D.P. ซีซั่น 2 : หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
-ก
ก
ก+
Light
Dark
ฟังบทความ
...
Summary
- ซีรีส์ D.P. ซีซั่น 1 ที่ว่าด้วยปฏิบัติการตามล่าทหารหนีทัพของหน่วย D.P. (Deserter Pursuit) ในเกาหลีใต้ กวาดคำวิจารณ์เชิงบวกทั้งจากคนดูและนักวิจารณ์ เดินหน้าโกยรางวัลในประเทศอย่างครบมือ จนกลายเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ Netflix Original ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา ขณะที่เรื่องราวในซีซั่น 2 ของปีนี้ ก็ดูจะเข้มข้นมากขึ้น เมื่อเส้นเรื่องหลักพูดถึงคดีพลทหารกราดยิงเพื่อนร่วมค่าย อันเป็นผลมาจากการต้องตกเป็นเหยื่อของการทารุณกรรมในระบบกองทัพ
- โดยนอกจากนี้ ก็ยังมีเส้นเรื่องรองๆ ที่เข้าไปแตะต้องประเด็นเปราะบาง อย่างการสืบปมเสียชีวิตของทหารในพื้นที่ DMZ (Demilitarized Zone) หรือ ‘เขตปลอดทหาร’ อันเป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้ปราศจากอำนาจทางการทหารทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และดูเหมือนว่าทุกคนต่างพยายามปกปิดอะไรบางอย่างไว้ และการโฟกัสไปยังทหารหนีทัพที่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ ผู้ต้องเผชิญกับคำดูหมิ่นเหยียดหยามต่อเพศสภาพของพวกตน จนสุดท้ายต้องเลือกที่จะหนี
- เนื้อหาตลอดทั้งซีซั่น 2 นี้ พยายามชี้ให้เห็นว่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ตัว ‘ระบบ’ ที่เอื้อต่อการกระทำ และการปกปิดความผิด แต่ในมุมกลับกัน คนในกองทัพส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนชั่วเสมอไป เพียงแต่หลายคนเลือกที่จะเงียบ ไม่ก็เล่นตามน้ำไป เพราะการถือครองความจริงของแต่ละคนมี ‘อำนาจ’ ไม่เท่ากัน ซึ่งหากเป็นชั้นผู้น้อย หรือคนที่ไม่มีอำนาจ สุดท้ายปัญหาก็จะถูกกลบและเงียบหายไปเหมือนเดิม
- อย่างไรก็ตาม ซีรีส์ก็ยังพยายามสะกิดคนดูได้คิดตามด้วยว่า “เราต้องทำอะไรสักอย่าง” เพราะแม้ว่าการต่อสู้กับระบบจะเป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้เวลา ซึ่งมันอาจไม่เห็นผลลัพธ์ในตอนนี้ แต่อย่างน้อยๆ เราอาจได้สร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างต่อสังคมขึ้นมาได้บ้าง เพื่อที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในอนาคต
...
Author
พี พันเอก
วิศวกร ซีเนไฟล์ / แอ็กเคานต์พันทิประดับ Expert Account (หมวดภาพยนตร์) / เจ้าของเพจ Review-me