สัตว์เลี้ยงแสนรัก ลูกค้าใหม่ของบิวตี้แบรนด์ระดับไฮเอนด์
...
Summary
- ในปีที่ผ่านมา มีการสำรวจพบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นอีก 9% จากปี 2019-2020 ซึ่งก็พลอยทำให้สินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่อาหารสัตว์, ธุรกิจบริการ เช่น Dog Yard, โรงเรียนฝึกสุนัข หรือสตาร์ทอัพที่เจาะกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ โตตามไปด้วย
- สิ่งที่ตามมาก็คือ หลายๆ แบรนด์โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ความงามและสกินแคร์ต่างๆ เริ่มเห็นโอกาสใหม่ ที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ในบ้าน และมองว่าเจ้าของรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มองสัตว์เลี้ยงของเขาเป็นเพียงสัตว์ตัวหนึ่งอีกต่อไป
- พวกเขาไม่ได้มีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เอาไว้เฝ้าบ้านหรือคลายเหงา แต่เป็นมากกว่านั้น กล่าวคือเป็นทั้งเพื่อน เป็นผู้คอยเยียวยาจิตใจ ฯลฯ จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่พวกเขามั่นใจว่า ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ที่เหมือนกับเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง
...
ในปีที่ผ่านมา จากการสำรวจของ The ASPCA® หรือ The American Society for the Prevention of Cruelty to Animals® พบว่า กว่า 23 ล้านครัวเรือนในสหรัฐอเมริกา รับอุปการะสุนัขเพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่ตามมาก็คือ มันทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงโตขึ้นอีก 9% จากปี 2019-2020 ซึ่งก็พลอยทำให้สินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่อาหารสัตว์, ธุรกิจบริการ เช่น Dog Yard, โรงเรียนฝึกสุนัข หรือสตาร์ทอัพที่เจาะกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ โตตามไปด้วย
เฉพาะในสหรัฐฯ คาดว่ามูลค่าตลาดโดยรวมที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง อาจสูงถึง 1.07 แสนล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 3.24 ล้านล้านบาท เรียกว่าเฉพาะตลาดสัตว์เลี้ยงในอเมริกา ก็เท่ากับงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยเข้าไปแล้ว
สิ่งที่ตามมาก็คือ หลายๆ แบรนด์โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ความงามและสกินแคร์ต่างๆ เริ่มเห็นโอกาสใหม่ ที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ในบ้าน และมองว่าเจ้าของรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มองสัตว์เลี้ยงของเขาเป็นเพียงสัตว์ตัวหนึ่งอีกต่อไป แต่คือสมาชิกคนหนึ่งภายในครอบครัว โดยตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีมากก็คือ กระแสการทำงานที่บ้าน เพราะแม้วิกฤติการระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในรูปแบบเดิม
นิตยสารไทม์ ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 บอกว่า ในอเมริกาเหนือ พบว่าพนักงานที่เคยทำงานจันทร์ถึงศุกร์ เกินครึ่งไม่อยากกลับไปทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม และ 25% ของคนที่ไม่อยากกลับไปทำงานก็บอกว่า พร้อมจะเปลี่ยนงานได้ตลอดเวลา หากบริษัทไม่มีทางเลือกให้กับพวกเขา ซึ่งเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาเป็นห่วงสัตว์เลี้ยงที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ภายในบ้าน พนักงานเหล่านี้รู้สึกว่าอยากทำงานอยู่ที่บ้านมากขึ้น เพราะสามารถจัดสรรเวลาในการใช้ชีวิตได้ดีกว่า
Ouai Pet Shampoo ใช้แผนการทำประชาสัมพันธ์ผ่านครอบครัวคาร์แดเชียน ซึ่งเป็นลูกค้าของพวกเขาอยู่แล้วในผลิตภัณฑ์สำหรับคน
สัตว์เลี้ยงเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของคนเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสังคมที่ผู้คนนิยมมีลูกน้อยลง และมีคนสูงอายุมากขึ้น การเลี้ยงสัตว์จึงตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ได้อย่างลงตัว
Pet Parents หรือคุณพ่อคุณแม่ของน้องหมาน้องแมว เป็นคำศัพท์ใหม่ที่ถูกเรียกแทนคำว่า ‘เจ้าของ’ ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ที่เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก เพราะพวกเขาไม่ได้มีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เอาไว้เฝ้าบ้านหรือคลายเหงา แต่เป็นมากกว่านั้น กล่าวคือเป็นทั้งเพื่อน เป็นผู้คอยเยียวยาจิตใจ ฯลฯ จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่พวกเขามั่นใจว่า ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสมาชิกในครอบครัว ธุรกิจ Pet Wellness และ Pet Grooming จึงเติบโตขึ้นอย่างมาก และมีผู้เล่นลงมาในสนามนี้หลายแบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์หรู ผู้มีศักยภาพในการสยายปีกของตัวเอง
Petco ร้านเครือข่ายขายสินค้าสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในแถบซานฟรานซิสโก เผยว่า ปีที่แล้ว ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ระบุบนฉลากว่า “ไม่มีสารเคมีรุนแรง”, “ไม่มีการทดสอบในสัตว์”, “อ่อนโยน” หรือ “ป้องกันเชื้อโรค” กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก พ่อแม่ของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้มองหาความหลากหลายของสินค้าในการช็อปปิ้งมากขึ้น จากแต่เดิม อาจเน้นแค่เพียงแชมพู หรือสเปรย์ดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ แต่ปัจจุบัน พ่อแม่สัตว์เลี้ยงต้องการสิ่งที่เป็นมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทิชชูเปียกออร์แกนิก, น้ำยาทำความสะอาดพื้นที่ปลอดภัยกับสัตว์ หรือแม้แต่น้ำยาปรับผ้านุ่มที่สามารถเอาขนของสัตว์เลี้ยงออกจากเสื้อผ้าได้ รวมไปถึงอาหารเสริมที่วิจัยมาเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ
จอห์น พอล มิทเชล (John Paul Mitchell) ขยายฐานลูกค้าโดยเน้นเจาะกลุ่ม ทั้งช่างระดับไฮเอนด์, Pet Groomer และสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ใช้เองตามบ้าน โดยขายความเป็นมืออาชีพในเรื่องของเส้นผม มาสู่การดูแลขนสุนัข
ในตลาดสัตว์เลี้ยงก็มีผลิตภัณฑ์ดูแลขน และความสวยงามของสัตว์เลี้ยง ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่หลายแบรนด์นะครับ หากคุณเป็นคนที่เลี้ยงสุนัขแบบเอาจริงเอาจัง คุณน่าจะเคยได้ยินแบรนด์เหล่านี้บ้าง เช่น Kin+Kind, Fur Bebe, Dr.Cuddle ซึ่งหลายแบรนด์ก็เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่แบรนด์อื่นๆ จะลงมาลุยตลาดนี้กันบ้าง เพราะมองเห็นศักยภาพชนิดที่เรียกว่าก้าวกระโดด และมีช่องว่างของตลาดอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะตลาดของคนมีเงินที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยงของพวกเขา
แบรนด์สกินแคร์อย่าง คีลส์ (Kiehl's) ภายใต้บริษัทแม่อย่างลอรีอัล เปิดตัวสินค้าสำหรับสุนัขในปี 2018 โดยมีทั้งแชมพู คอนดิชันเนอร์ และสเปรย์บำรุงขนแบบไม่ต้องล้างออก ซึ่งวางขายในอังกฤษเป็นที่แรก ด้วยราคา 19 ปอนด์ (250 มล.) หรือประมาณ 834 บาทต่อขวด
เอสอป (Aesop) แบรนด์ที่มีร้านค้าอยู่กว่า 235 แห่งทั่วโลก ก็เปิดตัว Aesop Animal แชมพูสำหรับสุนัขที่สามารถใช้ล้างมือได้ด้วย ในราคาประมาณ 1,236 บาท (500 มล.) หรือแบรนด์ที่เคยผลิตสินค้าในโปรเฟสชันนัลไลน์อย่าง จอห์น พอล มิทเชล (John Paul Mitchell) ซึ่งโดดเด่นเรื่องการทำสีผม การบำรุงเส้นผมในซาลอน ก็ลงมาแชร์ในตลาดสัตว์เลี้ยงเช่นกัน โดยเปิดตัว John Paul Pet เน้นจุดขายที่คุณภาพของสินค้าระดับมืออาชีพและปลอดภัย (จุดขายของแบรนด์นี้คือ ยืนยันว่าทดสอบในมนุษย์แล้ว) แต่สามารถใช้ได้เองที่บ้าน ซึ่งเป็นการนำเอาความได้เปรียบของแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้ากลุ่มมืออาชีพมาใช้ หรือแบรนด์ เว (Ouai) แบรนด์สกินแคร์ที่ขายภาพลักษณ์ของความหรูหรา ตอนนี้ก็บุกตลาดสัตว์เลี้ยงด้วยเหมือนกันโดยมีแผนจะนำเข้าไปวางจำหน่ายในร้าน ซีฟอร่า (Sephora) ซึ่งตัวเองยึดเป็นฐานที่มั่นอยู่แล้ว เรียกว่าซื้อของคนเสร็จ ก็หยิบของหมาที่บ้านใส่ตะกร้าด้วยเลย
Kin+Kind Raw Berryboost ตัวอย่างหนึ่งของอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ทำจากพืชและผลไม้ นำมาอบแห้งและบดละเอียด เพื่อผสมกับอาหารสัตว์ ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดได้รับการรับรองว่าเป็นออร์แกนิก
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์สัตว์เลี้ยง ยังมีแบรนด์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรวยและคนที่ใส่ใจเรื่องสัตว์เลี้ยงของตัวเองเป็นพิเศษด้วย เช่น แบรนด์ Kin+Kind ซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีในหมู่คนรักสัตว์ว่า ให้ความสำคัญอย่างมากต่อเรื่องส่วนผสมที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ โดยต้องมาจากธรรมชาติ เป็น Plant-based เป็นออร์แกนิกเกรดระดับที่ USDA รับรอง ซึ่งก็เรียกว่าได้คุณภาพไม่แตกต่างกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในคนเลยแม้แต่น้อย และเผลอๆ ก็อาจดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะราคาเริ่มต้นของแชมพูจาก Kin+Kind อยู่ที่ 527 บาท (354 มล.)
ว่ากันตามเนื้อผ้า ข้อจำกัดของแบรนด์เหล่านี้ ที่เคยทำสินค้าสำหรับคนต่อยอดไปสู่การผลิตสินค้าดูแลสัตว์เลี้ยง มีไม่มากนัก ในไทยเองก็เห็นข้อได้เปรียบหลายอย่าง เพราะการผลิตสินค้าเหล่านี้ยังไม่ต้องขอ อย. ยกเว้นแต่ว่าคุณจะผลิตแชมพูสำหรับฆ่าเห็บหมัด (อันนั้นถือว่าต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา โรงงานที่ผลิตก็ต้องเป็นโรงงานอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่โรงงานผลิตเครื่องสำอางปกติ) แต่นอกนั้น ก็เรียกว่าแทบไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัดเลย
จากสถานการณ์ในไทยเอง ครอบครัวที่มีความพร้อมในการเลี้ยงสัตว์นั้น ไม่แตกต่างจากในกระแสโลกนะครับ เพราะหลายครอบครัวที่ต้องอยู่บ้านมากขึ้น ลูกต้องเรียนออนไลน์ ต่างคนต่างจึงเริ่มมองหาสัตว์เลี้ยงเพื่อเอาไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา หรือเอาไว้คอยสอนเด็กๆ ให้มีความเมตตาและรู้จักความรับผิดชอบ และเชื่อว่าด้วยปัจจัยทั้งเรื่องสังคมผู้อายุ ทั้งอัตราการเกิดที่ต่ำลง สัตว์เลี้ยงแสนรักเหล่านี้จะทำเงินให้กับผู้ประกอบการความสวยความงามที่อยากต่อยอดได้อีกมาก
อยู่ที่ว่าใครจะไหวตัวเริ่มทำก่อนเท่านั้นเอง
