Humberger Menu

ดิเอโก มาราโดนา อัจฉริยะลูกหนังผู้มี ‘หัตถ์ของพระเจ้า’ เป็นบันไดสู่แชมป์โลก

-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

Subculture

Sports

Culture

30 พ.ย. 65

creator
วิวัฒน์ รุ่งแสนสุขสกุล
BookmarkLineCopy
-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

...

Summary
  • ชื่อชั้นของ ดิเอโก มาราโดนา ถูกพูดถึงเป็นครั้งแรกในตอนที่มาราโดนามีวัยเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้น ซึ่งตัวเขาก็ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญให้กับทีมชาติในอนาคต
  • ปี 1977 มาราโดนา วัย 16 ปี ก็ได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติครั้งแรก และถือเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ติดทีมชาติอีกด้วย แต่ไม่ได้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดฟุตบอลโลก 1978
  • Hand of God คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างอาร์เจนตินากับอังกฤษ ซึ่งอาร์เจนตินาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อังกฤษในการทำสงครามแย่งเกาะฟอล์กแลนด์ไม่นานก่อนหน้านั้น

...


เมื่อใดก็ตามที่เราพูดถึงทีมชาติอาร์เจนตินา หนึ่งในสองรายชื่อที่มักจะถูกพูดถึงก่อนใครเพื่อน ย่อมต้องเป็น ลิโอเนล เมสซี และ ดิเอโก มาราโดนา 

ลิโอเนล เมสซี คือผู้เล่นในยุคปัจจุบันที่กำลังไขว่คว้าความสำเร็จสุดท้ายในชีวิตการค้าแข้ง นั่นคือ ‘ถ้วยฟุตบอลโลก’ และการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ถือได้ว่าเป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเมสซีแล้วด้วย

ปัจจุบัน เมสซีได้ชื่อว่าเป็นนักเตะที่ยิงประตูในสีเสื้ออาร์เจนตินามากที่สุดตลอดกาล โดยสถิติเก่านี้เคยเป็นของ กาเบรียล บาติสตูตา กองหน้าระดับตำนานของฟิออเรนตินา ซึ่งบาติสตูตายิงประตูในนามทีมชาติทั้งสิ้น 56 ประตู แต่เมสซี ยิงไปแล้ว 93 ประตู (นับจนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2022)

ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ในครั้งนี้ เมสซีจะลงเล่นในฟุตบอลโลกเป็นครั้งสุดท้าย แต่จากการที่เกมแรกแพ้ให้กับซาอุดีอาระเบีย ทำให้เกมที่ต้องเจอกับเม็กซิโก เป็นเกมที่กดดันในใจต่อพลพรรคฟ้าขาวไม่น้อย แต่พวกเขาก็แก้ตัวได้สำเร็จด้วยการเอาชนะเม็กซิโก 2-0 จากความมหัศจรรย์ของ ลิโอเนล เมสซี ที่ยังคงเป็น ‘เดอะ แบก’ ในทีมชาติอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม เส้นทางฟุตบอลโลก 2022 ของอาร์เจนตินายังไม่สิ้นสุดลง เช่นเดียวกับปลายทางของเมสซี ก็ยังไปได้ไม่ถึงในฐานะกัปตันทีมผู้ชูถ้วยฟุตบอลโลก 

ในประเทศอาร์เจนตินา มีนักเตะหนึ่งเดียวที่ได้ชื่อว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ และทุกคนในวงการฟุตบอลต่างค้อมศีรษะให้กับเขาคนนี้ด้วยความเคารพในผลงานบนฟลอร์หญ้า คนคนนั้นก็คือ ดิเอโก มาราโดนา 

ชื่อชั้นของ ดิเอโก มาราโดนา ถูกพูดถึงเป็นครั้งแรกในตอนที่มาราโดนามีวัยเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้น ซึ่งตัวเขาก็ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญให้กับทีมชาติในอนาคต

การที่ผู้คนในวงการฟุตบอลอาร์เจนตินาจะคาดหวังกับมาราโดนาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมาราโดนามีความสุดยอดทั้งในด้านวิสัยทัศน์ในการเล่นฟุตบอล การผ่านบอล การเลี้ยงบอล และการควบคุมลูกฟุตบอล เรียกได้ว่าเก่งเกินอายุไปหลายช่วงตัว

วันและเวลาของดิเอโก มาราโดนา กับการสวมเสื้อทีมชาติฟ้าขาว มาราโดนา ใช้เวลาไม่นานนักก็มาบรรจบกัน โดยในปี 1977 มาราโดนา วัย 16 ปี ก็ได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติครั้งแรก และถือเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ติดทีมชาติอีกด้วย เพียงแต่ว่า เมื่อฤดูกาลฟุตบอลโลก 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินาเป็นเจ้าภาพเริ่มต้นขึ้น เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ กุนซืออาร์เจนตินาในตอนนั้นไม่ได้เลือกมาราโดนาติดทีมชุดนั้นไปด้วย โดยให้เหตุผลว่า มาราโดนายังเด็กเกินไป แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะอาร์เจนตินาแข็งแกร่งพอที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นแชมป์โลกในครั้งนั้นอยู่ดี 

อันที่จริง การจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ที่อาร์เจนตินาหนนั้น ชาวอาร์เจนตินาอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการ ฮอร์เก บิเดลา ทำให้ชาติประชาธิปไตยและชาวอาร์เจนตินาเอง เรียกขานฟุตบอลโลกครั้งนั้นว่า เป็นความพยายามของเผด็จการที่จะใช้ฟุตบอลโลกปิดบังความผิดที่ตัวเองก่อเอาไว้ โดยที่นักเตะเหล่านั้นก็สู้ในแบบฉบับของพวกเขา และไม่มีใครเห็นด้วยกับเผด็จการของบิเดลา จนสุดท้ายอาร์เจนตินาก็ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาในอีก 13 ปีให้หลัง

แม้จะไม่ได้ไปฟุตบอลโลก 1978 ที่บ้านเกิดเป็นเจ้าภาพ แต่ฝีเท้าของมาราโดนาก็ยังคงรุดหน้าไปเรื่อยๆ โดยมาราโดนาใช้ชีวิตกับ อาร์เจนติโนส ฮูเนียร์ส 5 ฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีม โบคา ฮูเนียร์ส ยอดทีมแห่งพรีเมียรา ดิวิชัน ลีกสูงสุดของอาร์เจนตินา ในเวลาต่อมา

แต่การใช้ชีวิตใน โบคา ฮูเนียร์ส ก็สั้นมากๆ เพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น เพราะด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์จนไปเตะตาเข้าอย่างจังจนทำให้ ‘เจ้าบุญทุ่ม’ บาร์เซโลนา กระชากตัวมาราโดนา ไปร่วมทีมในฐานะนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกในเวลานั้น ที่ราคา 3 ล้านปอนด์ หลังจบฟุตบอลโลก 1982

ส่วนช่วงเวลาของ ดิเอโก มาราโดนา กับทีมชาติอาร์เจนตินา และฟุตบอลโลก เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติ ในฟุตบอลโลกปี 1982 ที่ประเทศสเปนเป็นเจ้าภาพ และถือเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกของมาราโดนาด้วย เพียงแต่ว่าจุดที่ทำให้อาร์เจนตินา 1982 ไปไม่ถึงดวงดาว มาจากความขัดแย้งภายในทีมชาติ ระหว่างกลุ่มนักเตะดาวรุ่งกับนักเตะรุ่นใหญ่ ส่งผลให้ภาพรวมของทีมย่ำแย่ และตกรอบในรอบที่สองของกลุ่ม C (สมัยนั้นรอบที่สองยังอยู่ในระบบกลุ่ม) แพ้รวดทั้งในเกมที่เจอกับอิตาลีและบราซิล

กระทั่งในช่วงหน้าร้อนของปี 1984 ดิเอโก มาราโดนา กลายเป็นนักเตะที่ทำสถิติโลกการย้ายทีมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนาโปลียอมทุ่มเงินค่าตัวสถิติโลก 5 ล้านปอนด์ในเวลานั้นให้กับบาร์เซโลนา

สาเหตุที่มาราโดนาต้องระเห็จออกจากแคว้นกาตาลุญญา นั่นเป็นเพราะว่า มาราโดนามีปัญหาทางวินัยอย่างหนัก ทั้งเรื่องของแอลกอฮอล์ และยาเสพติด แม้ว่าบาร์เซโลนาจะพยายามย่อหย่อนให้กับมาราโดนามากแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องปล่อยออกจากทีมไปในที่สุด

การย้ายทีมจาก คัมป์ นู ไปยัง ซาน เปาโล มีแฟนบอลชาวเนเปิลส์จำนวนกว่า 75,000 คน มารอต้อนรับมาราโดนาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่มาราโดนาค้าแข้งกับนาโปลี ตรงกับช่วงที่ตัวเขามีอายุ 25 ปี ซึ่งกำลังเข้าใกล้สู่จุดที่เป็นช่วงพีกของการค้าแข้งพอดิบพอดี 

สิ่งที่น่าสนใจในช่วงที่มาราโดนาค้าแข้งอยู่กับนาโปลี นั่นคือ ความติดดินของมาราโดนา กล่าวคือ แฟนบอลสามารถเข้าถึงตัวเขาได้อย่างง่ายดาย แล้วด้วยความสบายใจที่ได้อยู่เนเปิลส์ ราวกับ feel like home ที่อาร์เจนตินาส่งผลให้มาราโดนาที่เข้าสู่ช่วงพีกแล้วด้วย ยิ่งบันดาลผลงานระดับมาสเตอร์พีซให้กับนาโปลี ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ เซเรีย อา 2 สมัย ตามด้วย โคปา อิตาเลีย และยูฟ่า คัพ อย่างละ 1 สมัย

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจในวันที่ ดิเอโก มาราโดนา เสียชีวิต ทีมนาโปลีได้เปลี่ยนชื่อสนามจาก ซาน เปาโล ไปเป็น ดิเอโก อาร์มานโด มาราโดนา สเตเดียม 

ส่วนผลงานในนามทีมชาติ พลพรรคฟ้าขาวก็ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวเต็มๆ อาร์เจนตินา ภายใต้การนำของมาราโดนา สามารถเก็บชัยชนะ 2 เสมอ 1 ในรอบแรก ซึ่งมีทีมอย่างอิตาลี, บัลแกเรีย และเกาหลีใต้ 

แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สลักสำคัญ เพราะไฮไลต์สำคัญของทัวร์นาเมนต์นี้อยู่ที่การเจอกับทีมชาติอังกฤษในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เพราะเกมนี้ทำให้มาราโดนา มีสถานะของความเป็นพระเจ้าลูกหนังอาร์เจนไตน์ทันที เขาคือชายที่แบกทีมฟ้าขาวเอาไว้บนบ่า จนกระทั่งคว้าแชมป์โลกได้ในปี 1986 ได้สำเร็จ 

หนึ่งในประตูที่ช่วยกรุยทางให้อาร์เจนตินาก้าวเข้าสู่แชมป์โลก ได้มีประตูสุดพิเศษที่มีชื่อว่า หัตถ์พระเจ้า หรือ Hand of God ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าของแฟนบอลทีมชาติอังกฤษ ที่กล่าวถึงมาราโดนาว่าเป็น ‘ไอ้คนขี้โกง’

ถึงที่สุดแล้ว มาราโดนา ก็ไม่ได้แคร์อะไรกับเสียงก่นด่าที่โถมมาหาตัวเขา

หลังจากประตู Hand of God เกิดขึ้นเพียง 6 นาที มาราโดนาได้ยิงประตูที่สวยที่สุดลูกหนึ่งของฟุตบอลโลกด้วยการเลี้ยงผ่านนักเตะคนแล้วคนเล่าถึง 5 คน ได้แก่ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, สตีฟ ฮอดจ์, ปีเตอร์ รีด, เทอร์รี บุตเชอร์ และเทอร์รี เฟนวิค กินระยะทางมากถึง 66 หลา ก่อนที่จะบรรจงส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายผ่านมือ ปีเตอร์ ชิลตัน ซึ่งประตูนั้นได้กลายเป็นประตูแห่งศตวรรษของฟีฟ่า หรือ Goal of the Century ในปี 2002

ทั้งนี้ เลอ กิ๊ป (L'Équipe) หนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศส ได้บรรยายความเป็นตัวตนของมาราโดนา ในเกมที่ชนะทีมชาติอังกฤษเอาไว้สั้นๆ แต่ได้ใจความว่า ‘half-angel, half-devil’ ครึ่งหนึ่งของมาราโดนาไม่ต่างจากเทพบุตร แต่อีกด้านเขาไม่ต่างจากซาตาน

ในประเด็นของอังกฤษและอาร์เจนตินา พวกเขาไม่ได้มีปัญหาเฉพาะในด้านฟุตบอลเท่านั้น แต่ในเชิงการเมืองแล้วอาร์เจนตินาและอังกฤษ ก็มีปัญหาจากการที่ อาร์เจนตินาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการทำสงครามแย่งเกาะฟอล์กแลนด์ จึงยิ่งทำให้ความเกลียดชังของอาร์เจนตินา ที่มีต่อฝั่งอังกฤษ มีขึ้นก่อนหน้าที่จะเริ่มคิกออฟเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจใดๆ ทั้งสิ้น ที่ฟีฟ่าจะเลือกผู้ตัดสินจากตูนิเซีย ประเทศในแอฟริกาเหนือ มาเป็นกรรมการห้ามทัพ 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของผู้ตัดสินชาวตูนิเซีย ผู้นี้ก็คือ อาลี บิน นาสเซอร์ ซึ่งเขาเชื่อว่า บอลที่เข้าไปนั้นมาจากการโหม่งของมาราโดนาจริงๆ อีกทั้งไลน์แมนที่น่าจะเห็นเหตุการณ์อย่าง บ็อกดาน โดเชฟ ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ทั้งที่ตัวเขาขอความชัดเจนแล้วก็ตาม 

จากการตัดสินที่ผิดพลาดในครั้งนั้น ส่งผลให้ Hand of God กลายเป็น iconic moment ของฟุตบอลโลกไปในที่สุด

อย่างไรก็ดี การตัดสินที่ผิดพลาดของอาลี บิน นาสเซอร์ ส่งผลให้ตัวเขาไม่ได้ลงทำการตัดสินเกมสำคัญๆ เช่น นัดชิงชนะเลิศ และกลายเป็นสิ่งที่หลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต

ขณะที่ มาราโดนา รู้ดีว่าประตูนั้นไม่ได้มาจากการโหม่งแน่ๆ สิ่งที่มาราโดนาทำก็คือการเรียกให้เพื่อนๆ มาดีใจ เพราะถ้าหากเพื่อนร่วมทีมชาติอาร์เจนตินาไม่มาดีใจ อาจเป็นพฤติกรรมที่ผิดสังเกตจนอาจถูกริบประตูคืนได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นไหวพริบของมาราโดนาอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการเล่นที่ผิดกติกาก็ตาม

ในช่วงการแถลงข่าวหลังจบเกม มาราโดนาเป็นผู้กล่าวประโยคสุดคลาสสิกว่า หัตถ์พระเจ้า หรือ Hand of God ขึ้นมา

สำหรับความสุดยอดของดิเอโก มาราโดนา โดยเฉพาะในชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 อยู่ตรงที่ ความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่แม้จะต้องผจญกับการกระแทกกระทั้นของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม แต่มาราโดนา ก็สามารถรับทุกการโจมตีได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีทักษะการเลี้ยงบอลที่น่าตื่นตะลึง

นอกเหนือจากเรื่องฝีเท้าแล้ว มาราโดนายังมีภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำที่ทุกคนสามารถไว้วางใจได้ โดยการลงสนามทุกวินาทีของมาราโดนา มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ทางด้านเกมนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างอาร์เจนตินา กับเยอรมนีตะวันตก ก่อนเริ่มเกมแน่นอนว่า อาร์เจนตินา เป็นต่ออยู่หลายขุม เพราะพวกเขามีเดอะ แบก อย่างดิเอโก มาราโดนา แล้วก็เป็นไปตามนั้น อาร์เจนตินา ยิงประตูขึ้นนำ 2-0 อย่างรวดเร็ว จากโฆเซ หลุยส์ บราวน์ และฮอร์เก บัลดาโน แต่เยอรมนีตะวันตก ที่มียอดนักเตะอย่างคาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก ยิงประตูที่ช่วยให้เยอรมนีตะวันตก ตื่นจากภวังค์ 

แล้วเกมนัดชิงก็สนุกขึ้นเป็น 2-2 จากลูกยิงตีเสมอของ รูดี โฟลเลอร์ จากเกมที่โมเมนตัมน่าจะอยู่ที่ เยอรมนีตะวันตก ก็เป็น ฮอร์เก หลุยส์ เบอรูชากา ยิงประตูที่ทำให้อาร์เจนตินา ไปถึงแชมป์โลกได้ในที่สุด

บทสรุปของฟุตบอลโลก 1986 ดิเอโก มาราโดนา ยิงไปได้ 5 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์ และลงเล่นในทุกวินาทีของทัวร์นาเมนต์ให้กับทีมชาติอาร์เจนตินา ซึ่งทั้งหมดนั้นคือเกียรติยศสูงสุดครั้งสุดท้ายในนามทีมชาติของอาร์เจนตินาและมาราโดนา นั่นเพราะฟุตบอลโลก 1990 อาร์เจนตินาที่ยังมีมาราโดนานำทัพ แต่ก็พ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศให้กับทีมชาติ เยอรมนีตะวันตก ซึ่งแกร่งขึ้นจากเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยเพิ่มความดุดัน ดุเดือดในการเล่น กอปรกับความมั่นใจที่เพิ่มสูงขึ้น แล้วก็ได้ลูกยิงประตูชัยจากจุดโทษของ อันเดรียส เบรห์เม รูดม่านฟุตบอลโลก 1990 โดยมี โลธาร์ มัทเธอุส เป็นผู้ชูถ้วยแชมป์โลก

ขณะที่ ฟุตบอลโลก ปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา มาราโดนาก็ยังติดทีมชาติ ด้วยวัย 33 ปี และเป็นกัปตันทีมชาติเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ด้วยความที่มาราโดนามีปัญหาเรื่องพฤติกรรมนอกสนามอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องของยาเสพติด ซึ่งใช้มาตลอด 

เมื่อคณะกรรมการตรวจโด๊ป พบว่ามาราโดนามีโคเคนอยู่ในร่างกาย ส่งผลให้มาราโดนา โดนส่งตัวกลับบ้านเกิดทันที แล้วก็กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่สุดท้ายของมาราโดนาในที่สุด พร้อมกับเป็นสายฟ้าฟาดลงไปที่ทีมชาติอาร์เจนตินา และดับความหวังของทีมฟ้าขาวเอาไว้ที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1994

อย่างไรก็ดี ดิเอโก มาราโดนา กลับคืนสู่ทีมชาติอาร์เจนตินา เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในบทบาทของผู้เล่น หากแต่เป็นบทบาทของการเป็นผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนตินา สำหรับสู้ศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ นั่นเอง

ประเด็นนี้ไม่ต้องคิดมาก สมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินา เลือกมาราโดนาไม่ใช่เพราะฝีมือแน่ๆ แต่เลือกเพราะบารมี เพราะก่อนหน้าที่มาราโดนาจะคุมทีมชาติฟ้าขาว ผลงานการคุมทีมของมาราโดนามีแค่ เดปอร์ติโบ มานดิยู (Deportivo Mandiyú) และราซิง คลับ (Racing Club) เท่านั้น ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ไม่เพียงพอต่อการคุมทีมชาติใหญ่อย่างทีมฟ้าขาวแม้แต่น้อย แต่เพราะด้วยบารมีที่คับไปทั่วโลกฟุตบอล มาราโดนา จึงทำให้เขาถูกมองว่า สามารถรับมือกับการบริหารทีมชาติชุดนี้ได้

อาร์เจนตินาของมาราโดนา สามารถคว้าแชมป์กลุ่ม B ที่มี เกาหลีใต้, กรีซ และไนจีเรีย ได้อย่างราบคาบ ตามด้วยการเอาชนะเม็กซิโก ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2010

แต่การต้องมาดวลกับเยอรมนี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ลูกทีมของมาราโดนาซึ่งไม่แกร่งพอ จึงตกรอบโบกมืออำลาเวทีฟุตบอลโลกเอาไว้เพียงเท่านี้ 

หลังจบศึกฟุตบอลโลก 2010 มาราโดนา อยากอยู่คุมทีมชาติต่อไป แต่สมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินาไม่เห็นเป็นเช่นนั้น โดยเลือกปลดมาราโดนา เพราะดูจากภาพรวมแล้วมาราโดนาไม่น่าเข็นทีมชาติให้ประสบความสำเร็จจนเป็นแชมป์โลกได้

ทุกอย่างจึงสะท้อนออกมาอย่างหนึ่งว่า การเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของโลก ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถเป็นผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดได้เช่นกัน

สำหรับ ดิเอโก มาราโดนา เดอะ โกลเดนบอย ตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนตินา เสียชีวิตในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2020 ภายในบ้านของเขาที่กรุงบัวโนสไอเรส จากอาการหัวใจวาย พร้อมกับทิ้งมรดกฟุตบอลให้กับคนทั้งโลกได้จำจดไปตลอดกาล



Share article
  • Line
  • link

ไทยรัฐออนไลน์ ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

ยอมรับ
Thailand Web Stat