20 ปี Lost in Translation และ 3 เหตุผลสำคัญ ที่เราควรดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์
-ก
ก
ก+
Light
Dark
ฟังบทความ
...
Summary
- เมื่อหนัง Lost in Translation -ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันงดงามของสองหนุ่มสาวอเมริกันต่างรุ่นในกรุงโตเกียว ที่ต่างก็มีวิกฤติชีวิตในช่วงวัยของตน- ของ โซเฟีย คอปโปลา ได้มีโอกาสกลับมาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราอย่าง House Samyan อีกครั้ง เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 20 ปีของหนัง เราจึงอยากเชื้อเชิญให้คุณได้ออกจากบ้านไปรับชมผลงานสุดคลาสสิกเรื่องนี้อย่างเต็มตาเต็มอรรถรสในโรงหนังกันดูสักหน
- คอปโปลาเขียนบทหนังชิ้นนี้ขึ้นมาโดยอ้างอิงจากเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตส่วนตัวของเธอเอง ที่เคยทำให้เจ้าตัวต้องเผชิญกับสภาวะ ‘แปลกแยก/เปลี่ยวเหงา’ มาโดยตลอด พร้อมกับเลือกสถานที่ที่เธอผูกพันอย่างเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และโรงแรม พาร์ก ไฮแอตต์ ของที่นั่นเป็นหมุดหมาย โดยเธอถ่ายทำหนังทั้งเรื่องภายในเวลาเพียง 27 วัน ภายใต้งบเพียง 4 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น อีกทั้งยังใช้วิธีการถ่ายทำแบบ ‘กองโจร’ เสียด้วย
- นอกเหนือไปจากจังหวะการแสดงอันเป็นธรรมชาติ ทั้งในฉากดราม่าและฉากคอมเมดี้ ของสองนักแสดงนำต่างวัยอย่าง บิล เมอร์เรย์ กับ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ที่สื่อสารตัวตนอันเปลี่ยวเหงาของ บ็อบ -นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่กำลังหลงทางอยู่ในวิกฤติชีวิต- กับ ชาร์ล็อตต์ -สาววัยต้นยี่สิบที่ยังไม่แน่ใจกับอนาคตของตน- ออกมาได้อย่างละเอียดลออแล้ว เคมีระหว่างกันของนักแสดงต่างรุ่นทั้งสองคนนี้ ก็เรียกได้ว่า ‘แสนวิเศษ’ เลยทีเดียว จนสามารถสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงให้ผู้ชม ‘อิน’ ไปกับเรื่องราวได้ไม่ยาก
- ด้วยเหตุนี้ Lost in Translation จึงทำให้ผู้ชม ทั้งในวัยหนุ่มสาวและวัยกลางคน สามารถ ‘อิน’ กับเรื่องเล่าตรงหน้าได้ในแบบของตัวเอง -- ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ผู้ชมที่เคยเป็นหนุ่มสาว และดูหนังเรื่องนี้ผ่านสายตาของตัวละครชาร์ล็อตต์ในวันนั้น จะรู้สึกอย่างไร หรือเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เมื่อได้รับชมหนังเรื่องเดิม ผ่านมุมมองของตัวละครบ็อบในวันนี้
...
Author
ธีพิสิฐ มหานีรานนท์
บรรณาธิการสายศิลปวัฒนธรรม