Humberger Menu

ก้องเกียรติ โขมศิริ กับ Bangkok Breaking : ในวันที่โดนด่าว่า สร้างงาน ‘ตื้นเขิน ไร้ชั้นเชิง’

-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

Subculture

Culture

11 ต.ค. 64

creator
นคร โพธิ์ไพโรจน์
BookmarkLineCopy
-ก
+
Light
Dark
ฟังบทความ

...

Summary
  • ไทยรัฐพลัส จับเข่าคุยแบบสั้นๆ อย่างจริงใจและตรงไปตรงมากับ ก้องเกียรติ โขมศิริ คนทำหนังไทยรุ่นเก๋าผู้กำกับ ‘ลองของ’ (2548) และ ‘เฉือน’ (2552) หลังจากที่ซีรีส์ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Bangkok Breaking ออกฉายทาง Netflix ไปไม่กี่วัน แล้วผลตอบรับจากผู้ชมค่อนไปในทาง ‘ลบ’
  • “ฉายดูกันเองในบ้านเราก็พอ มีแต่ความตื้นเขินไร้ชั้นเชิง” คือการพาดหัวของเพจหนังเพจหนึ่งที่น่าจะ ‘ทำงาน’ กับความรู้สึกของก้องเกียรติอยู่ไม่น้อย สะท้อนจากการอ้างอิงถึงประโยคนี้อยู่บ่อยครั้งในระหว่างการสัมภาษณ์ ...และบางทีเราอาจต้องอ่านความรู้สึกระหว่างบรรทัดจากบทเรียนที่เขาถอดออกมาจากการทำงานบนเวทีโลกครั้งนี้

...


“เวลางานออกมาเหี้ยแล้วสามารถยกมือบอกใครๆ ได้ว่า ‘กูทำเองแหละ’ ได้อย่างไม่ต้องเขินส้นตีนอะไรนี่เป็นความรู้สึกที่ฟินมากนะครับ” 

ก้องเกียรติ โขมศิริ คนทำหนังไทยรุ่นเก๋าผู้กำกับ ‘ลองของ’ (2548) และ ‘เฉือน’ (2552) ตั้งสเตตัสไว้บนเฟซบุ๊ก หลังจากซีรีส์ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Bangkok Breaking ออกฉายทาง Netflix ไปไม่กี่วัน แล้วผลตอบรับจากผู้ชมค่อนไปในทาง ‘ลบ’

“ฉายดูกันเองในบ้านเราก็พอ มีแต่ความตื้นเขินไร้ชั้นเชิง” คือการพาดหัวของเพจหนังเพจหนึ่งที่น่าจะ ‘ทำงาน’ กับความรู้สึกของก้องเกียรติอยู่ไม่น้อย สะท้อนจากการอ้างอิงถึงประโยคนี้อยู่บ่อยครั้งในระหว่างการสัมภาษณ์ 

ก้องเกียรติย้ำว่า เขาโอเคกับผลตอบรับ แต่เขาโอเคจริงหรือไม่ บางทีเราอาจต้องอ่านความรู้สึกระหว่างบรรทัดจากบทเรียนที่เขาถอดออกมาจากการทำงานบนเวทีโลกครั้งนี้


ก้องเกียรติ โขมศิริ

 

เราสนใจการรับมือกับกระแสเชิงลบในรูปแบบของคุณมาก 

จริงๆ เราแฮปปี้กับทุกกระแสในฐานะคนทำ ไม่ได้พูดเอาหล่อนะ ถามว่าเสียใจไหม มันเสียใจอยู่แล้ว พอทำหนังมาเยอะประมาณหนึ่ง เราก็ไม่อยากมีความรู้สึกว่าต้องมีชีวิตด้วยการอับอายกับผลงานตัวเอง มันเศร้ากว่างานแย่อีก คือการอายที่จะบอกใครว่านี่คืองานเรา 

ผมเคยเจอภาวะนี้มาก่อน เวลาเจอคนแล้วเขาอึกอักที่จะพูดถึงโปรเจกต์ของเรา ทั้งๆ ที่เราบอกให้พูดเลย คนเราสามารถคุยกันได้อยู่แล้วในขอบเขตการวิพากษ์วิจารณ์ ที่ไม่ใช่มาด่าทอกันน่ะ งานไม่ดีก็บอกมา ไม่ใช่ไล่เราให้ไปตาย หรือเลิกทำหนังไป ก็ต้องท่องคาถานี้ว่า กูไม่ไป ถ้าไปกูจะเอาอะไรแดก (หัวเราะ) ไล่ก็ไม่ไป 

ทีนี้ก็มานั่งคิดว่าเราให้ค่ากับอะไร สำหรับโปรเจกต์นี้ หนึ่งมันเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข แม้ว่ามันจะออกมาไม่ถูกใจ เพราะยังไงลูกค้าก็ถูกต้องที่สุด สำหรับผมคนดูก็คือลูกค้า ถ้าเขาไม่ชอบก็ต้องยอมรับ แต่ลูกค้าผมมีหลายคน ทั้งโปรดิวเซอร์หรือเน็ตฟลิกซ์เอง เขามีไบเบิลของเขา มีรีเสิร์ชของเขา ผลของมันย่อมไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียวที่ต้องเอามาพิจารณา ทุกคนก็ต้องมาทบทวนว่า บางทีเราอาจจะอ่านผิดไป แต่ในฐานะผู้กำกับที่ยืนอยู่หน้าสุด ต้องรับหมดอยู่แล้วทั้งดีทั้งเลว ผมโทร.หาทีมงาน หา พี่คุ่น (ปราบดา หยุ่น - คนเขียนบทร่วม)  ว่าฟีดแบ็กมันเป็นอย่างนี้ คิดว่าไง ทุกคนก็เข้าใจนะ เราโตๆ กันหมดแล้ว วันนี้เราอาจจะไม่ชนะ เออ กูไม่ใช่แมนฯ ยู ลิเวอร์พูล กูเป็นสเปอร์สก็ได้วะ กูไม่ได้ที่หนึ่งของลีก แต่กูยังวิ่งอยู่ กูจะแข่งมันทุกปีด้วย มึงไล่กูไป กูก็ไม่ไป กูก็จะแข่งเรื่อยๆ 

แต่ปัจจุบัน เราก็ไม่ควรรู้สึกว่าทำสิ่งผิดบาป มันคือความผิดพลาด ผมทำก๋วยเตี๋ยวชามนี้แล้วขายไม่ได้ คือคนไม่กินอย่างในรสชาติที่เราคิดว่าเขาจะชอบ คนไทยคนต่างชาติกินได้ แต่พอเราขึ้นไปบนเวทีใหญ่มันก็ถูกเปรียบเทียบอยู่ดี เราต้องขึ้นไปต่อยกับ Squid Game มันก็ต้องแพ้ล่ะวะ พอเรายอมรับได้ มันกลับมีความสุขที่จะดีลกับความพ่ายแพ้ 


Bangkok Breaking

 

เอาจริงๆ ตอนทำ ‘ขุนแผนฟ้าฟื้น’ (2562) เฟลกว่านี้นะ พูดตรงๆ ว่าไม่ใช่เราดูหนังไม่เป็น มันมีเงื่อนไข มันมีไบเบิล ที่คุณข้ามเส้นไม่ได้ และโปรเจกต์นี้มันอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของเน็ตฟลิกซ์เอง เอาเป็นว่าเราไม่ได้โทษใคร เพียงแต่เล่าให้ฟังว่ามันมีเงื่อนไขที่เรารู้อยู่เต็มอกว่าคืออะไร สุดท้ายคนดูไม่ต้องมารู้เรื่องพวกนี้ เขาก็วัดกันที่หน้างาน เมื่อเป็นแบบนี้ก็จึงยกมือรับสภาพเองว่ากูทำ เพราะงั้นต่อให้มันไม่ถูกใจอะไร ใครจะโกรธเกลียดกัน แต่แค่กดเข้าไปดูก็ดีใจแล้ว แค่นี้จริงๆ 

แต่ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่ จากเรื่องแรกคือ ‘เคว้ง’ (2562) แล้วของผมมาเรื่องสอง (ไม่นับ ‘เด็กใหม่ 2’ ที่ไม่ใช่การควบคุมงานสร้างของเน็ตฟลิกซ์) มันมีแรงกระเพื่อมบางอย่าง มันอาจไม่ได้เป็นคลื่นจนคาดหวังว่าเราจะเป็นแบบ ลิซ่า Blackpink อะไรขนาดนั้น แต่เชื่อว่าคนต่อไปมันต้องไปได้มากกว่านี้ คิดได้ดังนั้นแล้ว มันก็ภูมิใจ เพราะว่าเราได้ดีลกับทุกอย่างเต็มที่แล้ว สู้เต็มที่แล้วมันแพ้ 

โอเค มันมีวันที่เฟลแน่นอนเพราะเราเป็นมนุษย์ พอผลมันออกมา อวยไส้แตกฯ แหกผมกระจุยทุ่ง ใครไม่เสียใจ ไม่มีทาง แต่คุณฆ่าผมไม่ได้ ผมไม่ตาย ผมอาจจะสะเทือนบ้าง แต่ผมยังโอเค

นี่เป็นงานไทย ที่อยู่ในแพลตฟอร์มระดับโลก ‘เคว้ง’ ก็โดนหนัก ของคุณก็หนัก คิดว่ามีผลต่อความมั่นใจในการลงทุนครั้งต่อไปไหม 

สาเหตุหนึ่งที่เรายอมรับ เพราะว่ามันเป็นผลดีต่อวงการ ประวัติศาสตร์หนังของโลกก็ไม่ได้ดีทุกเรื่อง ถามว่าคนจะเสียศรัทธามั้ย มันก็ต้องมี แต่ว่าถ้ามีเรื่องไหนทำได้ดี เดี๋ยวคนก็กลับมาศรัทธาใหม่ มันไม่มีทางที่ความผิดพลาดของหนังไม่กี่เรื่องจะทำให้คนไม่อยากดูคอนเทนต์ไทย ชาวโลกจะหันหลังให้เหรอ ไม่มีทาง เพราะว่าคนทำหนังไม่ได้มาจากบ้านเดียวกันหมด ที่เราด่ากันว่าหนังไทยไม่ไปไหนๆ พอมันมีเรื่องที่ไปไหนขึ้นมามันก็ไปสุด เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราแพ้แล้วประเทศเราจะแพ้ไง 

เราโอเคที่ทุกคนเอามาตรฐานโลกมาตัดสินมันนะ เราไม่อยากให้มองมันเป็นไทยคอนเทนต์แล้วต้องประนีประนอมกับมันหน่อย ไม่จำเป็น มันไม่ถูกใจก็ตามนั้น แต่จะไปบอกว่าหนังซีรีส์ไทยไม่มีทางสู้กับชาวโลกได้แล้ว อันนี้มันก็เป็นวิธีคิดที่คับแคบนะ มันอยู่ที่หลายสิ่งจริงๆ วันนี้ผมเชื่อว่าเน็ตฟลิกซ์ก็น่าจะได้เรียนรู้แล้วว่าบางทีเขาอาจจะอ่านพลาดอ่านผิด หรือการประนีประนอมอาจจะไม่เวิร์ก แสดงว่าผมก็เป็นตัวโปรโตไทป์ให้เห็นว่าแบบนี้มันไม่เวิร์ก เพราะฉะนั้น คนต่อจากผมก็จะได้รับสิทธิที่มันแตกต่างจากผมแล้วแหละ อย่างน้อยหลุมนี้มึงไม่ตกลงมาแล้วแหละ


Bangkok Breaking

 

การทำงานกับไบเบิลมันเป็นอย่างไร

ยากนะ ถึงได้มีหลายคนเดินออกไป เพราะมันมีไบเบิลอยู่ ซึ่งเราก็มีการตั้งคำถามกับเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าผมเป็นคนเลือกที่จะไม่เดินออก เราอยากทำเพราะนี่เป็นโอกาสได้ต่อยบนเวทีสากล แต่มันก็ได้เรียนรู้ว่าสัญชาตญาณเราก็ไม่ได้ผิด ระหว่างทำไป เราก็รู้ เพราะไม่ว่าหนังเรื่องใดๆ ที่เราทำมันก็จะหนักมือกว่านี้ แต่เขาก็ไม่ได้มาเข้มงวดขนาดว่าบทจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้

ไบเบิลที่ว่าคือรีเสิร์ชจากตลาดในเมืองไทยอย่างเดียวเหรอ

ใช่ เมืองไทยจ้ะ คือเขาก็ตั้งใจกับคนดูบ้านเราจริงๆ นะ เพราะฉะนั้น เขาก็รีเสิร์ชเยอะมากว่าเราชอบดูเนื้อหาแบบไหน ละครแบบไหน เนื้อหาแบบไหน มีสถิติขึ้นมาหมด ซีรีส์เกาหลีที่เราชอบดูเป็นแบบไหน Squid Game น่าจะเป็นซีรีส์โหดๆ เรื่องแรกที่ทำงาน หมายถึงว่าทำงานในหมู่คนดูกระแสหลักนะ ส่วนใหญ่คนก็ไปดูโรแมนติกอะไรแบบนั้น อันนี้ถือเป็นบิ๊กโปรเจกต์ ซึ่ง...เกาหลีทำได้ กับเราทำได้ไม่เหมือนกันนะ

ยังไง

ตอนทำผมก็ตั้งคำถามว่า ทำไมทีเกาหลีดาร์กได้ แล้วทำไมเราดาร์กไม่ได้ มันเหมือนคุณยังไม่พร้อมที่จะดาร์กกับโปรเจกต์นี้ คุณยังไม่พร้อมที่จะดาร์กขนาดนั้นในวันนี้ คุณอาจจะดาร์กได้ในวันหนึ่ง แต่เรื่องแรกๆ คุณอย่าเพิ่ง ซึ่งนี่เราอาจจะต้องเอามาไตร่ตรองกันใหม่ว่ามันจริงหรือไม่จริง เพราะว่าโดยฟีดแบ็กมันก็เห็นๆ อยู่ 

อีกเรื่องเราก็รู้มาตั้งแต่ริเริ่มโปรเจกต์แล้วว่ามันคงไม่ขยี้ขนาด ‘เฉือน’ (หนังทริลเลอร์ของก้องเกียรติที่ทำให้เขาได้รางวัล ‘ผู้กำกับยอดเยี่ยม’ จากสุพรรณหงส์) หรืออะไรพวกนี้ มันแตะประมาณหนึ่งแล้วก็ไปเล่นประเด็นอื่น แต่ทีนี้มันก็มีข้อควรระวังนิดนึงว่า พอพีอาร์ถูกกระตุ้นให้คาดหวังว่าจะมีการแฉด้านมืด คนดูก็อาจคาดหวังว่ามันจะดาร์กสุด บวกกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันที่แม่งโคตรดาร์กไง คนก็อาจรู้สึกว่าเนื้อหามันหน่อมแน้มมากเลย ไม่เห็นจะดาร์กอะไรเลยวะ

เคยคิดว่าหนังไทยที่ทำค้างไว้ก่อนโควิด แต่กว่าจะได้ฉาย ตลาดมันน่าจะเปลี่ยนไปหมดเลย 

ใช่ เอาจริงๆ ใครที่เขียนบทอยู่อาจจะโชคดี เพราะปรับกระบวนทัน ไม่นับละครนะ ละครไทยผมว่าเขาแข็งแรง คนดูเขาแข็งแรง เขามีความชัดเจนของเขา แต่ถ้าเป็นหนัง ประเด็นหรือการพูดด้วยท่าทีเหมือนสองปีก่อนก็เชยแล้ว โควิดมันก้าวกระโดดจริงๆ ในเวลาสองปี ด้วยการทำงานของรัฐบาล ด้วยโควิด ด้วยความรู้สึกคน บวกชุดองค์ความรู้ที่มันคิดแบบเดิมไม่ได้แล้ว อุดมคติมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว


ก้องเกียรติ โขมศิริ

 

คงเป็นการบ้านของทั้งคนทำหนังเองและนายทุนด้วย

ใช่ ลองถ้าย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อนมันอาจจะเวิร์ก เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้มันอาจจะยังอึมครึม ยังน่าสนใจได้ แต่สำหรับวันนี้มันธรรมดาแล้ว เพราะในความเป็นจริงมันดิบขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งความดิบมีมาซะสี่ซ้าห้าข่าว มันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าในจังหวะที่เราคิดกับจังหวะที่เราฉาย โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น ก็ต้องมาศึกษากันจริงจังทุกฝั่งฝ่ายแหละ แม้กระทั่งทีมงานทุกฝ่าย สตูดิโอ คนทำงาน คนเขียนบท ซึ่งอันนี้มันคนละเรื่องกับการทำหนังเอาใจวัยรุ่นแบบเมื่อก่อนแล้วนะ ที่เวลาจะทำหนังสักเรื่องต้องเอาสถิติคนดูเป็นที่ตั้ง เราจะเอากลุ่มคนดูเป็นวัยรุ่น เพราะฉะนั้น หนังเราจะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง 

แต่ชั่วโมงนี้มันไม่ใช่แล้วนะ

ความคาดหวังวัยรุ่นก็ไม่เหมือนเดิมแล้วด้วย 

ไม่เหมือนเดิม แล้วสิ่งที่เขาได้ดูแบบเน็ตฟลิกซ์ แอปเปิลทีวี ดิสนีย์พลัส สตรีมมิงทั้งหลายมันทำให้เกิดการได้ดูเยอะ มันไม่มีทางที่จะทำด้วยสูตรเดิมได้ ช่วงนี้คนทำหนังไทยก็ทำการบ้านกันหนักๆ หน่อย อย่าพลาดเหมือนเรา (หัวเราะ)



ขยายความที่บอกว่า ‘ขุนแผนฟ้าฟื้น’ กระทบความรู้สึกมากกว่าเพราะอะไร 

ตอนนั้นเราคิดว่ามันดีและสนุกได้ มันคือความเชื่อเราจนรู้สึกว่า ‘มันมือ’ ในตอนที่ทำ แต่พอผลออกมาโดนด่าเละเทะ สอบตก ไม่ผ่าน เลิกเถอะ ตอนนั้นความคาดหวังเราสูงมาก มันเลยเฟลมาก มันอาจจะเป็นการบิดตัวเราเองด้วยว่า ถ้าเราลองเปลี่ยนรูปแบบการทำหนัง มีตลกบ้าง ดูว่าเราจะทำได้ไหม มันเป็นการท้าทายตัวเองในหลายๆ แบบ ไม่งั้นป่านนี้เราคงทำ ‘ลองของ’ (หนังสยองขวัญแจ้งเกิดของก้องเกียรติ) ไปเรื่อยๆ เราจึงเปลี่ยนมาเรื่อยๆ แต่ก็จะมีลายเซ็นเราบางอย่างอยู่ในนั้น 

จนมาถึง ‘ขุนแผนฟ้าฟื้น’ ที่น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบสุดโต่งของเรา ก็เลยรู้สึกว่าอยากให้มันประสบความสำเร็จในทุกมิติ แต่ผลคือรายได้ก็ถือว่าเท่าทุนอย่างหืดขึ้นคอ แค่นี้ก็เฟลแล้ว แถมคำวิจารณ์ก็ไม่ได้บวก เราเองก็เคยอยู่ในจุดที่นักวิจารณ์รักมาก่อนนะ ไอ้เราก็ฟูไป พอมันตกลงมา เราก็รู้ไงว่าชีวิตนี้ก็เท่านี้แหละวะ แต่มันไม่ได้อธิบายความเป็นคนทำหนังของมึงเลย มันไม่ได้อธิบายเลยว่ามึงรักหนังน้อยลง หรือต้องหยุดทำหนังไป ถ้ามันยังมีคนเชื่อ เราก็มุ่งมั่นที่จะทำต่อไป 

หลังจาก ‘ขุนแผนฟ้าฟื้น’ ก็ไปทำละคร บางทีเราก็ทำงานเหมือนการบำบัดตัวเอง พอเราเฟลก็ไปหางานที่ทำแล้วผ่อนคลายลงบ้าง ก่อนจะกลับมาคาดหวังกับงานชิ้นนี้อีก แต่มันมีภูมิคุ้มกันขึ้น ก็เลยรู้ว่ามันก็ตกเหมือนเดิม แต่มันทวิสต์เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งว่า กูกลับภูมิใจในสิ่งที่ทำไป แล้วมันทำให้รู้สึกว่าคุณค่าของการทำหนังมันดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย มันมีพลัง ไม่ใช่ว่าจะเป็นจะตาย 

เมื่อก่อนจะไม่ชอบโมเมนต์ที่เวลามาเจอหน้าใครสักคนแล้วเขาอยากจะพูดถึงงานเรา แต่ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่ตอนนี้เรายืนอยู่ตรงนั้นได้ และยอมรับตรงๆ ว่า ‘เออ กูทำเองแหละ’ 



ขอบคุณภาพจาก Netflix 




Share article
  • Line
  • link

ไทยรัฐออนไลน์ ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

ยอมรับ
Thailand Web Stat