

“เหมือนชวนคนมาดูหนัง เขาเล่าเรื่องส่วนหนึ่งมาแล้ว มันก็จะเห็นตัวละครยิงกันบ้าง มีระเบิดอะไรอย่างนี้” สมชายพูดถึงใบปิดของแอ็กชั่น สอดรับกับ จรัญ หาบุญมี ที่เล่าให้ฟังว่า หากเป็นเป็นหนังแอ็กชั่น สีที่ใช้ต้องเป็นสีแดง หรือสีโทนร้อนเช่น ส้ม เหลือง และสีจะค่อนข้างสด ลายเส้นของหน้าตัวละครจะเห็นเด่นชัด 

“ถ้าเป็นหนังชีวิต ดราม่า ก็จะไปทางโทนสีฟ้า สีชมพู ฉากหลังก็จะเป็น ภูเขา แม่น้ำ ทะเล” ผู้จัดการโรงหนังซุ่นเฮง เล่าให้ฟังถึงความต่างระหว่างหนังแอ็กชั่นและหนังดราม่า

จากคำบอกเล่าของทั้ง จรัญ และ สมชาย เกี่ยวกับบทบาทของป้ายคัตเอาต์ ก็ใช้ความรู้เรื่องจิตวิทยาสีว่า แต่ละสีให้ความรู้สึกกับคนดูอย่างไร และเมื่อไปพูดคุยกับคนที่มาชมภาพยนตร์ หรือคนที่เคยเห็นป้ายคัตเอาต์หนัง ทั้งหมดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเข้าใจว่า สีและฉากที่ใช้ในป้ายคัตเอาต์หนังแต่ละเรื่องนั้นสามารถบ่งบอกได้ว่า หนังเรื่องนั้นเป็นประเภทอะไร และมีเนื้อหาประมาณไหน 

แต่แม้ป้ายคัตเอาต์หนังจะบ่งบอกเรื่องราวในภาพยนตร์เบื้องต้น แต่คนที่ให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้กลับบอกว่า ป้ายคัตเอาต์ในปัจจุบันไม่มีผลต่อการตัดสินใจว่า จะเลือกซื้อหรือไม่ซื้อตั๋วเพื่อดูหนังเรื่องนี้ กลับกันสิ่งที่มีอิทธิพลคือหนังตัวอย่างที่ได้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวในสื่อออนไลน์หรือหนังตัวอย่างในโรงภาพยนตร์


ความลดน้อยถอยลง และถูกแทนที่ด้วยป้ายไวนิลและสื่อออนไลน์

แม้คนที่มาชมภาพยนตร์ที่โรงหนังซุ่นเฮงจะยังรู้บทบาทของป้ายคัตเอาต์หนัง แต่ทั้งหมดก็ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาเห็นหนังตัวอย่างจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ หรือติ๊กต่อกมากกว่า แต่ก็จำได้ดีว่า ยังมีป้ายคัตเอาต์หนังอยู่ที่ ‘วงเวียนหอนาฬิกา’ ใกล้กับวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ และโรงเรียนศรีสะเกษ

วิทยาลัย และจำได้ว่า เมื่อก่อนในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่น ยังพบเห็นมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงจุดเดียว คำตอบเหล่านี้แสดงว่า ในความรับรู้ของผู้คน บทบาทของป้ายคัตเอาต์ได้เปลี่ยนไปแล้ว“ป้ายไวนิลเริ่มเข้ามาประมาณปี 2545 ถ้าเปลี่ยนผ่านระดับนี้ หมายความว่า ความสมัยใหม่กำลังจะมาเยือนความสมัยเก่าก็จะจากไป สิ่งท่ีมาแทนที่ของความสมัยเก่าก็คือ เราสั่งงานปั๊บมันก็จะง่ายขึ้น สั่งทางคอมพิวเตอร์แล้วก็พิมพ์ลักษณะแบบที่เราต้องการ ไม่ต้องไปจู้จี้ ไม่ต้องไปสั่งงานศิลปินวาดป้ายคัตเอาต์ ถึงเวลาเราก็ไปเอาเอง มันก็จะง่าย ความสบายมา ความโบราณมันก็จากเราไป” จรัญ เล่าถึงจุดเปลี่ยนผ่านของวงการป้ายคัตเอาต์หนัง

“เมื่อก่อนมีป้ายเขียนหนังประมาณ 9 - 10 จุด ตอนหลังมาโรงหนังปิดช่วงโควิดระบาด แล้วช่างเขียนหนังคนหนึ่งป่วยเกี่ยวกับปอด แล้วมาเสียชีวิตลง พรุ่งนี้ก็ครบหนึ่งปีพอดี เมื่อก่อนยังมีเพื่อนร่วมงานเขียนหนัง 3 คนถึง 5 คนต่อโรง เดี๋ยวนี้กระชับลงเหลือคนเดียว (หัวเราะ)” สมชาย เล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวแล้วที่ยังถูกจ้างให้วาดอยู่

เพราะป้ายไวนิลมีความแข็งแรงกว่า ทนทานกว่า สวยงามกว่า สมัยนิยมกว่า เป็นอีกสิ่งที่ยืนยันว่า ความทันสมัยเป็นสิ่งที่ทำให้คนสนใจ และนิยมป้ายไวนิลมากกว่า “พวกป้าย ส.ส. ก็พิมพ์ไวนิลหมดแล้ว มันก็ชักจูงคนให้หนีจากการวาด ป้ายร้านค้าทั่วไปเป็นพิมพ์ทั้งหมด เขามองว่า มันดูง่าย สะอาดตา แล้วป้ายมันทนแดด ทนร้อน ทนฝน แต่ป้ายไม้อัดมันถ้าตากแดด โดนฝนหนักๆ อยู่ได้ไม่นานไม่เกินอาทิตย์ก็ต้องเปลี่ยน” ผู้จัดการโรงหนังซุ่นเฮง เล่าถึงข้อจำกัดของป้ายคัตเอาต์แบบไม้

เมื่อคนรุ่นเก่าต้องปรับตัวในโลกยุคใหม่

ปัจจุบัน สมชาย กองศรี ใช้เวลาว่างจากงานป้ายคัตเอาต์ที่วาดวันละ 1-2 เรื่องต่อสัปดาห์  ไปรับงานประเภทอื่นที่ครั้งหนึ่งเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นก็คือ การวาดตามกำแพงวัดและฝาหนังโบสถ์ เขาบอกว่า การวาดทั้งสองแบบไม่แตกต่างกันมากนัก จะต่างก็เพียงการวาดฝาหนังโบสถ์ต้องปีนและเดินบนนั่งร้าน มันค่อนข้างลำบากพอสมควรสำหรับคนวัยเขา

แต่พอถามว่า ทำไมไม่เกษียณตัวเองกลับไปอยู่บ้าน นี่คือคำตอบ

“ตอนนี้ลูกก็อยากให้กลับไปอยู่บ้าน แต่ไปอยู่บ้านก็ยังมีความอึดอัดใจ เลยอยากอยู่แบบนี้ไปก่อน เพราะผมเป็นคนชอบความเงียบ ถ้ามีการไปตั้งวงเหล้าหรือมีสูบบุหรี่ ผมก็ไม่อยากอยู่ อยากอยู่แบบสงบ อยู่ตามทุ่งนาเหมือนเคยอยู่ แต่ก่อนผมเคยอยู่ทุ่งนาอยู่คนเดียว ไม่มีไฟฟ้าใช้ สงบ เงียบ อยู่ได้แบบนั้น (หัวเราะ)”
 
“แต่อายุเราเยอะก็เตรียมตัวที่จะถอยแล้ว เพราะเราไม่ได้จะอยู่ตลอด เป็นไปไม่ได้ สิ่งหนึ่งกำลังจะจากไป สิ่งใหม่ก็มาแทนที่ ส่วนเรื่องรายได้ก็ไม่เป็นไร น่าจะพออยู่ได้ เพราะงานหนังเก่าที่เราวาดก็วาดตามความต้องการลูกค้า บางงานที่เคยวาดเอาไว้ก็มีคนมาติดต่อซื้อ ถึงสายตาและฝีมือเราอาจจะลดลง แต่เราก็ยังอยากพิสูจน์เหมือนกันว่า งานต่อๆ ไปจากนี้จะเหมือนกันไหม สายตากับมือจะสั่นไหม แต่ผมไม่ได้กินเหล้า ผมคงไม่เป็นไรมากหรอก” 


มื่อมีนายจ้างฉันจึงเรียนศิลปะ: ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและศิลปิน

ช่วงท้ายของการพูดคุยกับ สมชาย กองศรี และ จรัญ หาบุญมี ผู้ที่ทำอาชีพในวงการโรงภาพยนตร์ และผ่านยุคเปลี่ยนผ่านของวงการ แน่นอนว่า จรัญ คือหัวหน้าของสมชาย 

แม้เขาจะไม่ใช่เจ้าของโรงหนั งแต่โดยสายงาน เขาคือคนกลางระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เขาย่อมรู้ดีว่า ความสัมพันธ์นี้มีผลต่อการดำรงอยู่และการสร้างงานศิลปะอย่างไร และแม้ว่าจะมีป้ายโฆษณาแบบไวนิลเข้ามาแล้ว แต่ทำไมโรงหนังซุ่นเฮงจึงยังจ้างสมชายวาดรูปอยู่

“เพราะเจ้าของโรงหนังยังชอบแบบวาดรูปอยู่ไง” จรัญตอบคำถามนี้ทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด และเขากล่าวต่อว่า ทางโรงหนังยังอยากอนุรักษ์ศิลปะการวาดป้ายคัตเอาต์แบบนี้เอาไว้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าแรงของสมชาย ก็เหมือนเอากำไรจากการฉายหนังไปให้สมชาย แล้วเขาเองก็อยู่ด้วยกันมานาน จึงยังดูแลไว้ มีที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟไม่ต้องเสีย มีสวัสดิการครบตามหลักประกันสังคม แต่ก็ขอเพียงว่า อยากให้วาดสวยๆ มาตรฐานไม่ตกไปจากเดิมเท่านั้นเอง นี่เป็นเหตุผลหลักที่โรงหนังซุ่นเฮงยังจ้างสมชายเอาไว้

“ถ้าจะเหลือศิลปินสร้างงานก็เป็นงานประเภทจัดแสดงในแกลเลอรีมากกว่า คงไม่เหลือการสร้างงานแบบหนังชนโรง ประชาสัมพันธ์หนังเข้าใหม่แบบที่ผมและช่างเขียว (โรงหนังโคลีเซี่ยม จังหวัดยะลา) ทำอยู่อีกแล้ว แต่ถ้ามีนายจ้าง มีโรงหนังที่สนับสนุนอยู่ ผมว่าไปได้ แต่ถ้าไม่มีก็เป็นอดีตหมดไปตรงนั้น” สมชาย กล่าวถึงประเด็นเมื่อไม่มีนายจ้างก็ไม่มีศิลปะ

“ใช่” จรัญเห็นด้วยกับประโยคนี้เช่นกัน “แต่คุณต้องเข้าใจในมุมของนายจ้างด้วยว่าทำไมเขาถึงไม่จ้างเพราะบางทีคนวาดเล่นตัวบ้าง ทำงานไม่ตรงเวลา งอแง จะวาดเฉพาะหนังที่มีกำหนดการฉายที่แน่นอนเท่านั้นเพราะเขาคิดว่า วาดวันเดียวก็เสร็จ ไม่ทำงานล่วงหน้า” ผู้จัดการโรงหนังซุ่นเฮง เล่าให้ฟังต่อและว่า สมัยก่อนยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีผลิตป้ายไวนิล ศิลปินในฐานะลูกจ้างจะมีอิทธิพลเหนือกว่านายจ้าง แต่ในเมื่อเทคโนโลยีได้เข้ามา บทบาทของนายจ้างก็เปลี่ยนไป ไม่ต้องง้อศิลปินอีกแล้ว มีอะไรก็สั่งคอมพิวเตอร์แล้วก็พิมพ์ออกมา จะเอาขนาดใหญ่สูงเท่าตึก 3 ชั้น หรือจะเล็กๆ ของกระดาษ A4 แผ่นเดียว คลิกปุ่มเดียวก็มีงานออกมาแล้ว

คำตอบนี้อาจหมายความว่าศิลปินจะไม่แคร์ใครหรือ ‘อินดี้’ ไม่ได้อีกแล้ว หากยังอยากถูกจ้างงานอยู่

“ใช่อีกแล้ว” จรัญตอบคำถามนี้ด้วยคำเดิมแต่น้ำเสียงดังขึ้น “คนวาดรูปส่วนมากเขาจะกินแต่เหล้า พออายุเยอะแล้วประสาทก็จะเสีย เขาอาจกินเพื่อสร้างสรรค์ในสมองเขา ถ้าได้ดื่มมันก็จะเป็นการบังคับให้สมองเขาเดินลื่นไหล ศิลปินก็จะรู้สึกว่า เขาวาดภาพได้เนียนกว่าปกติ แต่ระยะยาวแล้วเหล้าก็กินคน ไม่เหมือนพี่สมชาย แกไม่เอาเลย” จรัญ กล่าวถึงบทเรียนของศิลปินยุคก่อน ตามด้วยฝากถึงศิลปินยุคใหม่ว่า

“ศิลปินในทุกวันนี้ต้องต่อสู้กับความทันสมัย เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็วาดรูปได้ มันไม่ได้ยุ่งยาก ไม่ต้องมีอุปกรณ์มากมายเหมือนแต่ก่อน ไอแพดเครื่องเดียวเป็นศิลปินได้แล้ว ดังนั้่นจึงอยากให้ศิลปินใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารให้เป็นประโยชน์มากกว่าจะดูแคลนพวกมัน”

“เหมือนพี่สมชายที่วาดรูปแล้วก็ถ่ายรูปผ่านมือถือลงในสื่อออนไลน์ ก็เป็นการประชาสัมพันธ์ผลงานและฝีมือ จากนั้นก็มีคนนอกพื้นที่มาติดต่อให้เขาไปวาดภาพป้ายไม้ หรือตามอาคารต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์หรือไม่เกี่ยวข้องก็ตาม ก็เป็นการสร้างรายได้ และยังฝึกฝีมือไปในตัว อย่าไปเลือกงานว่า ต้องวาดเฉพาะแบบนี้เท่านั้น แบบอื่นไม่วาดเลย สุดท้ายหากอยากอยู่รอดบนโลกของทุนนิยมก็ต้องปรับตัว”

“ฟังนายจ้างบ้าง นายจ้างให้นโยบายมาเราก็รับนโยบายไป ใช้ความคิดของเจ้าของไปต่อยอดเป็นผลงานแค่นั้นเอง มันก็คือการทำงานเป็นทีม ระบบทีมเวิร์ก ศิลปินก็ได้สร้างงาน นายจ้างก็เอาไปขายได้ เป็นกำไร ดูอย่างพี่ สมชาย กองศรี ที่ยังมีคนจ้างมาจนถึงทุกวันนี้ นี่ละคือสิ่งที่อยากทิ้งท้ายให้ศิลปินทุกคน” 

Latest

+
ในวันที่ TILLY BIRDS กลับสู่เส้นทาง ‘เพลงสากล‘ ที่เคยเริ่มไว้เมื่อ 9 ปีก่อน