“เดี๋ยวเธอก็ได้เจอคนที่ใช่เร็วๆ นี้แหละ” เมื่อความเห็นใจอาจกลายเป็นการตัดสิน หรือ ‘Single Shaming’ คนโสด
...
Summary
- การถามใครสักคนว่าทำไมถึงยังโสดและให้กำลังใจว่าพวกเขาจะพบกับคนที่ใช่เร็วๆ นี้ อาจกลายเป็นการ Single Shaming’ หรือ การตัดสินในเชิงลบเมื่อคนคนหนึ่งไม่ได้แฟนหรือคู่ครอง และไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของสังคมที่มองว่าพวกเขาควรจะต้องแต่งงานในวัยที่เหมาะสม มาตรฐานสังคมที่มีมาช้านานอาจกลายเป็นแรงกดดันและมองข้ามวิถีชีวิตรูปแบบอื่นโดยไม่รู้ตัว
...
ประชากรคนโสดเคยพบเจอหรือไม่ กับคำพูดของคนรอบข้างที่แสดงความ ‘เห็นใจ’ ต่อความโสดของเรา ราวกับว่าความโสดนั้นมันช่างทุกข์ระทม ทั้งๆ ที่เราก็ออกจะโอเคกับชีวิตโสดนี่นา
ถ้าเคยละก็ คุณอาจกำลังประสบกับ ‘Single Shaming’ โดยที่คนพูดอาจไม่รู้ตัว
บางทีการถามใครสักคนว่าทำไมเขาถึง ‘ยัง’ เป็นโสด และการให้กำลังใจว่าพวกเขาจะพบกับคนที่ใช่ในเร็วๆ นี้แน่นอน ดูเผินๆ อาจจะเหมือนการแสดงความเป็นห่วงและการถามไถ่เพื่อนอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่ในอีกด้าน สิ่งเหล่านี้อาจก่อความรู้สึกทางลบมากกว่า
อลิสัน อบราห์ม นักจิตบำบัดที่ทำงานในนิวยอร์กได้ให้คำนิยามของ ‘Single Shaming’ ไว้ว่า การตัดสินในเชิงลบเมื่อคนคนหนึ่งไม่ได้แฟนหรือคู่ครอง และไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของสังคมที่มองว่าเราควรจะต้องแต่งงานในวัยที่เหมาะสม
โดยอคติเชิงลบต่อคนโสดปรากฏตัวอย่างแนบเนียน -- ด้วยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว บางคนอาจมีความคิดว่าคนโสดจะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่มีคู่ครอง หรือพวกเขาอาจกำลังมองหาแฟนอย่างแข็งขันแต่ก็ยังไม่พบคนที่ตรงใจ และบางทีเขาอาจมีบางอย่างผิดปกติ ทำให้เขายังอยู่ตัวคนเดียว ทัศนคติเช่นนี้อาจเกิดจากมาตรฐานสังคมที่มีมาช้านาน อย่างภาพการแต่งงาน การอยู่กันเป็นครอบครัวในบ้านหลังหนึ่ง มีลูกเล็กและสุนัขสักตัว สังคมอาจนำเสนอว่าภาพเหล่านี้คือองค์ประกอบของความสุขหรือหมุดหมายของชีวิตที่ควรเป็น โดยมองข้างความสุขและวิถีชีวิตรูปแบบอื่นไป
ผลสำรวจจากบริการหาคู่ที่ชื่อ Match ในประเทศอังกฤษ พบว่าคนอังกฤษ 52% จากผู้ตอบแบบสำรวจ 1,000 คนนั้นเป็นโสด หลายคนอยู่กับความโสดมาตั้งแต่การระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 และในจำนวนคนโสดทั้งหมด มีคนโสดถึง 59% ที่กล่าวว่าพวกเขารู้สึกพอใจกับสถานะของตัวเอง ทว่าก็ยังคงถูกรบกวนจิตใจจากคำพูดหรือทัศนคติของคนอื่น
เมื่อนักวิจัยถามถึงคำพูดหรือประโยคที่คิดว่าเป็นการ Single Shaming คนโสด 35% กล่าวถึงประโยค "คุณจะได้เจอใครสักคนเร็วๆ นี้แหละ” อีก 29% กล่าวถึงประโยค “คุณต้องเหงามากแน่ๆ ” ในขณะที่คนโสดอีก 38% กล่าวถึงการแสดงความรู้สึกสงสารต่อสถานะความสัมพันธ์ของพวกเขา
ทัศนคติที่ตัดสินคนโสดอาจส่งผลเสียหายได้มากกว่าที่คิด นักจิตบำบัดอบราห์ม กล่าวว่า มันอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบุคคลนั้นๆ และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต โดยอบราห์ม กล่าวว่า “มีหลายครั้งที่ฉันเห็นว่าทัศนคติด้านลบต่อคนโสดทำให้คนเกิดภาวะซึมเศร้า เพราะการแต่งงานมีครอบครัวกลายเป็นมาตรฐานสำหรับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ ทำให้แม้แต่ผู้ที่มีความสุขต่อการเป็นโสดยังต้องทบทวนตัวเอง บางคนถึงกับหาแฟน แม้จะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ เพียงเพื่อให้ตัวเองเป็นไปตามาตรฐานสังคม”
นอกจากนี้อบราห์มยังได้พบผู้เข้ารับการบำบัดที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการสร้างครอบครัว เธอยกตัวอย่างผู้เข้ารับการบำบัดที่มาจากประเทศเกาหลี จีน และอินเดีย พวกเขามักประสบความอับอายจากคำพูดของสมาชิกในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ และเผชิญกับวัฒนธรรมที่มักจะเน้นย้ำบทบาททางเพศตามประเพณีการแต่งงาน เช่น การเป็นภรรยาที่ดี การมีลูก ทำให้การไม่ปฏิบัติตามประเพณีเหล่านี้ดูเป็นการ ‘แหวกแนว’ แหวกขนบอย่างยิ่งยวด
“ฉันเคยได้ยินผู้รับการบำบัดคนหนึ่งพูดกับฉันประมาณว่า ครอบครัวของเขารู้สึกละอายใจที่เขาไม่มีลูกตอนอายุ 30 หรืออายุน้อยกว่านั้น” อบราห์มยกตัวอย่าง
ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวด้วยว่านอกเหนือจากพ่อแม่และเพื่อนฝูงแล้ว รัฐบาลอาจมีส่วนร่วมทำให้เกิด Single Shaming ด้วยการเสนอผลประโยชน์ต่างๆ ผ่านโยบายที่ชอบด้วยกฎหมายให้กับผู้ที่แต่งงานแล้ว นโยบายเหล่านี้อาจยิ่งส่งผลให้คนเชื่อว่าการแต่งงานมีคู่คือ “แนวทางที่ถูกต้อง” ในการใช้ชีวิต เมื่อนโบายต่างๆ เป็นแรงหนุนเชิงบวกสำหรับคนมีคู่เท่านั้น จึงเป็นการยากที่คนโสดจะไม่รู้สึกว่าพวกเขากำลังทำอะไรผิดอยู่ในฐานะผู้ใหญ่
ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา พนักงานในบริษัทสามารถใส่ชื่อคู่สมรสของตัวเองลงในสิทธิดูแลสุขภาพของตัวเองได้ แต่คนโสดไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ชื่อของพี่น้องหรือเพื่อนสนิท และบางครั้งคนที่มีครอบครัวก็อาจได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ส่วนลดในช่วงวันหยุด หรือเงินช่วยเหลือพิเศษ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในโลกยุคใหม่นั้นประชากรในหลายประเทศที่เป็นโสดมีจำนวนมากขึ้น คนที่เลือกมีไลฟ์สไตล์หรือเลือกที่จะเป็นโสดโดยยังสนุกและมีความสุขกับชีวิตก็มีให้เห็นมากมาย ตอกย้ำว่าการเป็นโสดไม่ใช่ทางเลือกที่ผิดปกติหรือตกหล่นไปจากความสุขแต่อย่างใด และผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อทัศนคติของผู้คนในสังคม ทำให้ความโสดเป็นเรื่องปกติ และอาจลดการ Single Shaming ในที่สุด
